ใครมีประสบการณ์กับวัตถุมงคลหลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง บ้างครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ชนคุณ, 23 มกราคม 2012.

  1. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,383
    ค่าพลัง:
    +13,256
    นับถือหลวงปู่เหมือนกันครับ ร่วมแจมด้วยคน เหรียญปลอดภัย อ.เฒ่า สุพรรณ สร้างไว้ หลวงปู่เสกครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_0027.JPG
      PIC_0027.JPG
      ขนาดไฟล์:
      121.6 KB
      เปิดดู:
      6,565
    • PIC_0028.JPG
      PIC_0028.JPG
      ขนาดไฟล์:
      119.5 KB
      เปิดดู:
      6,097
  2. ชนคุณ

    ชนคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +299
    ไอย๊ะ...หรอยจริงครับ เหรียญนี้ที่ใฝ่ฝันเลยครับ สวยงามมากครับพี่:cool::cool:
     
  3. kang_som

    kang_som เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11,853
    ค่าพลัง:
    +27,807
    เหรียญใหญ่มั้ยครับ งามครับบบบบ
     
  4. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ประวัติครูบาอินและประวัติการสร้างเหรียญปลอดภัย หลวงปู่ครูบาอิน อินโท

    ครูบาอิน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวเชียงใหม่ เกิดในครอบครัว"เขียวคำสุข"ของนายหนุ่ม นางคำป้อ ที่บ้านทุ่งปุย กิ่งอ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2445 ตรงกับวันเสาร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 5 อันเป็นฤกษ์พิเศษที่หาได้ยากยิ่ง เป็นวันเสาร์ 5 ซึ่งโบราณจารย์ถือเป็นวันขลังและแรง เมื่อเจริญวัยได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดทุ่งปุยเมื่ออายุ 15 ปี และเจริญธรรมในสมณเพศมาโดยตลอด จนอุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี มีพระอธิการยศ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการกว้าง วัดสองแคว และพระอธิการอ้าย วัดทุ่งปุย เป็นคู่สวด ได้รับฉายาว่า"อินโท" สอดคล้องกับนามเดิมของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ ชีวิตภายหลังจากเป็น"พระ"หรือ"ตุ๊เจ้า" ท่านพากเพียรเรียนธรรม ทั้งในฝ่ายปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไปอย่างจริงจัง อาศัยที่เป็นผู้ใส่ใจใฝ่หาความรู้ จึงเรียนพระบาลีและสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานแตกฉาน จากนั้นได้เดินทางมาเรียนกรรมฐานเพิ่มเติมที่วัดมหาธาตุ กทม. โดยฝึกกับพระเทพสิทธิมุนี มีสมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภเถร) ครั้งยังเป็นพระพิมลธรรม เป็นประธาน ครูบาอาจารย์จากทางเหนือที่ไปร่วมปฏิบัติวิปัสสนาด้วยกันคือ พระสุพรหมยานเถระ หรือครูบาพรหมจักร พรหมจกฺโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน, ครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง, อาจารย์ทอง สิริมังคโล วัดร่ำเปิง (ปัจจุบันเป็นที่พระสุพรหมยานเถระ) เมื่อมีความอิ่มเอิบในธรรม ท่านก็ประยุกต์ในการเจริญจิตภาวนาในแนว "พุทโธ" ดั้งเดิมอย่างลงตัว จนมีความเจริญรุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

    ในทัศนะของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร :
    ใน เขตล้านนาภาคเหนือของสยามประเทศนั้น หากไม่นับครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทยผู้กระเดื่องเลื่องหล้าท่านนั้นแล้ว พระสายเหนือที่จะมักคุ้นตาและใจของ “ส่วนกลาง” จริงๆ ก็เห็นจะมีเพียงไม่กี่องค์ อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่, หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึงเชียงใหม่, ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน, หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่, หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง ฯลฯ แต่เพียงประมาณเท่านี้ เท่านั้นจริงๆ
    แต่ “ผู้รู้แจ้ง” เห็นจริง อย่างหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร สุดยอดพระเกจิอาจารย์ผู้ชาญพระเวทย์แห่งวัดโฆสิตาราม ชัยนาท ถึงกับเอ่ยปากสั่งความแก่พระครูสมุห์ภาสน์ มังคลสังโฆ แห่งวัดซับลำไย ลพบุรี ศิษย์ใกล้ชิดของท่านรูปหนึ่งว่า “ให้ขึ้นไปกราบครูบาอิน วัดฟ้าหลั่งที่เชียงใหม่ และขอศึกษาวิชาจากท่านให้ดีๆ เถิด ครูบาอินนี้ท่านมีวิชาจิตตานุภาพแก่กล้าสามารถมากๆ จริงๆ...!!!!!!”ลองหลวงพ่อกวย สั่งการด้วยองค์เองเช่นนี้ ก็มิต้องสงสัยกันอีกแล้ว..!!!!!!!
    และเมื่อท่านพระครูสมุห์ภาสน์เดินทาง ขึ้นเหนือไปยังจังหวัดเชียงใหม่ และในก้าวแรกที่ได้ย่างเข้าสู่อาณาบริเวณวัดฟ้าหลั่ง ท่านพระครูสมุห์ภาสน์ ศิษย์หลวงพ่อกวย ก็ได้ “เจอดี” ทันที เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งออกมาคอยรับอยู่ที่หน้าวัดฟ้าหลั่ง ก่อนที่จะได้กล่าวสัมโมทนียกถา อย่างชวนให้สะท้านใจไม่น้อยเลยว่า “นมัสการเชิญครับ...ท่านครูบาอินท่านว่า "..จะมีพระจากแดนไกลมาหา เลยสั่งให้ผมมาคอยรับท่านขอรับ..." เป็นท่าน ท่านจะพูดออกไหม เพิ่งเหยียบเข้าวัดฟ้าหลั่งเพียงไม่กี่ก้าว และยังไม่ทันเห็นหน้ากันแม้แต่เพียงวิบเดียว แต่ “ครูบาอิน” ท่านกลับล่วงรู้หมดสิ้นแล้ว ช่าง “เก่งแท้” สมกับที่หลวงพ่อกวยสั่งให้มา “ต่อวิชา” ด้วย ไม่ผิดเลย แม้แต่เพียงครึ่งคำ...สุดยอดเลยจริงๆ

    ในทัศนะของหลวงพ่อเกษม เขมโก :
    ครั้ง หนึ่ง มี “พ่ออุ๊ย” แห่งวัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน ท่านหนึ่ง ได้ไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์ แห่งจังหวัดลำปาง แล้วเอาพระที่ตนมีอยู่ออกมาให้หลวงพ่อเกษมท่าน “ชาร์จแบ็ต” (มนต์) เพิ่มพลังให้ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายมักนิยมทำกัน เวลาได้ไปกราบครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ โดยหนึ่งในพระเครื่องที่นำไปขอให้หลวงพ่อเกษมท่านเสกนั้น ก็มีพระของหลวงปู่ครูบาอินรวมอยู่ด้วย...
    และในบัดดลนั่นเอง สิ่งที่ทำให้พ่ออุ๊ยจากเมือง “หละปูน” ถึงกับแปลกประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง ก็พลันอุบัติขึ้น เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก ผู้ยิ่งด้วยฤทธิ์อภิญญาอันแก่กล้าไม่ยอมเสกพระของ “ครูบาอิน” ให้อย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะบอกกับพ่ออุ๊ยนั้นอีกด้วยว่า “ดีอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสกอะไรอีกแล้ว..!!!!!!” นี่ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า อันอำนาจจิตฤทธิ์อภิญญาของหลวงปู่ครูบาอิน อินโทนี้ จะต้องมีความแก่กล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลวงพ่อเกษมอย่างไม่ต้องสงสัย ก็ของๆ ท่าน “ดี” อยู่แล้ว “เต็ม” อยู่แล้ว เลยไม่รู้ว่าจะเสกทับไปทำไม ให้เสียเวลาเปล่าๆ น้ำเต็มตุ่มเต็มไหอยู่ดีๆ หากจะยังจะเทซ้ำลงไปอีก ก็รังแต่จะหกเรี่ยราด หาประโยชน์มิได้เท่านั้น มิสู้มิเสกเลย จะดีกว่าเป็นไหนๆ หรือมิใช่...???

    เหรียญปลอดภัย ครูบาอิน
    คุณเฒ่า สุพรรณ ลูกศิษย์หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ได้ขออนุญาตจัดสร้างขึ้นเพื่อหาปัจจัยสร้างมณฑป และเมรุ วัดหัวเด่น จ.สุพรรณบุรี นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ๗ วัน ๗ คืน โดยพระเถระ ๑๐๘ รูป ณ วัดหม้อคำตวง (หลวงปู่ครูบาอิน ร่วมพิธี) จากนั้นนำมาถวายหลวงปู่ครูบาคำปัน อธิษฐานจิตเดี่ยว ปรากฎว่าครูบาคำปันท่านบอกว่า "เป็นเหรียญไผ จะไดเสกบ่อเข้า" และเมื่อท่านได้เห็นเหรียญแล้ว ท่านถึงกับพูดขึ้นมาว่า "อ๋อ เหรียญท่านฟ้าหลั่งนี่เอง" หลังจากนั้นคณะผู้จัดสร้างได้นำมาขอเมตตาหลวงปู่ครูบาอินปลุกเสกเดี่ยวอีกครั้ง ซึ่งครูบาอินเอง ท่านก็เสกให้จนเสกไม่เข้าอีก ท่านจึงได้ขอไว้ส่วนหนึ่งเพราะ "กลัวคนเจียงใหม่จะบ่ได้ใช้ของดีๆ" ผู้สร้างได้ถวายหลวงปู่ครูบาอินไว้แจก จำนวนประมาณ ๒ ถาดใหญ่
    จำนวนการสร้าง: เนื้อนวะโลหะ ๓๐๐ เหรียญ เนื้ออัลปาก้า ๒,๐๐๐ เหรียญ และเนื้อทองเหลืองรมทอง จำนวน ๘,๐๐๐ เหรียญ
    ลักษณะเหรียญ: เป็นเหรียญกลมพร้อมห่วงด้านหน้า แกะเป็นรูปหลวงปู่ครูบาอิน นั่งเต็มองค์ ด้านบน มีข้อความว่า “ครูบาอินท์ อินโท วัดฟ้าหลั่ง” ด้านล่างเป็นปี พ.ศ. ที่สร้าง “๒๕๔๐” ด้านหลัง “เป็นยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า” อักขระขอมเต็มรูป เหมือนกับด้านหลังเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม

    ข้อมูลอ้างอิง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2012
  5. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,383
    ค่าพลัง:
    +13,256
    ใหญ่กว่าเหรียญ 10 บาทครับ
     
  6. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,383
    ค่าพลัง:
    +13,256
    อีกเหรียญ รมทอง

    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_0042.JPG
      PIC_0042.JPG
      ขนาดไฟล์:
      122.7 KB
      เปิดดู:
      5,433
    • PIC_0043.JPG
      PIC_0043.JPG
      ขนาดไฟล์:
      120.9 KB
      เปิดดู:
      5,488
  7. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
    รูปหล่อบูชารุ่นแรก ฐานสูง

    [​IMG]
     
  8. ชนคุณ

    ชนคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +299
    สวยงามมากๆครับ..:cool::cool:
     
  9. iamall

    iamall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +726
    อยากได้หลวงพ่อกวย เอาเหรียญหลวงปู่ดู่มาแลกคืนสิไอ้น้อง
     
  10. denchai_l

    denchai_l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,093
    ค่าพลัง:
    +1,548
    เข้ามา กราบ หลวงปู่ฯ ครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  11. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,680
    ค่าพลัง:
    +53,127
    เจอแล้ว นิมนต์มาแล้วครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  12. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,680
    ค่าพลัง:
    +53,127

    เพิ่งได้เหรียญนี้มา และเพิ่งรู้ประวัติการปลุกเสกพระของครูบาท่าน น่าเสื่อมใส นักครับ กราบๆ ครูยาอิน .. สาธุๆ


    และแล้วในที่สุด... ปรากฏการณ์ตาม “ธรรมชาติ” แต่ไม่ “ธรรมดา” อันเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานกันมาเนิ่นนาน นับด้วยทศวรรษในมหากฤษฎาภินิหารและบุญญาธิการอันยอดยิ่งแห่งท่านหลวงปู่ครู บาเจ้าอิน อินฺโท และวัดฟ้าหลั่ง แห่งกิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้พลันบังเกิดให้เป็นที่แจ้งประจักษ์แก่ตา แก่ใจของผู้คนอีกครั้งหนึ่ง
    ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาดังกล่าวนั้นก็ได้มีขึ้น ณ วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นวันทำบุญฉลองอายุวัฒน์ครบ “๙๙ วษา” แห่งท่านหลวงปู่ครูบาอิน อินฺโท สุดยอดพระอริยคณาจารย์เจ้า ผู้เป็น “พระแท้ทองเนื้อนพคุณ” แห่งเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่ ที่กำลังปรากฏเกียรติคุณอันงดงามยิ่ง บันลือลั่นไปทั่วสิบทิศอยู่ในขณะนี้นั่นเอง...
    ในช่วงปลายฤดูหนาวต่อต้นฤดูร้อน ที่บรรยากาศเริ่มจะ “นึ่งสุก” หรือ “ย่างสด” สรรพชีวิตทั้งปวงอย่างไม่ปรานีปราศรัย
    ก็ใครเลยจะคาดคิดได้ว่า ในเขตฤดู “แล้ง” เฉกเช่นนี้ จักมีเหตุการณ์ตามธรรมดาใดๆ มาช่วยบรรเทาความเร่าร้อนให้ทุเลาเบาบางลงได้เล่า ..?!?
    โดยเฉพาะกับ “เวียงพิงค์” ด้วยแล้ว เมื่อถึงคราวจะ “ร้อน” ก็ร้อนแบบสุดๆ จนบรรยายแทบไม่ถูกเลยทีเดียว... อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก เหงื่อก็หยดชุ่มตัวได้ก็แล้วกัน...
    ขนาดนี้จริงๆ
    แต่ทุกสิ่งและทุกอย่างกลับ “กลับตาลปัตร” ไปจนสิ้น ด้วยมหาบารมีของครูบาเจ้าอิน อินฺโท วัดฟ้าหลั่ง จนเหลือที่จะพยายามหา “ข้อหักล้าง” ใดๆ มา “ดิสเครดิต” ให้เป็นอื่นได้...
    เรื่องของเรื่องที่ดูออกจะพ้นขอบเขตของคำว่า “บังเอิญ” ก็ได้เกิดขึ้นในมหาพิธี “สืบชาตาหลวง” แบบล้านนาโบราณ อย่างยิ่งใหญ่มโหฬารที่สุด ณ วันทำบุญวันเกิดของท่านครูบาเจ้าฟ้าหลั่งนั่นแหละครับ...
    เป็นมหาพิธีที่น่าตื่นตาตื่นใจที่หาพระพุทธมนต์หาชมได้ยากยิ่ง
    และนับเป็นมหาพิธีที่มุ่งจะ “ให้” ความเป็นสิริมงคลแก่ศรัทธามหาชนที่มาร่วมถวายมุทิตาจิตสักการะ มากกว่าที่จะให้แก่องค์ครูบาเจ้าฟ้าหลั่งเองเสียด้วยซ้ำ ...?!?
    เพราะตามหลักแล้ว... ผู้ที่จะรับการประกอบพิธีสืบชาตาแบบล้านนานั้น จะต้องเข้าไปนั่งอยู่ใน “ซุ้ม” พิเศษตรงกลางพิธี ที่ตบแต่งด้วยเครื่องบูชาสักการะนานา พร้อมวนสายสิญจน์ล้อมรอบ ฟังพระภิกษุเจริญพระพุทธมนต์อยู่จนครบทุกบท จึงจะนับได้ว่าสมบูรณ์ตามกระบวนยุทธ์ทุกประการ
    แต่งานนี้กลับไม่ใช่ !?!
    เพราะภายหลังจากที่ท่านครูบาเจ้าฯ ได้ประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือ “หอสรงน้ำ” แห่ง “พระบรมธาตุเจ้าฟ้าหลั่ง” เมื่อเวลาประมาณ ๙.๔๙ น. เป็นปฐมฤกษ์แล้ว หลวงปู่ท่านก็เข้านั่งยังอาสนะ หน้ามณฑลพิธีสืบชาตาหลวงที่เพียบพร้อมไปด้วยพระพุทธรูป โต๊ะหมู่ เครื่องบูชา บาตรน้ำมนต์ เทียนชัย และ “ขันครูหลวง” ขนาดใหญ่ อันวางไขว้ไว้ด้วยดาบเหล็กน้ำพี้ อย่างโบราณประเพณี ที่ไว้ “ข่ม” ศัตรู และสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้วินาศไป น่าเกรงขามอย่างยิ่ง... ท่ามกลางพระมหาเถรานุเถระจากพระอารามต่างๆ ทั้งในเขตเมืองเชียงใหม่และใกล้เคียง มากกว่า “๑๐๙” รูป เต็มตามอัตราศึก...!!!
    ครั้นได้เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ตรง ประธานคณะสงฆ์เริ่มกล่าวสัคเคชุมนุมเทวดา พร้อมด้วยพระพุทธปริตสำคัญบทต่างๆ อาทิเช่น บทธัมจักกัปปวัตนสูตร, โมรปริต, วัฏฏกปริต, อภัยปริต, กรณียเมตตาสูตร, โพชฌังคปริต, ชัยปริต ฯลฯ ยาวเหยียดดังกระหึ่มก้องกังวานไปทั่วบริเวณ... ก่อให้เกิดความปีติศรัทธา เป็นมหาอุดมมงคลแก่รูปนามของทุกผู้คนอย่างเหลือล้น...
    และดังที่ได้เคยเล่ามาครั้งหนึ่ง.. พระพุทธมหาปริต“ไจยะเบงชร” หรือ “ชินบัญชรคาถา”
    แบบล้านนาที่ได้แพร่หลายเข้ามาสู่สยามประเทศครั้งแรกสุดทางจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ ๔๐๐ กว่าปีก่อน ในรัชสมัยเจ้าหลวงอโนรธา ก็ได้รับการอัญเชิญมาเจริญความเป็นมหาสิริสวัสดิ์แก่ทุกผู้คนอย่างที่จะ ละเลยไว้เสียมิได้เป็นเป็นอย่างยิ่ง
    “ชะยาสะนากะต๋า มารังสะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภั๋งเย๋ปิวิงสุ นะราสะภ๋า ฯลฯ”
    ก็ในขณะที่คณะสงฆ์ทั้ง ๑๐๙ รูป กำลังเจริญพระพุทธมงคลคาถา ตั้งแต่ต้นจนจบนั้น หลวงปู่ครูบาเจ้าอิน อินฺโท แทนที่ท่านจะ “เข้ารับ” พุทธสิริทั้งปวงอย่างที่น่าจะเป็น และควรจะเป็น เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันเกิดของท่านเอง ก็หามิได้
    แต่
    ท่าน หลวงปู่หม่อนเจ้า (ปู่ทวดเจ้า) ฟ้าหลั่ง กลับจับสายสิญจน์ขึ้นจบใส่หัว พนมมือรวบรวมพลานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย อันย่อมบังเกิดแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พร้อมด้วยพระพุทธปริตและอริยฤทธิ์อันประเสริฐแห่งพระคุณท่านเป็นที่สุด แผ่พลังอัน “หลวงหลาย” ไปทั่วอย่างไม่มีประมาณการอยู่เนิ่นนานเกือบ ๑ ชั่วโมงเต็มๆ !!!!!
    ไม่มีเลยสักน้อยที่ “จ้อง” จะ “เอา” อย่างที่สามัญปุถุชนเป็นกันอยู่จนเป็นเรื่องปกติ แม้เพียงนิด... แม้ท่านครูบาเจ้าจะอยู่ในฐานะ “ผู้ขอ” (ภิกษุ) แต่ท่านก็ไม่โปรดที่จะ “ขอ” อะไรจากใครเลย... ชอบที่จะ “ให้” มากกว่า
    และแม้แต่ในวันที่ท่านควรจะ “ได้” ท่านก็ยัง “ให้” อยู่อย่างตั้งใจมั่นยิ่ง
    ท่าน “ให้” อยู่นานมากๆ สำหรับ “ผู้เฒ่า” อายุเฉียด ๑๐๐ ปี จนบางท่านถึงกับเป็นห่วงเป็นใยไปต่างๆ นานาและแล้ว... ปฐมปาฏิหาริย์ก็พลันอุบัติขึ้นในบัดดล...
    ดวง อาทิตย์ที่แผดแสงแรงกล้าอยู่กลางนวกาศก็ “ทรงกลด” ในฉับพลันที่เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ “ธัมมจักกัปปวัตรสูตร” ทันทีทันใด อย่างเหลือเชื่อที่สุด...!!!
    ประหนึ่งว่า... เทวดา อินทร์ พรหม ทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ได้สำแดงมหาศุภนิมิต ให้ปรากฎถวายมุฒิตาสักการะในมิ่งมงคลวาระนี้ฉะนั้น...
    ในไม่ช้า... ในช่วงต้นฤดูร้อนที่น่าจะเริ่มแล้งอย่างสาหัส แต่ที่ขอบฟ้าเบื้องโน้นก็กลับได้ปรากฏหมู่เมฆหมอกบังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่าง รวดเร็ว... ทีละน้อย...
    และในตอนดึกสงัด... ฝนฟ้าก็ได้ “หลั่ง” ลงมา เอิบอาบแผ่นดินที่กำลังเร่าร้อนแตกระแหงให้ชุ่มฉ่ำไปหมด...
    ไม่เฉพาะแต่บริเวณ “วัดฟ้าหลั่ง” หรือปริมณฑลใกล้เคียงเท่านั้น... แต่กินอาณาเขตกว้างไกล แทบจะทั่วแผ่นดินล้านนาไทยทั้งหมด อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง...!?!?
    เพราะ ภายหลังจากที่ผู้เขียนออกจากวัดฟ้าหลั่งแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปถึงจังหวัดเชียงราย แล้ววกลงสู่จังหวัดพะเยา, ลำปาง, แพร่, อุตรดิตถ์ ฯ ก็เจอแต่ฝนโปรยปรายหลั่งรินอยู่มิรู้วาย เมฆหมอกครึ้มไปทั่วเกือบทั้งวัน... แถมอุณหภูมิก็ยังเย็นเยียบผิดธรรมดา จนแม้กระทั่งคนที่ชอบอากาศเย็นอย่างผู้เขียน ยังอดสะท้านไปเสียมิได้อีกด้วย...!!!
    ครั้นลองถามชาวบ้านดูว่า บรรยากาศแบบนี้มีมานานแล้วหรือยัง? ก็ได้รับคำตอบว่า
    “เพิ่งจะมีวันสองวันนี้เองแหละเจ้า!??”
    ตรงกับช่วงงานวันเกิด “ครูบาเจ้าฟ้าหลั่ง” พอดีเป๊ะๆ เลยทีเดียว...
    ครั้นพอเลยเข้าสู่เขตภาคกลาง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่ “แห้ง” และ “ร้อน” เหมือนเดิม...?!?!
    บังเอิญหรือไม่ครับผม????
    แต่โดยทัศนวิสัยแห่งปวงเหล่าท่าน “ผู้รู้แจ้ง” และ “เห็นจริง” ทั้งหลายแล้ว หลวงปู่ครูบาเจ้าอิน อินฺโท วัดฟ้าหลั่ง (ภาษาเหนือแปลว่า “ฝนตกหนัก”) ของเราท่านทั้งหลายองค์นี้ นับเป็น “วิสามัญอัจฉริยบุคคล” ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ...
    แต่ครบเครื่องทุกอย่าง ด้วยสรรพ “ธรรม” และ “ศาสตร์” ทุกแขนงอย่างน่าละลานใจเป็นที่ยิ่ง...
    “วิทยาคม” ท่านก็ได้
    “วิปัสสนาธุระ” ท่านก็ถึง
    “โลกุตรธรรม” ท่านก็บรรลุ
    และ เมื่บวกกันเข้ากับอำนาจแห่งฤทธิ์อภิญญาที่แกร่งกล้า และตบะเดชะอันยิ่งยง ประสานเข้ากับ “อริยจิต” แห่ง “พระอริยสงฆ์” ขั้นสูงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องหามลทินโทษอันใดมาตัดรอนมิแล้ว... สิ่งใดๆ ในใต้หล้าทั่วขอบเขตจักรวาลนี้ไฉนเลยจักอาจ “ต้านทาน” พลังเหนือโลกแห่งท่านครูบาเจ้าฟ้าหลั่งไปได้เล่า...
    ก็ถ้า “โลกุตรคุณ” แห่งความเป็น “พระอริยะเจ้า” ของท่านครูบาฟ้าหลั่งไม่ยอดยิ่งจริงแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์สายกรรมฐานอันยิ่งยงอย่าง หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แห่งถ้ำผาปล่อง คงไม่ทรมานสังขารไปไหว้สาสนทนาธรรมถึงปีละหลายๆ ครั้งได้???
    ก็ถ้าอำนาจจิตท่านไม่กล้าแกร่งเฉียบขาดจริงยิ่งแล้ว มีหรือที่ยอดพระอริยสงฆ์อย่างหลวงพ่อเกษม เขมโก จะปฏิเสธที่จะเสก “ทับ” พระของครูบาอิน?!?
    และก็ถ้า “ตุ๊อินโต” (คำที่ท่านครูบาอินทจักรรักษา วัดน้ำบ่อหลวง เรียกหาหลวงปู่ครูบาอิน “อินฺโท” ในสำเนียงเหนือ) ไม่เก่งแท้แน่จริง และช่ำชองชำนาญในสรรพวิชชาอย่างยอดยิ่งแล้ว หลวง พ่อกวย ชุตินธโร สุดยอดพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองเวทย์แห่งวัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท ก็คงไม่สั่งให้ศิษย์ใกล้ชิด (พระครูสมุห์ภาสน์ มังคลสังโฆ วัดซับลำไย จ.ลพบุรี) ให้ “เดินทางไกล” จากภาคกลางไปขอ “ต่อยอด” วิชชาด้วยจนถึงถึงแว่นแคว้นล้านนาประเทศอันไกลโพ้น ให้ลำบากเปล่าเป็นแน่นอน!!??
    ก็ลำพังสรรพวิชาของหลวงพ่อกวยเพียงองค์เดียว ก็ “สุดๆ” จนแม้กระทั่งหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ และ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็ยัง “ยอมรับ” เป็นอันดีอยู่แล้ว... แต่นี่หลวงพ่อกวย กลับสิ่งให้ศิษย์ไปขอ “ต่อ” วิชา กับหลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง เพิ่มเติมอีกต่างหาก จะมี “ความหมาย” และ “ความนัย” ที่ใหญ่หลวง และพิเศษสุดเพียงใดนั้น ขอทุกๆ ท่านจงเร่งไตร่ตรองให้หนักๆ จงดีทั่วกันเถิด...
    และนี่ยังไม่รวมถึงหลวงปู่ครูบาเจ้าชัยวงษาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่งถึงขนาดเหยียบศิลาให้เป็นรอยได้ก็ดี หลวงพ่อครูบาดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย ผู้งามพร้อม พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก จ.เชียงใหม่ ผู้มี “จริต” ใน “ฤทธิ์” เป็นที่ยิ่ง และพระจันทร์ทิพย์ วัดศรีสุทธาวาส (วัดเลยหลง) จ.เลย ฯลฯ ซึ่งล้วนต่างได้ถวายความเคารพและยอมรับในอิทธิคุณอันประเสริฐสุดแห่งท่านครู บาฟ้าหลั่งอยู่โดยถ้วนทั่วกัน...
    ก็หากจะยกไว้แต่ “โลกุตรจิต” และ “วิสุทธิคุณ” แห่งท่านครูบาฯ ที่แม้แต่พระอริยเจ้าสายกรรมฐานยังมาไหว้สาบูชาด้วยความสนิทใจแล้ว... อันความ “คมในฝัก” ด้วยสรรพวิชชาแห่งท่านครูบาอินก็นับได้ว่ามากมายมหาศาล และลึกล้ำพิสดารเกินกว่าที่สามัญชนใดๆ จะล่วงรู้ได้... แต่ท่านไม่เคยโอ้อวด โชว์ออฟอะไรกับใครทั้งนั้น
    ก็ถ้าผมไม่บังเอิญได้เห็น “ส่วนหนึ่ง” ของมหา คัมภีร์ล้านนา “ทวาสหัสยุทธ” ที่ครูบาฟ้าหลั่งได้เคยจดจารึกสรรพวิทยาคมไว้ด้วยลายมือของท่าน ซึ่งได้รวบรวมเอา “วิทยายุทธ” และ “พุทธาคม” ขั้นสุดยอดอย่างมหาศาลกว่า "๒,๐๐๐ วิชชา"!!!! โดยความกรุณาอย่างยิ่งจากพระเลขาฯ ผมก็คงไม่รู้ซึ้งอยู่นั่นเองว่าหลวงปู่ท่านจะ “รู้” จะ “เป็น” และ “สำเร็จ” ในวิทยาการนานามากมายถึงขนาดนี้อยู่นั่นเอง?!?!
    ดูเหมือนจะมากกว่าสายอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ...
    ก็ทำไมจะเป็นไปไม่ได้... เพราะสรรพวิทยายุทธนานาที่แพร่หลายในสยามประเทศ ล้วนมีที่มา หรือต้นตอมาจากทาง “ภาคเหนือ” มิใช่หรือ?!?!
    ทั้ง พระคาถาชินบัญชร, ทั้งพระยันต์เกราะเพชร หรือแม้แต่พระยันต์มหาจักรพรรดิธิราช ฯลฯ ที่โด่งดังอยู่ในทางภาคกลางของไทยนั้น... แท้จริงแล้วก็มี “รากเหง้า” หรือมี “ที่มา” จากแว่นแคว้นล้านนาทั้งสิ้น...
    ด้วยเหตุฉะนี้... ใครที่มีโอกาสได้อยู่ร่วมในมหาพิธีสืบชาตาหลวงที่วัดฟ้าหลั่งเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงนับได้ว่าเป็นผู้มี “โจค” (โชค) มีวาสนา และ “ป๋าระมี” (บารมี) หาน้อยไม่โดยแท้...

    เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า... ด้วยระยะเวลาที่เนิ่นนานกว่า ๑ ชั่วยามนั้น ท่านครูบาหม่อนเจ้าฟ้าหลั่ง คงได้เมตตาแผ่มหาผลาภินิหารที่รวมประสานระหว่าง “สรรพวิชา” และ “โลกุตรจิต” จนเป็นหนึ่งเดียว ประสิทธิความเป็นมหัคคมงคลอันใหญ่หลวงแก่ทุกรูปทุกนามอย่างเต็มกำลัง ชนิดที่ยากยิ่งจะพานพบ ณ ที่ไหน และจากท่านผู้ใดให้เสมอสองได้อีกแล้ว...
    แต่สำหรับท่านผู้ใดที่มิได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุอันใดแล้ว... ก็จงได้เร่งหา “สิ่งมงคลสักการะ” ที่นำเข้าร่วมมหาพิธีสืบชาตาหลวง ณ วัดฟ้าหลั่ง อันศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวดนี้ไว้บูชาให้จงดีเถิด...
    เป็น “สื่อ” ที่ “อนุรักษ์” ทั้ง “พลัง” และ “วิชชา” แห่งมหาพิธีอันยิ่งใหญ่ให้ยิ่งยงคงอยู่ตลอดไปตราบทั่วกัลปาวสาน... “ดีกว่าสวดมนต์ทิ้ง (พลัง) ไปเปล่าๆ” อย่างที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา เคยว่าไว้ไม่มีผิด...
    อนึ่ง,,, วัตถุมงคลที่ได้เข้าในมหาพิธีสืบชะตาหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งดังกล่าว ก็มี “พระกริ่งจักรพรรดิ ไจยะเบงชร”(ชินบัญชร) อันเป็นพระกริ่งพิเศษ ที่ทรงมหามงกุฎอย่างพระเจ้าจักรพรรดิจีนโบราณ ที่สง่างามและแปลกตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ยังได้ผสม ผสานโลหะศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล รวมทั้งชนวนพระกริ่งชินปัญชรปริตตํ, ชนวนตะกรุดก๋าสะท้อน, ต๋าลหิ้น, ตะกรุด ๑๐๘, เกราะเพชร ของหลวงปู่ครูบาเจ้าฟ้าหลั่ง และชนวนเหรียญที่จารึกพระคาถาชินบัญชรเต็มบทหลายสิบเหรียญ ที่ผู้เขียน(พุทธวงศ์)สละให้ไปสร้างกุศลอย่างเต็มๆ
    และยังได้นำถวายให้หลวงปู่ครูบาอินท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวเป็นการส่วน ตัวอีกหลายครั้งรวมแล้วถึง "๕" วาระ ด้วยกัน
    และในการเสกครั้งที่ ๓ ในตอนเช้าวันเกิดครบ ๙๙ วษา แห่งครูบาเจ้าฟ้าหลั่งนั้น ก็ได้เกิดรังสีปาฏิหาริย์ ลักษณะคล้ายกับลมสุริยะ (Solar Wind) หรือ “ดาวหาง” สีเหลืองทองเจิดจ้า พุ่งเฉียงจากเบื้องบน ลงมาสู่ “พระกริ่งจักรพรรดิ ไจยะเบงชร” (ชินบัญชร)อย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่ยิ่ง...!!!
    ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านครูบาเจ้าฯ กำลังสวดพระอมตะคาถา “ไจยะเบงชร” (ชินบัญชร) อยู่พอดี...!?!?
    นี้ย่อมนับเป็นมหาอานุภาพอันศักดิ์สิทธ์สูงสุดแห่ง"ชินบัญชรคาถา"ผนวกด้วย อำนาจจิตอันวิสุทธิ์ของ"ครูบาเจ้าฟ้าหลั่ง"(อิน อินโท) ที่แม้ทั้ง “ดิน” และ “ฟ้า” ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงแท้แล้ว...

    ที่มา: น. นันทวิจิตร, "เลื่องหล้า รินฟ้า ล้านนาประเทศ มหาพิธีสืบชาตาหลวง ๙๙ วษา ครูบาเจ้าอิน
    วัดฟ้าหลั่ง", คอลัมน์ของดีจากวัด, ศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ ๔๑๔ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2012
  13. สุวรรณพันธุ์โสภ

    สุวรรณพันธุ์โสภ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +8
    เชิญชวนร่วมงานวันกตัญญูหลวงปู่ครูบาอินอินโท 12 เมษายน 2555 ณ วัดใหม่หนองหอย ต.สันติสุข อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ รายละเอียดของหลวงปู่(บางส่วน)และวัตถุมงคล(บางส่วน)ตามลิงค์ครับ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=u38tzNXCmHo&feature=g-upl&context=G275c5a8AUAAAAAAAAAA]วัน"กตัญญู" 12 เม.ย. 2555 - YouTube[/ame]
    ปล.ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพหลวงปู่อย่างสุดชีวิต ........ วัตถุมงคลของหลวงปู่ท่านเสกอย่างถึงที่สุดทุกรุ่นใช้ได้เหมือนกันครับ คาถาประจำตัวหลวงปู่ครับ "อะกัจจะยัตตะปะตัทสะ" ชื่อว่าคาถาลูกแก้วแพงค่าแปลว่า คาถาที่มีค่าดุจแก้อัญมณีอันสูงค่า ซึ่งวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาอินอินโทจะมีคาถานี้หลังเหรียญหลายรุ่นครับ ตามคำบอกเล่าหลวงปู่เคยเปรยกับผู้ไกล้ชิดว่าคาถานี้ใช้ได้ทุกทางครับ
     
  14. fujiayu

    fujiayu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,001
    รูปหล่อที่สร้างแค่ 700 องค์... หายาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Pic7.jpg
      Pic7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.5 KB
      เปิดดู:
      229
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2012
  15. Phon_NB

    Phon_NB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +133
    เหรียญรุ่นไตรมาส วัฒนมงคล ๑๐๐ ปี "ขอให้รวย ขอให้อยู่ดีมีสุข" ของหลวงปู่ครูบาอิน อินโท

    <TABLE style="FONT-SIZE: 12px" id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=530 height=160><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px" height=29 vAlign=top colSpan=2>[​IMG] ประสบการณ์เหรียญรุ่นไตรมาสตัดรุ้งขาด</TD></TR><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px" vAlign=top>
    [​IMG]
    </TD><TD style="FONT-SIZE: 12px" height=130 vAlign=top align=left> คุณเนาว์ นรญาณ นักเขียนประจำนิตยสารพระเครื่องหลายฉบับ อาทิเช่น ศักดิ์สิทธิ์ กระแสพระ ฯ และ คุณสุวิทย์ ชอบใช้ สจ.อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร และครอบครัว ได้มีประสบการณ์ทดลองนำเอาเหรียญรุ่นไตรมาส วัฒนมงคล ๑๐๐ ปี "ขอให้รวย ขอให้อยู่ดีมีสุข" ของหลวงปู่ครูบาอิน อินฺโท และพระกริ่งถือดอกบัวของหลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่ และประคำ หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงษาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ทดลองตัดรุ้งที่สำนักสุสานไตรลักษณ์ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ นำมาเผยแพร่ให้เป็นที่รับทราบกัน..............
    </TD></TR><TR style="FONT-SIZE: 12px"><TD style="FONT-SIZE: 12px" width=170></TD><TD style="FONT-SIZE: 12px" height=1 width=360></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://krubain.awardspace.com/story_rainbow.htm
     
  16. Phon_NB

    Phon_NB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +133
    พระกริ่งฟ้าหลั่ง ครูบาอิน รุ่นแรก
    จัดสร้างโดยชมรมพระเครื่องกองบิน 41 เชียงใหม่ มี น.ท. สมศักดิ์ ถ้วยทอง เป็นประธานชมรมฯและประธานจัดสร้าง ซี่งคณะกรรมการหาข้อมูลจนเป็นที่ยุติที่ สร้างพระกริ่ง ครูบาอิน เพราะ ท่านมีพรรษาที่สูงและมีจริยวัตรที่งดงาม มีลูกศิษย์มากมาย
    ประกอบกับพบหนังสือของคุณประสิทธ์ เพชรรักษ์ 2532 เรื่องเจ้าแม่ม่อน เล่าการสร้างเมืองหิริบุญชัย และการสร้างพระรอดมหาวัน จัดสร้างโดยคณะสงฆ์ ที่มีท่านสาธุคุณเจ้าสุพรหมณะ อินโท แห่งดอยเขาพระงามเวียงละกอนในอดีตชาติเป็นผู้คิดแบบพระรอด วัดมหาวันอันโด่งดัง ซี่งในชาติปัจจุบันก็คือครูบาอิน นี่เอง
    โลหะวัตถุที่สำคัญในการสร้างคือชนวนพระกริ่งของวัดสุทัศน์และเม็ดกริ่ง รูปลักษณะคล้ายกับพระกริ่งวัดบวร แต่ตบแต่งลบบัวด้านข้างออก ตอกโค๊ตตราปีก ท.อ.และดอกกุหลาบพันปี​

    จัดสร้างเนื้อเงิน 99 องค์
    เนื้อนวะ 339 องค์
    เนื้อสัมฤทธิ์ 1539 องค์​

    1.เนื้อเงินมีก้นทองคำ 2 องค์,ก้นหุ้มทองคำ 2 องค์,ก้นอุดผงเกศา 2 องค์
    2. เนื้อนวะกะไหล่ทองก้นเงิน 2 องค์,ก้นอุดผงเกศา 2 องค์
    3.เนื้อสัมฤทธิ์ 1200 องค์​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 14334-p2c.jpg
      14334-p2c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.4 KB
      เปิดดู:
      217
    • 0dsc00523dd.jpg
      0dsc00523dd.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.1 KB
      เปิดดู:
      1,276
    • dd.bmp
      ขนาดไฟล์:
      18.8 KB
      เปิดดู:
      176
    • 14334-p1c.jpg
      14334-p1c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29 KB
      เปิดดู:
      203
    • 042.jpg
      042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.4 KB
      เปิดดู:
      241
    • 59c13.jpg
      59c13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149 KB
      เปิดดู:
      216
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2012
  17. Phon_NB

    Phon_NB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +133
    พระกริ่งฟ้าหลั่ง ครูบาอิน รุ่นแรก


    พิธีปลุกเสก

    1.การปลุกเสกครั้งแรก 1 พ.ย.38 ครูบาอินปลุกเสกเดี่ยวนานเกือบชั่วโมงที่ชมรมพระเครื่อง กองบิน41

    2.ปลุกเสกเดี่ยวโดย ครูบาอิน 13 เม.ย. 39 ที่วัดฟ้าหลั่ง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่

    3.พิธีปลุกเสกหมู่ ณ.วัดไชยสถาน (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นประธาน) และวัดพระสิงห์วรวิหาร เมื่อ 27ธ.ค.39

    4.ปลุกเสกหมู่ วัดพระธาตุดอยสุเทพ (หลวงพ่อเปิ่น เป็นประธาน) ปลายปี 2539

    5.ปลุกเสกเดี่ยว ณ.วัดร้องขุ้ม จ.เชียงใหม่ โดยครูบาบุญปั๋น ธัมมปัญโญ เมื่อ 13 เม.ย.40

    6. ปลุกเสกเดี่ยว โดย ครูบาไชยวงศ์วิวัฒน์ (ครูบาน้อย ชยวังโส) วัดบ้านปง เชียงใหม่ (หนี่งในศิษย์เอกครูบาศรีวิชัย) เมื่อ 5 ธ.ค.40

    7. ปลุกเสกหมู่ ณ.วัดช่างทอง หัวสนามบินเชียงใหม่ (หลวงพ่อเปิ่น เป็นประธาน หลวงพ่อไสววัดปีรดารามหลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้าและพระเกจิคณาจารย์ภาคเหนืออีกหลายท่าน)

    8. ครั้งสุดท้ายเฉพาะพระกริ่งที่เตรียมเป็นโล่รางวัลประกอบด้วย เนื้อเงินก้นทองคำ เม็ดกริ่งวัดสุทัศน์ฯ,เนื้อเงิน เม็ดกริ่งวัดสุทัศน์ฯ,พิมพ์แต่ง เม็ดกริ่งวัดสุทัศน์ฯ ก้นผงเกศา,และเนื้อสัมฤทธ จำนวนหนี่ง นำไปเข้าพิธีปลุกเสกอีกครั้งวันที่ 25 ก.พ. 42 ณ.วัดทุ่งปุย แต่เช้าตรู่ ซึ่งทางวัดกำลังมีงานและพิธีปลุกเสกพอดี ครูบาอินท่านก็อนุญาตให้เข้าร่วมพิธีได้และก็เริ่มนั่งหนักทันที เวลาผ่านไป 5 นาที ก็มีเหตุการณ์หรืออภินิหารเกิดขึ้น กล่องที่บรรจุพระกริ่งฟ้าหลั่งระเบิดเสียงดังมาก ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้ยินและได้เห็นต่างตกตะลึงไปตามๆกัน (ภายหลังท่าน น.ท. สมศักดิ์ ถ้วยทอง กรุณาเล่าเสริมว่าวันนั้นจึงเกิดเหตุมีมือดีผู้อยู่ในเหตุการณ์แย่งกันล้วงเอาพระกริ่งไปได้ส่วนหนึ่ง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2012
  18. Phon_NB

    Phon_NB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +133
    ตั้งจิตรวมสมาธิพิมพ์มากไปหน่อย เมื่อครู่เนทกระทู้ล่มเลย
     
  19. Phon_NB

    Phon_NB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +133
    ปฐวีกสิณ

    สามารถจะทำของอ่อนให้เป็นของแข็งได้ เช่นน้ำอ่อนเราก็ทำให้เป็นน้ำแข็งได้ อากาศอ่อนก็ทำให้เป็นอากาศแข็งได้ หรือวัตถุสิ่งใดที่มันอ่อนเกินไป ไม่สมควรแก่การที่เราจะใช้ ก็อธิษฐานให้ของสิ่งนั้นแข็งได้ นี่เป็นเรื่องของปฐวีกสิณ

    ท่านที่เจริญกสิณทั้ง ๑๐ ประการนี้คล่องตัว ก็สามารถจะทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ตนประสงค์ แต่ว่าการจะทำกสิณให้ครบถ้วนมันเป็นของไม่ยาก ความจริงการเจริญกสิณนี่ กสิณทุกตอนทุกอย่างจะต้องได้ถึงฌาน ๔ ทั้งหมด คือ นับตั้งแต่กสิณดินมาเป็นต้น เรียกว่าทั้ง ๑๐ อย่างคือ :-
    ๑. กสิณดิน
    ๒. กสิณน้ำ
    ๓. กสิณลม
    ๔. กสิณไฟ
    ๕. กสิณสีแดง
    ๖. กสิณสีเหลือง
    ๗. กสิณสีเขียว
    ๘. กสิณสีขาว
    ๙. กสิณแสงสว่าง
    ๑๐. กสิณอากาศ
    ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ต้องทำให้ได้ฌาน ๔ ทั้งหมด

    เมื่อทำกสิณกองใดกองหนึ่งได้ถึงฌาน ๔ แล้ว ต้องทรงกสิณกองนั้นให้ช่ำให้คล่อง นึกจะเข้าฌาน ๔ เมื่อไรก็เข้าได้ ทีนี้การทรงอภิญญาสมาบัติได้ผลอย่างไร จะแนะนำเฉพาะกสิณสักกองใดกองหนึ่ง สมมติว่าเล่นปฐวีกสิณ ปฐวีกสิณมีคุณค่าในการทำของอ่อนให้แข็ง ก็เอาน้ำใส่แก้วเข้า อย่างอื่นก็ทำเหมือนกัน อาจจะแนะนำไม่หมดทุกกอง
    ทีนี้การทำให้คล่องมันเป็นเรื่องของท่าน เอาน้ำใส่แก้วเข้า ตั้งจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ ขออธิษฐาน ขอให้น้ำในแก้วนี้จงแข็ง แล้วก็ทำจิตให้เข้าถึงฌาน ๔ ให้จิตทรงตัว ถอยหลังมาถึงอุปจารสมาธิ ให้อธิษฐานใหม่ว่า "น้ำนี้จงแข็ง" เอามือจิ้มลงไปในน้ำ น้ำมันแข็งหรือไม่แข็ง ถ้ายังไม่แข็งก็ยังใช้ไม่ได้ อธิษฐานกันใหม่ทำกันแบบนี้จนคล่อง ถ้ามันแข็งแล้วก็ทำให้มันชินต่อไป นึกปั๊บว่า "น้ำนี้จงแข็ง" แข็งทันที อย่างนี้ใช้ได้ ให้คล่องตัวแบบนี้
    นี่ส่วนกสิณกองอื่นก็เหมือนกัน ทำแบบนี้ให้มันชินให้มันคล่อง เราอยากจะใช้อภิญญาสมาบัติ อยากจะดำดินก็ได้ อยากจะเดินน้ำก็ได้ อยากจะเหาะก็ได้ อยากจะอธิษฐานให้ไฟลุกขึ้นมาโชนมาที่ไหนก็ได้ ทำที่มืดให้สว่างก็ได้ ทำที่แสงสว่างเป็นที่มืดก็ได้ จะไปนึกเนรมิตอะไรก็ได้ หูก็เป็นทิพย์ ตาก็เป็นทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ



    " น้ำไต่ "

    ครั้งหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วสมัยที่ท่านยังอยู่ที่วัดฟ้าหลั่ง วันหนึ่ง หลวงปู่ครูบาอินได้ออกปากถามพระเลขาของท่านรูปหนึ่งว่า
    “อยากดูน้ำไต่ขื่อไหม..??”
    “อยากดูครับ...ครูบา”
    “งั้นไปเอาน้ำต้นมา...”
    เมื่อพระเลขารูปนั้นไปหา ”น้ำต้น” (คนโทดินเผาแบบล้านนา ที่ใช้สำหรับใส่น้ำกินน้ำใช้) ที่มีน้ำบรรจุเต็มมาถวายแล้ว ครูบาอินท่านก็อธิษฐานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปลดเอารัดประคดของท่านออกมาให้พระเลขา ให้เอามามัดน้ำต้นคนโทไว้ให้มั่น แล้วเอาขึ้นไปผูกกับขื่อกุฏิ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนออกคำสั่งว่า
    “ลองตีน้ำต้นดูสิ” เมื่อได้ฟัง พระเลขาก็อุทธรณ์ทันทีว่า
    “อ้าว...น้ำต้นก็แตก หกเปรอะเลอะเทอะกันหมดพอดีสิครับ ครูบา..???”
    “เถอะน่า...บอกให้ตีก็ตีเถอะ...”
    “เอาก็เอาวะ...??” พระเลขานึกในใจ ก่อนที่จะหลับตา ”ตีคนโฑดินเผา” ด้วยคิดว่า อย่างไรเสีย งานนี้ต้อง ”เปียก” อย่างแน่ๆ
    โพล๊ะ...!!!!!!! อะไรกันนี่..????
    ในทันทีที่คนโทดินเผาแตกกระจายจากแรงตีนั้น แทนที่น้ำภายใจจะไหลซ่าตกลงมาตามธรรมดาที่ควรจะเป็น สิ่งมหัศจรรย์ที่พระเลขารูปนั้นแทบจะช๊อคด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตา ก็พลันบังเกิดขึ้นในทันใด
    แม้เศษดินเผาคนโทจะถูกตีแตกร่วงกราวไปหมดแล้ว แต่ “น้ำ” ที่อยู่ในคนโทนั้น กลับจับตัวเป็นก้อนแข็งรูปคนโฑ ภาชนะที่ใส่อยู่นั่นเอง โดยน้ำรูปคนโฑนั้น ก็ยัง ”ลอย” แต่งแต่งๆ กลางอากาศ โดยมีรัดประคดที่รัดคนโฑดินเผาไว้แตกแรกผูกมัดติดกับขื่อไว้อย่างมั่นคง เป็นที่น่าตื่นเต้นตกตะลึงเป็นที่สุด!!!!!!!!
    เมื่อเห็น ”พระเลขา” ของท่าน ”ช็อคซีนีม่า” ได้ที่ ครูบาอินก็สั่งต่อไปอีกว่า
    “งั้นลองเอานิ้วจี้ไปที่น้ำดูสิ...”
    เมื่อหายจากตกตะลึง พระเลขาก็เลยเอานิ้วจี้ไปที่ ”น้ำไต่” ที่ลอยยังกับลูกโป่งอยู่กลางอากาศตามคำสั่งโดยมิชักช้า ปานประหนึ่งจะพิสูจน์ให้แจ้งใจไปเลยทีเดียวว่า สิ่งที่ตนเห็นนั้น จะเป็น ”ของจริง” หรือ ”ภาพลวงตา” หรือไม่
    ซ่า...!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    คราวนี้ “ไม่มีอะไรในกอไผ่” อีกแล้ว
    เพราะในวินาทีที่นิ้วสัมผัสกับน้ำที่รวมตัวเป็นรูปน้ำต้น ซึ่งถูก ”ผูก” ติดอยู่กลางขื่อนั่นเอง น้ำรูปคนโทนั้น ก็ ”คืนสภาพ” แตกกระจายไหลซ่าลงใส่พระเลขาจนเปียกมะล่อกมะแล่กไปหมดเลยทีเดียว โดยหลวงปู่ครูบาอิน อินโท นั่งมองอยู่ใกล้พลางอมยิ้มชอบใจังหวัด.!!
    นี่คือ ”ของเล่น” สนุกๆ ของพระอริยะเจ้าผู้มีฤทธิ์อันยิ่ง...
    อำนาจจิตฤทธิ์อภิญญาของครูบาอินนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ...
    ลำพัง แค่การเสกน้ำให้เทไม่ออก ก็ยากเอาเรื่องอยู่แล้ว... แต่นี่ท่านเล่นเสกให้คงรูปเป็นทรงคนโทใส่น้ำ แถมยังเอาไปผูกห้อยไว้กลางหาวเสียอีก เก่งไม่เก่งหรือไม่อย่างไร คิดดูเอาเองเทอญ...


    " เสกลำใยเป็นแมลงผึ้ง"


    อีกคราว พระเลขา (เจ้าเก่า) ที่เคยเจอประสบการณ์ ”น้ำไต่” จนเปียกโชกไปทั้งตัว ก็ได้เห็นครูบาอินท่าน ”ทำฤทธิ์” ให้ได้ช๊อคซีนีม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยคราครั้งนี้ ครูบาอินท่านเอา ”ลำไย” (ที่เป็นเม็ดๆ กินหวานๆ นั่นแหละครับ) มาเสกเป่างึมๆ งำๆ อย่างไม่ทราบเหตุผล ชั้นแรกนึกว่าท่านจะเสกลำไยให้ญาติโยมเอาไปกินเป็นยารักษาโรคภัย แต่ไปๆ มาๆ ที่ไหนได้...
    จากลำไยธรรมดาสามัญ พอครูบาอินท่านคลายมือออกเพียงเท่านั้น จากลำไยก็กลายเป็น ”แมลงผึ้ง” บินกันหึ่งๆ ให้เห็นกันจะๆ ต่อสองนัยน์ตาของพระเลขาเลยทีเดียว..!!!!!! ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อแล้ว... และเชื่อแน่ได้ว่า หากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาทที่เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนยังคงมีชีวิตอยู่ และได้มาเห็นครูบาอินเสกลำไยเป็นแมลงผึ้งได้เห็นปานนี้แล้ว คงจะต้องมีการ ”แลกวิชา” กันอย่างขนานใหญ่เป็นแน่... หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง...???

    ที่มา http://krubain.awardspace.com/story_tayadasoon.htm





     
  20. คนนอกเว็บ

    คนนอกเว็บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +950
    กว่าจะหากระทู้เจอเหนื่อยเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...