ผลของบุญที่เห็นกับตาในสมาธิ กับในสภาพใกล้ตาย

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย solardust, 9 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    เรื่องแรกนี้เป็นตอนต่อเนื่องจาก กรรมจากการหาปลา ในหมวดกฏแห่งกรรมนะครับ

    ในเรื่องกรรมนั้น ผมได้เล่าให้ฟังว่าเห็นเรื่องของผมกับท่านยายเมื่อหลายชาติก่อน นานมาแล้ว
    ว่าสิ่งที่ทำในตอนนั้น ตามมาส่งผลอย่างไรกับตอนนี้
    จบตรงที่ผมเห็นท่านยายที่เสียชีวิตไปแล้ว มาเยี่ยมในสภาพที่เป็นคนแก่ แต่งตัวดีมาหา ทำหน้าเซ็งๆใส่แล้วก็ไป
    จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านยายมาเรื่อยๆ ต่อมาอีกหลายปี

    จนเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เข้าสมาธิอยู่ ก็เห็นผู้หญิงสาวผมยาวสลวย สวยปิ๊ง ใส่ชุดไทยมายืนโบกมือยิ้มให้
    เราก็มองดู แล้วก็นึกในใจว่า ใครฟะ ไม่เคยเห็นมาก่อน...
    คิดจบ ในนิมิตก็เห็นผู้หญิงชุดไทยถอยไปยืนห่างๆแล้วเปลี่ยนร่างเป็นท่านยายให้ดู จากนั้นก็เปลี่ยนร่างกลับเป็นสาวน้อยในชุดไทยอีกครั้ง
    หน้าตายิ้มแย้มโบกมือให้แล้วก็หายไปเฉยๆ

    ส่วนตัวผมนี่เชื่อมั่นในบุญระดับหนึ่ง แต่ไม่เคยเห็นกับตาว่า สภาพที่บุญส่งผลสำเร็จแล้ว มันมีสภาพเป็นยังไง
    ตอนนี้เห็นกับตาตัวเองแล้วนะครับ ก็เลยมายืนยันว่า บุญที่ทำแล้วอุทิศให้กับผู้ล่วงลับนั้นมีผลจริงๆ
    ใครที่ไม่มั่นใจว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตายไปแล้วจะถึงจริงหรือเปล่า
    ตอนนี้ผมขออนุญาตยืนยันเสียงแข็งคนนึงนะครับว่า ถ้าคนตายอยู่ในสภาพที่รับบุญนั้นได้ บุญก็ถึงแน่นอน

    ทีนี้ ถ้าเอาใครสงสัยว่าผมไปทำบุญอะไรมา แล้วจะเอาผมเป็นเกณฑ์อ้างอิงในเรื่องการทำบุญอุทิศส่วนกุศลนะครับ ว่าผมทำอะไรบ้าง

    ที่ผมทำมีตามนี้ครับ
    ทุกเสาร์ - อาทิตย์ ผมจะซื้ออาหารตามใจชอบสองชุด จากตลาดนัด เพื่อเอาไปวัดตั้งแต่เช้า
    ผมจะตั้งงบไว้ประมาณ 200 - 400 บาทต่อวันสำหรับอาหารถวายสังฆทาน (100 - 200 บาทต่อวัด ต่อวัน)
    เมื่อไปถึงวัด ที่วัดจะมีชุดสังฆทานเวียนอยู๋ ผมก็เอาเงินใส่ตู้ตามศรัทธา (5 - 20 บาทต่อตู้ ขึ้นอยู่กับล้วงกระเป๋าไปแล้วไปเจออะไร)
    จากนั้นก็เอาอาหารที่เตรียมมาใส่ถาดที่ทางวัดเตรียมไว้ร่วมกับชุดสังฆทานของทางวัด ไปถวายพระ

    ถายสังฆทานวัดแรกเสร็จ ก็รีบขับรถออกมา แล้วไปถวายสังฆทานแบบเดียวกันอีกวัดใกล้ๆกันต่อทันที
    ปิดท้ายด้วยการถวายดอกไม้ (จากร้านในวัดนั่นแหละ) ปิดทองพระในโบสถ์ของวัดที่สอง แล้วก็หลับตาลงตรงหน้าพระพุทธรูปในโบสถ์ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้วทั้งหลาย
    คร่าวๆก็ตามนี้ครับ ทุกเสาร์ - อาทิตย์ วันละสองวัด แทบจะไม่มีขาด
    นับจากวันที่เห็นท่านยายเป็นคนแก่ในชุดลายลูกไม้ จนถึงวันที่เห็นท่านยายเป็นสาวน้อยในชุดไทย นี่ก็น่าจะประมาณ 3 - 4 ปีได้

    ใครที่มีความคิดว่าจะทำบุญไปให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว แล้วนานๆทำทีนี่ไปคิดใหม่เลยนะครับ ทำขนาดผมนี่กว่าคนตายจะเปลี่ยนสภาพได้ก็ใช้เวลาหลายปี
    ทำบุญให้ผู้ล่วงลับปีละครั้ง หรือหลายปีครั้งนี่ กว่าจะเห็นผลกัน ผมว่าก็คงได้รอกันหลายสิบปีแน่

    สรุปคือ...
    อยากจะบอกว่า คนที่เรารักทั้งหลายที่ตายไปแล้ว มาทำบุญเองไม่ได้นะครับ ถ้าเรายังมีกำลังอยู่ก็ทำให้เค้าหน่อย ถ้าเค้าอยู่ในสภาพที่รับได้ บุญถึงเค้าแน่นอนครับ
    ต่อให้เราไม่รู้ว่าบุญจะถึงเค้าหรือเปล่า แต่รับรองว่าถึงเราแน่นอนเหมือนกัน ถึงยังไงเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้เลยครับ
     
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    เรื่องที่สองเป็นเรื่องตอนที่ผมป่วย

    ก่อนที่โรค Covid-19 จะมา ประมาณเดือนนึง ผมมีไข้ เวียนหัว ปวดตามร่างกาย ขนาดลุกไปไหนไม่ไหวเลยครับ
    เวลาที่เราไข้ขึ้นโดยปรกติร่างกายเราจะรู้สึกหนาว กินยาพาราแป๊บนึงก็หาย แต่ตอนผมป่วยกินยาพาราไปแล้วแต่ไม่หายหนาว
    เอาผ้าห่มคลุมหลายชั้นแล้วก็ยังหนาวจนสั่น สั่นแบบร่างกายกระตุกทั้งตัว เหมือนคนป่วยที่กำลังชักแหง็กๆอยู๋ในหนัง ยังไงยังงั้น
    พอชักได้ที่สักพัก ที่นี้เหงื่อแตกพลั่ก ผ้าห่มกับเตียงนี่เปียกแบบรู้สึกได้ทีเดียว

    ช่วงเหงื่อออกนี่แหละครับ เป็นช่วงที่ผมลุกขึ้นมากินยา
    ทั้งยาพาราทั้งยาสมุนไพรและของกินในตู้เย็น อะไรที่พอจะยัดเข้าปากได้ ก็รีบๆยัดเข้าไปแล้วก็โซซัดโซเซ ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาซักนิด
    จากนั้นก็รีบกลับมาที่เตียง เพราะเดี๋ยวอาการหนาวจนกระตุกแหงกๆไปทั้งตัวแบบควบคุมไม่ได้มันจะกลับมาอีก

    เป็นแบบนี้อยู่สามวันเต็มนะครับ วันที่สามนี่ผมก็สงสัยตัวเองว่า เราเป็นอะไรฟะเนี่ย ชักกระตุกมาสามวันจนเพลียไปทั้งตัว รู้สึกหมดแรง
    รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย แล้วก็พาลคิดต่อไปว่า เออ...ถ้าตายไปตอนนี้จริงๆจะเป็นไงนะ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนจะไม่ไหวแล้วจริงๆ

    พอคิดจบเท่านั้นแหละครับ มันเหมือนกับสภาพจิตของผมมันดิ่งนิ่งลงอัตโนมัติ
    ภาพของบุญทั้งหลายที่เคยทำ ทั้งที่ไปวัด ทั้งที่ทำแบบโอนเงินไปเข้าบัญชีวัด มันผุดขึ้นมาเป็นรูปๆ อยู่ในหัวลอยเต็มไปหมด
    อันโน้นก็สังฆทาน อันนี้ก็กฐิน อันนั้นสร้างโบสถ์ อันนี้ศาลา นั่นก็สร้างพระ นี่ก็ก็ซื้อที่วัด ถัดไปก็กำแพงวัด ขึ้นมาเป็นร้อยๆภาพบุญลายตาไปหมด
    บางอันลืมไปแล้วนะครับว่าเคยทำเมื่อนานมาแล้ว ก็ยังอุตส่าห์ผุดขึ้นมาให้เห็นว่าบุญนี้เราก็เคยทำนะ

    สภาพจิตใจในตอนนั้นนะครับ มันอิ่ม มันเต็มตื้นไปด้วย ความรู้สึกว่าบุญเหล่านี้เราทำไว้ดีแล้ว ตายตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะเสียใจ ไม่มีอะไรจะเสียดายแล้ว สบายใจสุดๆ
    ตอนนั้นเข้าใจแบบทะลุอยู๋ประโยคนึงเลยครับ ที่ว่า ถ้าสวรรค์มีจริงเราเข้าถึงได้แน่ด้วยกำลังบุญนี้ ถ้าสวรรค์ไม่มีจริงเราก็ได้ทำในสิ่งที่ปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญว่าดีแล้ว

    (ผมจำได้ว่าเป็นประโยคที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสสอนเอาไว้ แต่หาประโยคต้นฉบับไม่เจอ)
    จากนั้นผมก็วูบหลับไปทั้งแบบนั้นแหละครับ สภาพจิตที่นึกถึงบุญจนเต็มสภาพ จนทรงตัว เป็นยังไงก็รู้กันวันนั้นเลยครับ
    พอตื่นขึ้นมาอีกทีอาการไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ผมก็อาบน้ำแต่งตัวรีบขับรถไปหาหมอทันที เพราะกลัวว่าถ้าเกิดอาการชักมันกลับมาอีกเดี๋ยวจะได้ไปหาสัปเหร่อแทน
    ที่โรงพยาบาล... หมอบอกว่าเป็นไวรัสหลอดลมอักเสบ แต่ยินดีด้วย ตอนนี้คุณคนไข้พ้นขีดอันตรายไปเรียบร้อยแล้วครับ หมอว่างั้น....
    ทุกวันนี้ตอนมารูดบัตรเข้าโรงงาน ยังนึกเสียดายอยู่เลยว่าทำไมวันนั้นเราไม่ตายให้มันแล้วไปซะเลยฟะ รอดมาได้ก็ต้องมาลำบากทำงานงกๆอยู่อีก

    ตอนนั้น มีความคิดว่าต่อให้ตายแล้วดับสูญ ผมก็ตายได้ด้วยความสบายใจแบบสุดๆ อิ่มใจในบุญที่ทำมาแบบสุดๆ
    แต่อธิบายก่อนนะครับว่าตายแล้วไม่มีสูญ มีภาคต่อแน่นอน อันนี้ยืนยัน ประโยคด้านบนเป็นแค่อุปมาอุปมัยเท่านั้น
    สวรรค์มีจริง นรกมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง อันนี้ก็ยืนยัน

    สภาพในตอนตายที่ว่าจะมีนิมิตขึ้นมา จะมีภาพที่เราเคยทำขึ้นมา และจะเป็นตัวบอกว่าเราจะไปไหนต่อนี่ อันนี้ก็เรื่องจริง ยืนยัน เห็นมาแล้วกับตา
    ลองนึกดูนะครับ ถ้าลมหายใจสุดท้ายกำลังจะมาเยือนเรา ภาพต่างๆที่เคยทำเอาไว้ผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด แล้วมีแต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ๆมาให้เห็นตอนกำลังจะตาย
    ที่ไปของเราก็ไปในที่แย่ๆตามนั้นแหละครับ

    ส่วนพวกที่บุญก็ไม่ทำ บาปกรรมก็ไม่สร้าง ทำมาหากินไปวันๆ พอจะตายก็นึกอะไรไม่ออก ต้องรอเจ้าหน้าที่มารับไปที่สำนักงานคนตายนี่
    พอท่านถามว่าเคยทำบุญอะไรมาแล้วนึกไม่ออกนี่เรื่องใหญ่เลยนะครับ นึกถึงบาปออกอย่างเดียวก็ไปรับโทษก่อนโดนเช็คบิลก่อนเลย
    นึกถึงบาปไม่ออกท่านอาจจะให้กลับมาเป็นคน แต่การกลับมาเป็นคนที่ไม่มีบุญมารองรับการเกิด ทีนี้ชีวิตก็ลำเค็ญอีก ลำบากอีก
    แล้วถ้ารอบนี้บุญไม่ทำเหมือนรอบก่อน แต่ดันถูกความยากจนบังคับให้ทำบาปอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา กลับไปที่สำนักงานคนตายอีกที ทีนี้เป็นได้โดนแน่
     
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    สรุปคือ...
    อยากจะบอกว่า ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งนะครับ
    แล้วเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเรื่องการทำบุญให้กับเรานี่ พระองค์ท่านทรงเมตตาสอนพวกเราทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา
    ผลของบุญทั้งหลายท่านก็ทรงเมตตาอธิบายเอาไว้ด้วย

    จริงอยู่ว่าบุญแต่ละประเภทมันมีผลเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันไปในแต่ละประเภทของบุญ แต่แนะนำว่า ให้ทำให้ครบทุกบุญครับ
    แม้ว่าบุญจากการตัดกิเลส จะถือเป็นบุญสูงสุดในพระพุทธศาสนาก็จริงอยู่ แต่ถ้าคุณละเลยบุญจากการทำทานไป แล้วคุณตัดกิเลสไม่ขาด คุณก็ต้องกลับมาเกิดอีก
    ทีนี้ต่อให้เกิดเป็นคนมีปัญญา สามารถมองเห็นโลกตามความเป็นจริงได้ แต่ก็จะโดนความจนบีบบังคับให้เป็นอยู่อย่างยากลำบากและต้องดิ้นรนทำมาหากินอยู่ตลอดนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...