หลวงปู่ไม อินทสิริ เรื่องเล่าหลวงปู่ และพระป่าสายกรรมฐาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ธีระนะโม, 17 สิงหาคม 2021.

  1. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=6d102dd07f5229529fb20b1906739ac3.jpg
    #บทความจากครูบาอบ
    วันนี้จะมาเล่าเรื่อง #หินปฐวีธาตุ
    หินนี้ที่มา มาจากใหนอย่างใร และเป็นเช่นไร
    ย้อนไปเมื่อปี 2559 ครั้งนั้นผู้เล่าเองได้มีโอกาสมาพักอาศัยพึ่งใบบุญ หลวงปู่ประไพร สุภโร วัดป่าไพรรัตนวณาราม อุดรธานี ครั้งตอนนั้นหลวงปู่ได้ไปศาสนกิจที่
    ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อหลวงปู่กลับมาจำพรรษาที่วัด หลวงปู่ได้นำหิน ชนิดหนึ่ง มาฝากลูกๆหลานๆญาติธรรม จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่มากนัก ผู้เล่าเองในฐานะอยู่ใกล้และเป็นพระจึงได้มีสิทธิ์เลือกก่อน ได้เก็บใว้จำนวนหนึ่ง หลวงปู่เล่าว่าไปพิพิธภัณฑ์หิน ที่อยู่เป็นหินที่เกิดจากใต้ภูเขาไฟที่ปะทุดับแล้ว จนหล่อหลอมกันเป็นแร่ธาตุต่างๆ มีหินหลากสี ครั้งนั้นไปกับโยมอุปฐากใกล้ชิดที่ติดตาม มีโยมปวารณาว่าจะเอาหินเท่าใดก็ได้ โยมจะจ่ายให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็เดินชมเลือก ท้ายสุดได้แค่ 6-7 ก้อนเอง จากหินที่เป็นจำนวนมาก ต่อมาเดินให้โยมเขาเลือกมาเป็นถุงๆรวมหลายหลากสี โยมจับมา สี่ห้าถุง สวยๆ แต่หลวงปู่จับดูเอาแค่ ถุงเดียว และอีกหลายครั้งที่หลวงปู่ไม่เอาทุกถุงที่โยมเลือกมา หลวงปู่จะพิจารนาในส่วนตัวก่อนเสมอ
    จึงทำให้เป็นข้อสงสัยและถามหลวงปู่ว่า
    โยมถาม : ทำไมหลวงปู่ไม่เอาทุกถุงที่เลือกมามีแต่ชิ้นสวยๆ
    หลวงปู่ตอบ : ขึ้นชื่อว่าหินเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันนะ
    จะว่าเป็นหินก็จะเอาหมดหรือยังไง
    ... เหตุนี้เองจึงทำให้มาน้อมคิดดูว่า จากพิพิธภัณฑ์หินที่มีหินจำนวนมากมาย ท้ายสุดหลวงปู่ได้เลือกมามีจำนวนที่ไม่มาก จากปี 2559 มาหินจำนวนชุดเดิมหลวงปู่ก็คงมีแต่ผู้หวงแหนเก็บรักษาใว้เป๋นอย่างดี ผู้เล่าเองก็มี และได้เก็บใว้พอสมควรรักษา ..จำใว้เสมอถึงคำที่หลวงปู่บอก มิใช่เห็นว่าเป็น หิน เหมือนกันก็จะเหมือนกันนะ มันต่างกัน หลวงปู่ยังเลือกมาได้แค่นั่นเลย ที่ผ่านหลวงปู่ สมัยผู้เล่าได้ประสบนั้นมั่นใจและลงใจในองค์หลวงปู่นำมาแจกให้ ไม่มีข้อสงสัยใดๆและเป็นสิ่งที่หลวงปู่พิจารนาแล้วนั่นเอง
    ... อุปมาใว้ว่าขนาด คนเหมือนกันยังไม่เหมือนกัน
    ขนาดไม้ไผ่ ขึ้นชื่อว่าไม้ไผ่เหมือนกัน ยังมีต่างพันธ์ุกันเลย
    หิน ก็เช่นกันนั้นหล่ะน่ะ ...
    ฝากเป็นเรื่องเล่าใว้นะครับ อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆนักมักจะโดนหลอกได้ง่ายๆ ทุกวันยิ่งแอบอ้างแสวงหาต่างมีมากมายจนน่ากลัว

    หินปฐวีธาตุหลวงปู่ประไพร สุภโร วัดป่าไพรรัตนวณาราม
    ?temp_hash=6d102dd07f5229529fb20b1906739ac3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__4227094.jpg
      S__4227094.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.6 KB
      เปิดดู:
      99
    • S__4227097.jpg
      S__4227097.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.6 KB
      เปิดดู:
      103
  2. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=d7f722856b7fa89245436cc898839c29.jpg
    หลวงปู่มั่นให้โอวาท ติดดี แก้ยากกว่าติดชั่ว

    โอวาทของหลวงปู่มั่นมีค่าอย่างเหลือล้น ใช้เป็นสิ่งเตือนจิตเตือนใจ ตัวเองไม่ให้หลงติดความดีที่ตัวเองบำเพ็ญ ไม่หลงว่าตัวเราดีแล้ว เก่งแล้ว บรรดาหมู่คณะ ไม่มีใครเคร่งเท่าเรา ไม่มีใครก้าวหน้าในการ ปฏิบัติเท่าเรา

    พอความ หลงดีหรือติดดี เกิดมากขึ้น ก็จะพาให้ ลืมเป้าหมายการปฏิบัติว่าแท้จริงแล้ว เราทำไปก็เพื่อให้หมด ตัวเราแล้วยังจะมี เราที่เก่งกว่า ดีกว่า อีกหรือ

    แล้วเจ้าตัวติดดีนี้ก็จะทำให้ เราเป็นชาล้นถ้วย ใคร ๆ เตือนก็ไม่ฟัง สำคัญว่าฉันเข้าวัดมาก่อน ฉันใกล้ชิดครูบาอาจารย์มากกว่า ฉันนั่งสมาธิเดินจงกรมมากกว่า ฉันรู้ข้อธรรมะมากกว่า

    แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นคนติดดีก็คือ ให้ยึดหลักที่พระ พุทธองค์และหลวงปู่ว่า

    จงคอยเตือนตนด้วยตนเอง อยู่เสมอ ๆ ว่าเราปฏิบัติเพื่อละโลภ โกรธ หลง การจะให้ใคร ๆ มายกย่องว่าเรา เก่งเราดี อย่าให้มีในจิตใจ หากมันผุดขึ้นมา ก็ให้ละมันเสียด้วยการรู้ เท่าทัน การมีการเป็น ไม่ใช่เป้าหมาย มุ่งละกิเลส โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งตัวมานะที่ชอบเปรียบ เทียบกับคนอื่น จับผิดคนอื่น ออกจากจิต ใจ

    บอกตัวเองว่าฉันจะ …ปฏิบัติอย่างคนโง่ ไม่สำคัญตนว่าดีแล้ว รู้แล้ว ตามที่หลวงปู่มั่นแนะนำ เช่นนี้แล้ว จึงจะพอมีทางให้ปฏิบัติ ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ผ่านพ้นภาวะติดดี เพราะ ถ้าติดดีขึ้นมาแล้ว มันแก้ยากกว่าติดชั่วเสียอีก

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    วัดบรรพตคีรี อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 099.jpg
      099.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88 KB
      เปิดดู:
      101
  3. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=8fe234e83daf5fac5945e08fef49a027.jpg
    บวชมาอยากได้บุญ หรือ อยากได้บาป ?
    มานอนกินอยู่อย่างนี้หรอ ชาวบ้านเขามาทำบุญ...
    เขาก็อยากได้บุญไม่ใช่หรอ...จะเอาอะไรให้เขา !!

    วัตรปฏิบัติอันเข้มข้นจากหลวงปู่อ่อน

    ในสมัยนั่นหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ กำลังสร้างโบถส์ เขาก็เอาหินเอาทรายไปลงทีละๆ 10 คันรถอย่างนี้ หินก็เป็นหินก้อนภูเขาใหญ่ๆ หลวงปู่อ่อนก็ใช้ให้ไปกวาดตักหินทรายมากองรวมกันไว้เป็นกองใหญ่ เพราะเดียวมันจะไม่มีที่จะจอดรถ

    "โอ้ย!...ทำงานทั้งวันพอตกเย็นจะไปสรงน้ำ เสร็จแล้วจะไปนอน"

    มึงเสร็จ...วันหลังไม่ได้นั่งดีหรอก!! (ฟังเทศน์)

    "มาทำงานแค่นี้หรอ จะไปนอนแบกหมอนหรอ ?
    มาทรมานกิเลสไม่ใช่หรอ บวชมาอยากได้บุญหรืออยากได้บาป มานอนกินอยู่อย่างนี้หรอ ชาวบ้านเขามาทำบุญ เขาก็อยากได้บุญไม่ใช่หรอ จะเอาอะไรให้เขา " (หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เทศน์สอน)

    โอ้ย!! ซัดไปอีกเหนื่อยเท่าไหร่ก็ต้องไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ไม่ยอมท้อถอย ก็ถือว่าเป็นแนวหน้าในสมัยนั้น หลวงปู่ไปอยู่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นแนวหน้าในการปฏิบัติ ไม่ยอมหยุดว่างั้น โน้นแหละจนหลวงปู่ท่านบอกว่า..."#พระรุ่นน้องลงไปมีอะไรขัดข้องไปถามท่านไมว่างั้น!!

    อุ้ย!...เราอาย...อายพวก
    ตอนที่หนีไปจำพรรษาที่บ้านหัวหนอง โยมเขามานิมนต์ไปจำพรรษาอยู่ที่นั้น พระหลวงตา,พวกพระหนุ่ม,ขัดข้องในกาปฏิบัตินั่งปฏิบัติภาวนาต่างไปหาหลวงปู่ เราเป็นพระผู้น้อยอยู่ 4-5 พรรษา ตามไปถึงที่เราจำพรรษา มาถามธรรมะ

    หลวงปู่ไม : มาถามผมทำไม ทำไมไม่กราบเรียนถามหลวงปู่อ่อน ผมไม่กล้าพูดหรอก หลวงปู่ยังดีๆอยู่ไม่ได้ๆ

    พระที่มาหา : พวกผมไม่กล้าเข้าหาหลวงปู่อ่อน

    โอ้ย! เราจะพูดมากก็ไม่กล้าพูด แต่ก็พูดให้ฟังอยู่หน่อยเดียว คำสองคำพอ...พอเท่านี้พอแล้วเดียวผมจะโดน กลัวไปหนองบัวบานแล้วหลวงปู่จะซัดเราเลยนะ เจียมตัวไว้กลัวหลวงปู่ท่านจะซัดเรา

    "แหม่!...พอออกจากเราไปทำเป็นใหญ่เลย"

    กลัวท่านจะว่าอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นต้องสงบให้ดีระมัดระวังเป็นที่สุดไม่จำเป็นจะไม่พูดเลย เล็กๆน้อยๆอะไร ถึงจะรู้เท่าไหร่ก็จะไม่พูด นี้เป็นอย่างนี้ ต้องระมัดระวังในสมัยนั้น หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านยังมีอยู่

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 823.jpg
      823.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.8 KB
      เปิดดู:
      96
  4. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=8fe234e83daf5fac5945e08fef49a027.jpg
    อยู่ในกลางทะเลโน้น น้ำเหล็กแดงอยู่โน้น
    ใครละจะเอาไปส่งได้ มันก็เอาไปส่งไม่ได้‼


    เคยมีญาติโยมมาถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆว่า...
    "พ่อของโยมตายไป 1 อาทิตย์แล้วไปเกิดหรือยัง"

    คิดดูสิ!...แสดงว่าไม่รู้นะ แล้วไปคำนวนได้ยังไง ว่าพ่อตัวเองจะมาเกิด คนอะไรถึงจะไปเกิดง่ายได้ขนาดนั้น ที่เกิดนะมันไปเกิดในภพอื่น เกิดได้อยู่ในภพอื่น ในภพวิญญาน ในภพวิญญานนะ

    ถ้าทำความชั่วก็ไปเกิดในนรก !
    ถ้าทำความดีก็ไปเกิดบนสวรรค์ บนนี้นะเกิดได้ !

    แต่คำถามนี้...
    เหมือนกับว่าไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง ?
    โอ้ย!! มันจะไปเกิดได้ยังไง 7 วัน

    " คิดดูสิคนไหนนะ...แต่งงานไปแล้วจนกว่าที่จะได้ลูกนี้ "

    ท้องกี่วันถึงคลอดลูก?
    เราก็ลองๆคิดดูสิ มันต้อง 9 เดือนถึง 10 เดือนหรือ 8 เดือนเต็มอย่างนี้ บางคนก็เป็นอย่างนั้นถึงคลอด ไม่ใช่ว่า 7 วันจะไปเกิดแล้ว มันไม่ใช่!!

    เอ่อ แล้วก็ถามสุ่ม 4 สุ่ม 5 ไป

    เราก็เลยพูดไป : เอ่อ...เกิดแล้ว เราก็พูดไป
    (หลวงปู่ก็บอกไป เกิดแล้วไปเกิดแล้ว)

    โยม : ไปเกิดที่ไหน??

    หลวงปู่ : คนไหนทำดีเราก็บอกโน้นแหละไปสวรรค์ คนไหนทำบาปก็โน้นแหละในนรก บาปไม่มากก็ไปเป็นสัมภเวสีอยู่โน้น (แต่ถ้าพูดอย่างนั้นลูกก็หน้าจ๋อยไปเด้)

    โยม : ทำไงพ่อหนูถึงจะพ้นจากความทุกข์?

    หลวงปู่ : เอ่อทำบุญให้ !!...(เราก็บอกไป)

    โยม : จะถึงหรือเปล่า??

    หลวงปู่ : อันนั้นถึงไม่ถึงมันเป็นเรื่องหนึ่งนะ การที่จะทำบุญให้ไปถึงผู้ที่ตายไป ไม่ใช่ว่ามันจะได้ทันทีนะ พระพุทธเจ้าได้แสดงเอาไว้ว่าการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว บุคคลคนๆนั้นเมื่อไปตกอยู่ในนรกอเวจี แล้วมีคนจะไปส่งเสบียงได้ไหม

    "มันอยู่ในกลางทะเลโน้น...น้ำเหล็กแดงอยู่โน้น!!"
    "ใครละจะเอาไปส่งได้ มันก็เอาไปส่งไม่ได้ !! "

    แล้วผลบุญนั้นไปอยู่ที่ไหน ก็ไปอยู่กับคนที่ทำนั้นแหละ อานิสงส์ก็จะเกิดกับคนที่ทำนี้แหละ ลูกหลานที่ทำก็ยังได้มารับบุญรับกุศลอยู่นี้ เป็นการสั่งสมบุญกุศลแต่บุญกุศลที่สั่งสมอยู่นี้ เมื่อผู้ที่เป็นบิดามารดาหลุดพ้นจากเมืองนรกมาเมื่อไหร่ ก็ยังมีส่วนแบ่งอยู่นี้มันเป็นภาษาจิตที่แบ่งอยู่ตลอดเวลา พอพ้นจากนั้นขึ้นมาก็จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล

    เมื่อได้รับส่วนบุญส่วนกุศลแล้วทำยังไงถึงจะได้ไปเกิด ก่อนที่จะได้ไปเกิดนี่ต้องเกิดความสำนึก ความสำนึกรับบาปของตัวเอง รับสารภาพว่าตนเองได้ทำความชั่วเอาไว้จะไม่ทำอีก ถ้าทำแล้วก็เป็นบาปอยู่อย่างนี้มันก็ทรมานอยู่อย่างนี้ สำหรับผู้ที่เขาไม่ได้ทำบาป เขาตายไปแล้วนี่เขาไปอยู่บนสวรรค์ เป็นเทพเทวดาเสวยทิพย์สมบัติ นั่นคือเขาได้ทำบุญ เราอยากจะเป็นเหมือนอย่างเขา

    เมื่อเราอยากเป็นเหมือนเขาแล้วเราจะทำยังไง ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นมนุษย์เมื่อเกิดขึ้นเป็นมนุษย์แล้วเราจะไปทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญเมตตา ภาวนาเหมือนเขาคนนั้นอย่างนี้

    เมื่อมีจิตศรัทธาความเลื่อมใสอย่างนี้ บาปก็จะบรรเทาเบาบางลงไปเรื่อยๆ ตามกระแสจิตที่สะสมไปเรื่อยๆทุกวันๆ ผลสุดท้ายก็หลุดพ้นจากกรรมเมื่อพ้นจากกรรม ก็จะไปเกิดในสวรรค์เลยก็ได้ หรือจะเสวยหาที่เกิดมาเป็นมนุษย์อีก

    เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้วก็ตามความสำนึกของตนเอง บางคนก็สมปรารถนาที่ได้สมปรารถนามาเป็นระยะนาน ตั้งแต่ได้สติมาอาจจะเป็นร้อยปีอย่างนี้ ถึงจะได้มาเกิดอย่างนี้การสั่งสม อนุโมทนาบุญตามบุญที่เห็นคนอื่นได้ทำบุญ อย่างที่เห็นเราเขาก็อนุโมทนาบุญด้วย สาธุ

    เวลาเราทำบุญเขาก็จะสาธุด้วยอยู่เรื่อยๆ ขออนุโมทนาด้วย ถ้าข้าพเจ้าได้มาเกิดข้าพเจ้าก็จะมาทำเหมือนอย่างพวกท่านนี้แหละอย่างนี้ทุกครั้งไป บางทีจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์โดยง่าย

    เมื่อมาเกิดแล้วจิดก็เป็นบุญเป็นกุศล มีศีลมีธรรมอยู่ในใจ เห็นสัตว์ตัวเล็กๆน้อยๆก็เกิดเมตตาสงสารแสดงว่ามีศีลข้อที่ 1 แล้ว
    แล้วก็ไม่ขโมยของคนอื่น ไม่ไปล่วงละเมินในสิทธิ์ของบุคคลคนๆอื่น ซึ่งเป็นสามีภรรยาของคนอื่น
    หรือไม่ไปโกหกพกลมไม่กินเหล้าเมายาติดยาเสพติดให้โทษอย่างนี้ เป็นอุปนิสัยเกิดขึ้นมาเองเลย ไม่มีใครไปแนะนำสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้
    จากที่เคยเป็นสัตว์นรกจากที่เป็นสัมภเวสี จากที่เคยเป็นเปรตก็มาเป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ตายไปก็จะไปเป็นเทพเทวดาเป็นท้าวสักกะเทวราชนี้มันเป็นอย่างนี้ นี้คือบุญกุศลสามารถมี่จะข้ามขั้นได้โดยง่าย

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าภูเขาหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ผู้ถอดเทป : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.8 KB
      เปิดดู:
      85
  5. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=363cd3011fdbe9fe00af210d85d99f37.jpg
    เ ม ต ต า ธ ร ร ม ห ล ว ง ปู่ มั่ น
    เล่าโดย หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม

    ❝ เมื่อผมได้ไปศึกษาธรรมะอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ถึงแม้ผมจะไม่ได้ใกล้ชิดเท่าใดนัก เท่าที่ผมสังเกตดูบทบาทที่ท่านแสดงออกเป็นประจำวัน รู้สึกว่าท่านมีความสม่ำเสมอจริงๆ

    แม้แต่การกราบของท่าน ท่านทำตามแบบเบญจางคประดิษฐ์ตลอดทุกครั้งที่ท่านกราบ ท่านจะทำอยู่อย่างนั้นไม่เคยเห็นท่านเลินเล่อเผลอสติเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    มือของท่านวางสูงต่ำแค่ไหน เวลากราบในคราวต่อไปก็ทำอยู่อย่างนั้นไม่มีวิปริตผิดเพี้ยนไปจากเดิมเลย ตลอดคำพูดของท่านก่อนจะพูดออกมาแต่ละคำ จะต้องผ่านตาข่าย คือ

    'สติและปัญญา'

    กลั่นกรองเสียก่อน ท่านไม่ได้พูดไปตามอารมณ์ ท่านพูดได้เหมาะสมกับ บุคคล สถานที่ และโอกาสจริงๆ

    แม้แต่มารยาทที่ท่านแสดงออกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางครั้ง ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้เกิดความรักและชัง ท่านก็มิได้แสดงอาการวิปริตผิดเพี้ยนไปจากเดิมแม้แต่ประการใด

    โลกธรรมไม่มีทางทำจิตของท่านให้หวั่นไหวได้เลย

    ท่านวางตัวอยู่ในระดับปกติจริงๆ และมีลักษณะแผ่ซ่านออกซึ่ง

    'เมตตาธรรม'

    ซึ่งไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อคนอื่นจึงทำให้ผู้อื่นที่ไปสู่สำนักของท่านได้รับความเย็นใจและสบายใจ

    ท่านจึงสามารถปรับปรุงแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเสียหาย ไม่เพียงแต่ในจังหวะที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเท่านั้น แม้แต่ยามปกติธรรมดาไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย ท่านก็มีความปกติอยู่อย่างนั้น

    ถ้าคนไม่มีความปกติภายในจะมาดัดจริตทำเอานั้นต้องมีเผลอบ้างเป็นบางครั้งบางโอกาส ผมคอยสังเกตดูตั้งนานก็ไม่เคยเห็นท่านเผลอตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่ผมเล่าย่อๆ สู่ฟังเท่าที่ผมสังเกตมา
    ผมคอยสังเกตดูท่านอย่างพินิจพินิจพิเคราะห์ ดูบทบาทมารยาทที่ท่านแสดงออกทุกอย่าง ไม่เคยเห็นกิเลสของท่านแล่บออกมาด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ท่านสงบจริงๆ สมกับคำที่ว่า ❝ สมณะ ❞ ผู้สงบ

    ยิ่งมองยิ่งพิจารณายิ่งทำให้ผมมีความปลื้มใจ เกิดศรัทธาเลื่อมใสเป็นลำดับ

    จนผมนึกอุทานในใจว่า
    โอ.. ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรบทที่ว่า
    ❛ สมณานญฺจ ทสฺสนํ ❜
    การเห็นสมณะเป็นมงคล เป็นอย่างนี้

    ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงจะเหมือนความรู้สึกภายในได้ ❞

    ธรรมเทศนาจากความทรงจำของ
    พระเดชพระคุณ พระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) วัดเขาสุกิม
    ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕
    ครบรอบ ๑๕๒ ปี นับแต่วันชาตกาล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__6692867.jpg
      S__6692867.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.1 KB
      เปิดดู:
      69
  6. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=6652af7c91666237b7eaa27cc12b095e.jpg
    ขอถามญาติธรรมหน่อยนะ
    เมื่อเวลาผลหมากรากไม้เกิดขึ้นมา ทำไมถึงมีอะไรเข้ามาแซกมาแซง ทำให้มันแหว่งให้มันหมิ่นไปล่ะ มันทำไมถึงไม่เต็ม กุศลผลทานที่ทำไปนั้นก็ปรากฏให้เห็นอยู่ จะไปสงสัยทำไม แล้วใครจะไปรู้เห็นกุศลผลทานที่ฉันทำบุญ เวลาเมื่อตายไปแล้วน่ะ ก็แผ่นดินนี้แหละเขาเห็นอยู่

    ตอบในใจน่ะที่หลวงปู่ถามนี่!!
    ที่พากันมาทำบุญใส่บาตรหยาดน้ำวันนี้เอาเท้าเหยียบพื้นดินมาใช่ไหม หรือเดินมาบนอากาศกัน?
    เวลาเดินมาน่ะจิตของเราตั้งมั่นอยู่ในการให้ทานไหม
    หรือจิตยังสาดส่ายวิ่งไปตามอื่นๆอยู่ เวลาเหยียบลงเท้าซ้ายเท้าขวาที่จารึกไว้บนพื้นแผ่นดินนี่ รอยเท้าของเราที่ติดบนแผ่นดินนั้นแหละผู้เป็นพยาน จิตของเราคิดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ที่ติดอยู่บนแผ่นดินนั้นแหละ

    เรียกว่าบัญชีใหญ่ของยมฑูตยมบาลอยู่ตรงนี้ เราคิดดีหรือไม่ดี ฝาเท้าจารึกไว้บนแผ่นดิน หรือจารึกไว้บนแผ่นกระดาษ ปลายปากกาเขียนบันทึกจารึกไว้บนกระดาษอ่านได้ฉันใด รอยเท้าของเราที่ประทับไว้ในพื้นแผ่นพสุธา ที่เราทำดีหรือไม่ดี คิดดีหรือไม่ดี ก็เหมือนบันทึกเอาไว้ในแผ่นพสุธาได้แล้วนั้นแหละ จะมาบอกว่า ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเราคิดอะไรทำอะไร

    โอ้ย !! ไม่ต้องมาสงสัยหรอก
    "หลวงปู่องค์นี้เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลย"
    1,000,000% เลยน่ะ!! คิดอะไรทำอะไรมีหรอจะไม่รู้ ใจตัวเราเองคิดว่าจะทำบุญกุศลยังเขียนบันทึกจารึกความดีความชั่วประทับแล้ว มันจะหนีไปไหน ยมฑูตยมบาลก็เห็นอยู่นี้ พอเขาเปิดตำราก็เห็น อ๋อ คนนี้มาอย่างนี้ รอยเท้าของมึงรอยนี้ ตอนนั้นจิตของมึงคิดไปแบบนั้นอย่างนี้ กรรมตัวนั้นก็เป็นอย่างนี้เขาตัดสินน่ะ ใครเป็นผู้ตัดสิน ตัวเราเองเป็นผู้ตัดสินเอง ตัวเราเองต่างหากที่ทำ จะไปโทษคนอื่นหรอ อย่าไปโทษ ตัวคนอื่นเขาก็มีขาเดินเหมือนกัน เขาก็มีจิตใจเหมือนกันกับเราเข้าใจไหม นั้นมันเป็นโลกของเขา โลกอันนี้ก็คือตัวตนสกลกายเรานี้

    บางทีบางคนก็พูดแบบแปลกๆ ว่าต่อไปโลกเรากำลังจะแตกแล้ว ในโลกก็จะแตกโลกจะสลายแล้ว เข้าใจไหมว่าโลกแตกน่ะ โลกหรือแผ่นดินนี้หรอจะแตก ก็แตกระแหงอยู่ถ้าฝนมันไม่ตกน่ะ

    "พระพุทธเจ้าก็ตรัสอยู่ว่าโลกนี้ก็คือตัวของเรา" เข้าใจหรือยัง มันแตกระแหงมาแต่เกิดโน้นน่ะ ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่โน้น มันเจริญเติบโตขึ้นมา จนกระทั่งเนื้อหนังเหี่ยวย่นเหี่ยวยาน สายตามันก็พร่ามัวไปหมดแล้วเห็นไหม มันแตกอยู่ทุกวันไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ดูของจริงไม่พิจารณาของจริงกันบ้าง เดียวจะหาว่าหลวงปู่ไม่เคยพูดอะไรให้ฟังเลย พูดแล้วมีใครฟังบ้างมีแต่ปากปราญบัญฑิตทั้งนั้นจับคู่เถียงกันทะเลาะกัน เก่งกันทั้งนั้นเลย จะให้หลวงปู่หลวงพ่อองค์นี้พูดได้ยังไง ปู่เลยฟังพระธรรมเทศนาของญาติธรรมของพ่อพระแม่พระนั้นแหละพูดให้ฟัง เป็นผู้เทศน์ให้หลวงปู่ฟัง ปู่นั่งฟังสบายเลย ได้เวลาก็ฉันก็กินเต็มท้องให้อิ่ม

    เมื่อเวลาตัวเองทำบุญสร้างกุศลนี้เลยพูดถึงเรื่องบุญให้ฟัง พูดเรื่องบาปให้ฟัง เข้าใจบ้างสิ ก็เพราะมันหลงกันเข้าใจไหม มันเมากัน เมาจนไม่รู้สำนึกตัวเอง เมาจนไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ววนเวียนในวัฏสงสารนี้ เกิดมากี่ภพกี่ชาติกันแล้ว รู้แล้วใช่ไหม ตายไปแล้วจะขึ้นสววรค์ชั้นไหนหรือว่าจะไปลงนรก ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายตายไปแล้วน่ะ เห็นไหม มันก็ยังไม่เห็นอีก แล้วรู้ตัวเองหรือเปล่าว่าตายแล้วจะไปไหน แล้วก็พากันไปสงสัยว่าที่กูทำบุญไปนั้นกูจะได้หรือเปล่า จะไปสงสัยทำไหม ในการทำดี อย่างนั้นจะบอกทำไม

    "อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ"
    เป็นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลก คำว่าโลกก็คือตัวเรา บุญแล้วที่เรามีข้าวปลาอาหารให้เราอยู่ ไม่ให้มันแตกมันดับไม่ให้มันตายง่ายเข้าใจไหม ให้มันเป็นไปตามอายุขัย ให้เข้าใจสิ รู้ไหมว่าโลกแตกน่ะ ก็คือตัวเรานี้แหละ


    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
    หลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโป่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ
    จ.จันทบุรี (ศิษย์ในองค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 92869.jpg
      92869.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60 KB
      เปิดดู:
      84
  7. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=fd8c28ccb10f1c1952b3831fa4527126.jpg
    เรื่องแสงกระสือจากฝั่งลาว
    (วิบากกรรมของผู้กระทำเดรัจฉานวิชา)


    มีช่วงหนึ่งเข้าพรรษาใหม่ๆ โน้นนะที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนมนะ "โอ้ย! คนตายเรียงวัน เรียงวันเลย ตาย ๖-๗ คนแล้ว แล้วกลางคืนมานี่ "โอ้ย! แสงดวงใหญ่มาเลยอ้อมหมู่บ้านทุกคืนเลย ไปที่ไหนคนสลบที่นั้น "ฮ่วย!...ทั้งพระทั้งโยมไม่ได้หลับไม่ได้นอน"

    "ต้องมาหาหลวงปู่ จะมานิมนต์ให้หลวงปู่กลับไป"

    โอ้ย!....ไม่กลับไปหรอก กลับไปเอาหินกับทรายมา ให้ไปเอาที่นครพนมพุ่นเด้อมา...เขาก็เลยต้องวิ่งรถกลับมาจากหลวงปู่ไปนครพนม กลับไปเอาหินเอาทรายมา เอามา ๒ กระสอบ ทีนี้หลวงปู่ก็อธิฐานให้แล้วก็ให้ไป..."โอ้ย! มันกลัวจนไม่ได้หลับได้นอน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลยเด้ แจกกันคนละถุงๆช่วยกันหว่าน วันหลังมามันหายหมด!!

    โยม : ปู่ครับพวกนี้มันผีเร่ร่อนหรือผีประจำถิ่นหรอครับ ?

    ลป. : มันมาจากฝั่งลาวเลย ข้ามแม่น้ำโขงมา

    โยม : โอโห้ !!!

    ลป. : พวกนี้ร้ายมากเลย พวกพระในพื้นที่ไม่มีปัญญาแล้ว จึงมาขอเอาหินเอาทรายที่เสกให้ไปหว่านเอา รอบบ้านหายเงียบไปเลยเขาว่านะ และก็สายสิญจน์ให้ไปแจกกัน

    มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งได้ ๒ ขวบ
    นั่งอยู่พอแสงนั้นมันพุ่งมา...สลบลงกับที่เลย เขียวขึ้นเลย ตาค้าง มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีเหรียญหลวงปู่คล้องคอเลย....เด็กฟื้นขึ้นมาเลย มันเอากันแบบสดๆกันหลายคนเลยนะ ที่นั้นนะ

    #คนมันไม่เชื่อนะได้เหรียญหลวงปู่ไปมันก็ไม่ได้ผล

    โอ้ย! นั่งอยู่ดีๆนี่ ก็หัวคะมำลงไปกับที่เลย...ตาย!!

    ตายแล้วเขาก็เอาไปเอกซเรย์ดู...ไม่มีตับ !! มันกินตับหมดแล้ว ผีมันมาจากเมืองลาว มันร้ายเด้ พวกผีนี่ ผีกระสือนี่ มันมาเป็นแสงเลยเด้...

    โอ้ย! แสงนี่...ดวงใหญ่มากเลย
    ผ่านไปที่ไหนคนสลบเป็นแถวเลย

    โยม : โฮ้! แล้วคนพวกนี้เขาเป็นได้ยังไงครับหลวงปู่ พวกที่เขาเป็นปอบ เป็นกระสือนี้ครับ ?

    ลป. : พวกนี้มันเป็นตั้งแต่ยังเป็นคนแล้ว พวกนักเลงโตนี้แหละ ไปเรียนวิชาอาคมมา วิชาพวกนี้ "วิชามาร" มารนี้ทำให้เป็นผี แต่ก่อนมีลุงคนหนึ่ง ลุงหลวงปู่นี่แหละ ไปเรียนวิชาอาคมมา ปืนยิงไม่เข้าเด้ ทีนี้อยู่มาๆก็...เขาไม่ให้ไปกินพวกอาหารที่สดๆนะ แต่แกไปกินแหล่ว วิชานี้มันก็เลยทำให้กลายเป็นผีแก่กล้าเลย
    วันไหนไม่ได้กินเนื้อสดๆนี่...นอนหลับไปก็ฝันว่าได้ไปกินคน พอฝันว่าได้ไปกินคนแล้วก็กลายเป็นปอบ แล้วไปเข้าคนอยู่ที่โน้นแล้ว เขาก็เอาหมอผีมามัด...เขาถามว่าชื่ออะไร ก็บอกเขาละทีนี้เพราะเขาตีเอาเด้ พออยู่มามันเดือดร้อน แกก็อยู่ไม่เป็นสุข เลยไปหาพระทำพิธีและทำน้ำมนต์ให้เพื่อล้างอาถรรพ์ จึงหายเป็นปกติ...

    ถอดจากเทปเรื่องเล่าหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S_.jpg
      S_.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.2 KB
      เปิดดู:
      83
  8. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=3318331f3879239686b0dd1dcd62172b.jpg
    ถาม : ทำไมถึงไม่ได้เหมือนกัน ?
    ตอบ : เพราะได้คนละคาถาได้คนละวิธี

    เรื่องธรรมะทุกคนที่อยู่ที่นี้มีธรรมะหมด
    ไม่มีผู้ที่จะไม่มีธรรมะ แต่จะมีมากมีน้อยอันนี้ต่างกัน

    ทำไมถึงต่างกัน ?
    ก็เพราะบุญสร้างมาไม่เท่ากัน มันถึงต่างกัน คนที่มีบุญมากนั่งสมาธิภาวนา จิตก็สงบได้ง่าย เมื่อจิตสงบแล้วดวงสว่างก็เกิดขึ้นมาง่าย ดวงสว่างเกิดขึ้นแล้ว

    บางคนก็ไม่เห็นอะไร...บางคนก็จะเห็น
    บางคนก็เห็นเป็นดวงสว่างเล็กๆ
    บางคนก็สว่างทั่วไปไกล ไม่มีขอบเขตจักรวาล
    บางคนรู้ไปถึงสวรรค์ลงไปเมืองบาดาล ไปทั่วสารทิศอย่างที่อยู่กลางเขาอย่างนี้

    "ถ้าเราลืมตาขึ้นมองไปก็จะเห็นภูเขา ป่าปิดบังหมดมองไม่เห็น แต่ถ้าเกิดเป็นตาทิพย์ข้างใน มันจะทะลุไปหมดไม่มีอะไรจะปิดกั้นได้ นี่มันเป็นอย่างนี้"

    เพราะฉะนั้นเรื่องจิตนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
    เราควรที่จะศึกษาให้เข้าใจ เมื่อเราศึกษาให้เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมในจิต เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า ทำไมไม่เป็นอย่างเดียวกัน พ่อแม่ครูอาจารย์ก็สอนภาวนา "พุทโธ" ตัวเดียวกัน แต่ทำไมถึงไม่ได้เหมือนกันอย่างนี้ ?

    เราก็มานึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ที่พระองค์แสดงไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็คือ ๘๔,๐๐๐ คนเอาอย่างนี้ ได้คนละคาถา ได้คนละวิธี คนหนึ่งนั่งลงไปจิตก็สงบ คนหนึ่งนั่งลงไปมีแต่คิด แต่ความคิดนั้นคิดที่จะหนีออกจากกิเลส หนีออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อันนั้นก็เป็นปัญญา

    "เมื่อทำให้เกิดขึ้นมาได้แล้ว ก็จะทำให้ตัวเราได้รับความสงบสบายใจขึ้นมา อยู่ยังไงก็มีความสงบมีความอิ่มเอิบใจ มีความแจ่มใส่ทุกที่ อยู่ในความสงบ คนที่อยู่ในความสงบอยู่ที่ไหนก็มีความสงบนิ่งอยู่ ความโกรธ ความโลภ ความหลงก็ไม่โกรธ"

    เหมือนกันกับคนที่ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณา
    ก็ได้มาคนละทาง เพราะกำจัดความโลภ กำจัดความโกรธ กำจัดความหลงได้เหมือนกัน นี้มันเป็นอย่างนี้ บางคนก็จะทำให้เกิดความศรัทธาให้มากขึ้นไปอีก เกิดฌาน เกิดญาณ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมา ก็จะมองเห็นอดีตกรรมของตัวเองขึ้นมา

    คำว่า "อดีตกรรม" คือกรรมที่เคยก่อให้เอาไว้ตั้งแต่หลายภพหลายชาติ พอเรารู้ว่าเราเคยทำผิดศีลข้อไหนมา ภพชาตินี้เราก็จะไม่ทำผิดศีลข้อนั้นๆอีก ให้มีความ "หิริโอตัปปะ" คือความละอายต่อบาป

    เมื่อเรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ แล้ว ก็ให้เอามาใช้ทำความดีไม่ใช่ว่าจะทำบาปเหมือนในชาติก่อนๆที่เคยนิมิตมา เพราะการเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของง่าย เพราะต้องมีบุญมาก เมื่อมีบุญมากส่งให้มาเกิดแล้ว เราจะสร้างบุญใหม่ให้กับตัวเองยังไง ก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้

    " เหมือนที่พวกเราพากันมาทำ ณ ที่แห่งนี้แหละ "


    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    ในงานพิธียกยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ศรีสามหมื่นทุ่ง วัดป่าบ้านมูเซอสามหมื่นทุ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก
    วันที่ ๐๔ ธ.ค.๕๙
    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 05.jpg
      05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.6 KB
      เปิดดู:
      88
  9. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=af4da984d26224bdc0acaf9478e4badb.jpg
    โยม : การเชิญวิญญาณ มันได้ผลจริงๆไหมครับหลวงปู่ ?
    ลป. : การเชิญวิญญาณที่เขายังเป็นห่วงเป็นใยอยู่กับญาติพี่น้องนี่ เราก็ไปเชิญได้ ถ้ายังไม่มีใครจับตัวไปนะ !! ถ้ามีคนจับตัวไปแล้ว ไปเชิญเขามา...เขาก็ไม่ให้มาหรอก เขาก็เอาไปลงโทษอยู่นั้นแหละ!

    สมมุติว่ารถผลิกคว่ำอย่างนี้ คนที่ตายไม่ได้สร้างกรรมสร้างเวรอะไรมาก วิญญาณก็วกวนอยู่ที่นั้น ญาติพี่น้องเขาก็ไปเชิญอย่างนี้ กลับไปบ้านจะทำอะไรให้ จะได้ไปผุดไปเกิดอย่างนี้แล้วก็กลับ แต่ว่าซากศพก็เอามาด้วย

    แต่ถ้าซากศพไม่มาแล้ว จิตวิญาณเขาก็กลับไปอีก คือตายแล้วส่วนมากก็จะไปติดอยู่กับร่างกายสังขาร กระดูกชิ้นเดียวยังไปติดอยู่เด้พวกนี้ ยังว่าของกูอยู่เด้ !

    การที่จะละจากร่างกายสังขารธาตุขันธ์นี่มันยาก ตายไปอายุยาวยืนนานนะก็มี อายุสั้นก็มี อายุสั้นนี่ตายไปแล้วก็ไปแสวงหาที่เกิดใหม่เลยก็มี

    ตายไปแล้วไปอยู่บนสวรรค์เป็นหมื่นๆปีก็มีอย่างนี้

    ตายไปแล้วไปตกอยู่ในนรกเป็นหมื่นๆปีก็มีอย่างนี้

    มันต่างกัน !!

    แล้วก็ตายไปแล้วไปเป็นเปรต ไปเป็นสัตว์นรกเป็นหมื่นๆปี

    ตายไปเป็นสัมภเวสีร่องรอยอยู่ไม่มีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นหมื่นๆปี ทุกข์ยากทรมานอยู่อย่างนั้น

    นี้มันเป็นพวกจิตวิญญาณที่มันตกทุกข์ได้ยาก มันเป็นอย่างนั้น!!

    คนเราส่วนมากก็ไม่เห็นนะ เมื่อไม่เห็นก็ถ้าเล่าให้ฟัง ถ้าเล่าให้ฟังมันก็เหมือนกับนิทงนิทานนะเหมือนกับนิยายไป!!

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    (เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาเสร็จ)
    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8409.jpg
      8409.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.3 KB
      เปิดดู:
      74
  10. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    [​IMG]
    " บวชแต่อายุ ๙ ปี เป็นเณร อยากรู้ อยากเห็น อยากลอง สนใจในคาถาวิชาต่าง ๆ เฮายังบ่มีวิชาความรู้ กะต้องหามาใส่ตัว ได้เรียนกับ พ่อผมยาว วัดบ้านแดง เผิ่นเป็นโยมเด้ แต่กะนับถือเผิ่นเป็นอาจารย์ มาหาเฮาอยู่วัดป่าโนนนิเวศน์เป็นประจำ มีพระพุทธรูปมาให้มาถวายหลายครั้ง ครั้งหนึ่งชวนกันไปเที่ยวภูลังกา มื้อหนึ่งอยู่ภูลังกา กำลังพากันเดิน มีไก่ป่าบินออกมาจากพุ่มหญ้า เลยไปเบิ่งเห็นไข่ไก่ แต่กลายเป็นหิน มี ๒ ก้อน เลยแบ่งกันคนละก้อน ไปตอนนั้น พระอาจารย์วัง เผิ่นมรณภาพแล้ว ที่บอกว่าพ่อผมยาวเป็นอาจารย์เพราะว่าเผิ่นจับมือเฮาให้เขียนจารตะกรุด เสร็จแล้วกะให้เขียนอีกแผ่นหนึ่งเองให้เผิ่นเบิ่ง เผิ่นบอกว่ากะเขียนได้อยู่นิ เผิ่นได้เขียนจดหมายด้วยอักษร ๔ ตัว ฝากให้เฮาไปขอเรียนหนังสือกับพ่อแม่ปากคาดหลวงปู่ด่อน เคยไปบ้านนำเผิ่นอยู่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พาไปพักอยู่เถียงนานอกหมู่บ้าน ",หลวงปู่ประไพร สุภโร เมตตาเล่าถึงพ่อผมยาว วัดบ้านแดง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2732.jpg
      2732.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.4 KB
      เปิดดู:
      399
  11. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=852bd5a9b6445481cfe53a23c54ca015.jpg
    นี้แหละกินแต่บุญของคนอื่น !!
    "อืม มันเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยเราก็มีเยอะเด้"

    ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าไปโปรดเมืองไพศาลี มีพระหลวงตาติดตามไปเยอะเด้ ในสมัยนั้นมันแห้งแล้ง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แล้วก็มีพระองค์ที่ติดตามไปสำคัญนี่ ก็คือพวกพระอรหันต์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้านี่ก็ให้นิมนต์ “พระสีวลี” นี้ติดตามไปด้วย เพราะว่าที่นั้นนะมันแห้งแล้งกลัวว่าจะไม่มีอาหารมาบิณฑบาตมาเลี้ยงผู้คน พระภิกษุก็เป็นพันแล้ว แล้วก็มีอุบาสกอุบาสิกาอีกหลายหมื่นหลายแสนแล้วนี่ แล้วจะเอาอาหารอะไรมาเลี้ยงคน เฉพาะบารมีของเราคนเดียวสงสัยจะไม่พอ เพราะฉะนั้นท่านถึงให้นิมนต์พระสีวลีผู้ที่มี “เอตทัคคะลาภมาก”

    ทีนี้พอไปแล้วนี่ “โอ้ย! อาหารนี่เต็มเปี่ยม”
    พวกพระหลวงตาที่ไปด้วยนี่ได้ฉันอิ่มหนำสำราญเด้ พระพุทธองค์ไปโปรดเมืองไพศาลีเป็นเวลายาวนานถึง ๑ เดือน โอ้ย มันอุดมสมบูรณ์ พอถึง ๑ เดือนแล้วนี่ ก็มีคนที่เมืองไพศาลีมาทำบุญแล้วก็ฟังเทศน์ฟังธรรม เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ขอบวชในพระพุทธศาสนาทีเดียวเป็น ๒๐,๐๐๐ คนนะ บวชทีเดียวเป็น ๒๐,๐๐๐ คนนี่ อาหารก็ยังเหลือล้นอยู่เด้ นี้บารมีของพระพุทธเจ้า บารมีของพระสีวลี บารมีของพระอรหันต์ทั้งหลายที่เสด็จไปในสมัยนั้นนะ อยู่มาพอถึงวันกลับพระองค์ก็จะเสด็จกลับมากรุงราชคฤห์ แล้วก็ประกาศถามพระภิกษุ สามเณรว่า...

    “ ใครจะอยู่ที่นี้ ใครจะไปกับเรา? ”

    หลวงตาที่ติดตามไปด้วยก็ปรึกษาถามกันว่า...
    “ พวกเราจะอยู่ที่นี้ดีไหม ถ้ากลับไปด้วย พระสมณโคดมก็จะบังคับให้เราเดินจงกรม ทำกิจวัตรนั่งสมาธิภาวนา ปวดขาก็ไม่ได้หยุดไม่พาลุกน่ะ ถ้าเราอยู่นี้อาหารก็อุดมสมบูรณ์ แล้วก็พากันภาวนาเพียงเล็กน้อย เราอยากจะพักผ่อนเราก็นอนสบาย อยู่นี้ก็อุดมสมบูรณ์ ” (พวกหลวงตาก็คุยกันแล้ว)

    พอพระพุทธเจ้าประกาศ...“ใครจะกลับกับเรา ?”
    ยกมือขึ้นเพียบ พวกหลวงตา ๓๐-๔๐ รูปก็ทูลพระพุทธเจ้าว่า... “พวกกล้ากระผมจะอยู่ที่นี้ ”

    พออยู่แล้วก็ทำเหมือนอย่างที่ตัวเองคิดละทีนี้ ตอนเช้ามาไปบิณฑบาตมาฉัน ฉันอิ่มแล้วก็นอนสบายเลย เดินจงกรมก็ไม่เดิน ไม่เหมือนกับตอนที่พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติ นั่งสมาธิก็ไม่นั่ง ไหว้พระสวดมนต์ก็ไม่ทำ

    อยู่มาศรัทธาญาติโยมก็หวังพึ่งพาอาศัยครูบาอาจารย์ที่อยู่ที่นั้นจะเป็นผู้นำประพฤติปฏิบัติ ไปวัดวันไหนหลวงตาก็มีแต่นอนคุยกันเล่นอยู่ ฉันอิ่มแล้วก็นอน ศรัทธาก็หนีไปๆ ผลสุดท้ายจนไม่มีใครจะมาทำบุญทีนี้ อาหารก็ฉันไม่อิ่มละทีนี่ ไม่อิ่มก็หิวละทีนี่

    “ทำไมตั้งแต่พระสมณโคดมไป ทำไมไม่มีใครมา? ”
    (ตอนที่อยู่นะอาหารอุดมสมบูรณ์ )

    ก็เลยมาคุยกันใหม่...“เอ๋..เราจะทำยังไง เราอยู่นี้ไม่ได้แล้วเดียวตาย ” (บางรูปก็อดไปอดมาจนผอม มันอดถึงขนาดนั้นเลยจนผอม)

    ผลสุดท้าย...“ ไม่ได้ !! เราต้องไปขอขมาพระสมณโคดม ไปรับสารภาพ ”

    ถึงพากันตามพระพุทธเจ้าไปถึงกรุงราชคฤห์ ไปถึงกรุงราชคฤห์ไปสารภาพผิด ว่าตัวเองนี้ประพฤติไม่ถูกไม่ชอบตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนี้ไปจะไม่ทำอย่างนี้อีกเป็นเด็ดขาด (โอ้ย เครียดแหล่วไปอยู่เมืองไพศาลี ครั้งแรกก็อุดมสมบูรณ์ )

    นี้แหละกินแต่บุญของคนอื่น
    อืม...มันเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยเราก็มีเยอะเด้

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
    ภาพโดย : ศิษย์หลวงพ่อไม อินทสิริ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__7905340.jpg
      S__7905340.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.1 KB
      เปิดดู:
      77
  12. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    น้อมนำธรรมะสู่จิตใจ
    "อยู่ในสังคมใดก็ตาม
    แม้เราจะพูดก็รักษาคำพูดของตัวเอง
    แสดงออกก็แสดงออกในทางที่ดี ให้มีสติ
    ให้มีปัญญา ตอนที่เราแสดงออก
    อย่าให้มันไปกระทบกับคนอื่น
    แม้คนอื่นเขาจะไปกระทบเรา
    แต่ถ้าจิตของเรามีธรรมะ เหมือนกับไม่กระทบ
    มันเป็นอย่างนั้น คนที่ปฏิบัติธรรม
    มันต้องคุ้มครองตัวเอง
    มีเกราะป้องกันตัวเองดีอย่างนี้
    คือสติปัญญาคุ้มครองตัวเองอย่างนี้"

    โอวาทธรรมหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    S__2408501.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__2408501.jpg
      S__2408501.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.9 KB
      เปิดดู:
      60
  13. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    S__2449429.jpg
    พระพุทธเจ้าไม่ให้หลงผีสางนางไม้
    ผีเจ้าเข้าทรง ท่านไม่ให้หลง
    มันต่ำกว่าเรา ไปหลงมันทำไม ไปเชื่อมันทำไม
    ไอ้คนก็ชอบเชื่อ แต่อาตมาไม่อยากให้หลง เรามาดีแล้วเดี๋ยวนี้ เราสูงกว่ามันแล้ว
    ส่วนเทพเจ้าทั้งหลาย เขาไม่มาเข้าร่างกายของคนหรอก
    เทพเขาสะอาด นั่งอยู่นี่สักสองคนพอแล้ว หอมเหมือนดอกมะลิทั้งห้องหมดเลย
    ทั้งเทพบุตร เทพธิดาสองคนพอ ไม่ต้องมาถึงสามถึงสี่
    ในห้องเหมือนเอาดอกมะลิมาคล้องคอทุกคนก็แล้วกัน
    ร่างกายของเขาสะอาดถึงขนาดนั้น เทพบุตร เทพธิดาแล้วจะมาเข้าร่างกายที่สกปรกนี้ได้ยังไง.
    มันสกปรกมนุษย์ เขาไม่มาเข้าหรอก

    โอวาทธรรม หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
     
  14. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    2960.jpg
    "คนมีอำนาจกับคนมีวาสนา" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
    "คนมีอำนาจกับคนมีวาสนา"

    ถาม : คนมีอำนาจกับคนมีวาสนานี้ "ต่างกันหรือเหมือนกันปู่"

    ตอบ : คำว่า "อำนาจตามหลักธรรมแล้ว เป็นกิ่งก้านออกมาจากวาสนา" คนมีวาสนาบารมีมักเป็นคนมีความดิบความดี "ได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าเป็นนายมียศสูงส่ง" ตามลำดับ "และมีอำนาจสั่งการสั่งงานได้ตามหน้าที่และกฎข้อบังคับกฎหมายบ้านเมือง"
    นี่ท่านว่า "คนมีอำนาจวาสนาตามจารีตประเพณีของปราชญ์" ที่ท่านดำเนินและทรงกันมา "ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอยู่ใต้ร่มเงาวาสนาบารมีก็ร่มเย็นทั่วหน้ากัน" คนที่มีอำนาจวาสนาตามหลักธรรม ตัวเองก็สงบชุ่มเย็น

    "กิริยาอาการที่แสดงออก มีสง่าราศี ไม่อาภัพอับเฉา" ผู้น้อยก็เคารพรักทั้งต่อหน้าลับหลัง "ไม่พากันตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์และซุบซิบ ๆ กัน" ประชาชนคนธรรมดา "มองเห็นก็เย็นตาเย็นใจ" อยากเข้าใกล้ชิดสนิทสนม

    "อนาลโย ผู้ไม่มีความอาลัย"
    หลวงปู่ขาว อนาลโย
     
  15. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    ?temp_hash=67a425c756586805cb6e23360de93ec2.jpg
    "มันแก่ไวกว่าคนเด้"
    "มันเกิดทีหลังพวกเรา"
    "แล้วมันก็แก่ไวกว่าเรา"
    "เกิดตัวโตไวกว่าเรา"
    "มันกินเก่งกว่าเรานะ"

    ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่อยู่ ยังเป็นเดือนมกราคมต้นปี ถือว่าเป็นต้นปีใหม่ของปี 2559 เน๊าะ 58 ผ่านมา ก็ถือว่าแก่ไปอีกปีหนึ่ง ถ้าคนไหนแก่ง่าย ก็ลงไปจนผอมเลยปีหนึ่งนี่นะ บางคนก็ถึงกับตาย เจ็บไข้ได้ป่วยตั้งแต่ต้นปียังไม่ถึงปลายปีตายแล้วก็มี

    อืม.. นี่มันแก่ !
    โรคมันแก่ไวกว่าคนเด้ โรคมันเกิดทีหลัง มันเกิดทีหลังพวกเรา แล้วมันก็แก่ไวกว่าเรา เกิดตัวโตไวกว่าเรา กินเก่งกว่าเรานะ มีอะไรอยู่ในตัวของเรากินให้หมดนะ นี่โรคภัยไข้เจ็บ เราก็เลยมาคิดว่าร่างกายสังขารอันนี้ยังเป็นของเราอยู่ มีแต่ของเรา อันนี้ก็ของเรา


    อืม...เพราะว่าเป็นของเราก็ห้ามมันไว้ไม่ได้ !!
    ห้ามมันไม่ให้มันเป็นอย่างนั้น ห้ามมันไม่ให้เป็นอย่างนี้ ก็ห้ามมันไม่ได้

    แต่ก็ยังว่าของเราอยู่ คนที่เขาไม่ว่าของเรา เขาก็ว่าของเขา พวกที่ว่าของเขา ก็คือพวกที่อยู่ในร่างกายของเรานี่ มีหลายอย่างอยู่ในนี้นะ ถ้าอยู่ข้างในก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างนะ

    ตามอาการ ๓๒ ของเรานั้นก็มีคู่แข่งตลอดทุกเวลา มีคู่แข่งอยู่ในทุกซอกทุกมุมในร่างกายของเรา เกศาคือ ผมทั้งหลายก็มีคู่แข่ง มีศัตรูที่จะมาทำลาย โลมา ขน ที่เกิดทั่วสภาพร่างกายของเรา ก็ยังมีคู่แข่งอยู่ มันก็มีคู่แข่งมาทำลาย เล็บ ก็มีคู่แข่งมาทำลาย ฟัน ก็มีคู่แข่ง หนัง ก็มีคู่แข่งที่เรามองเห็นอยู่ข้างนอก

    มันรบกันอยู่ทุกวัน ถ้าเป็นคนเราก็แย่งบ้านแย่งเมือง แย่งสมบัติกัน แย่งแผ่นดินกัน แย่งฐานะกันนะ คนที่ยากจนก็ไปแย่งเอาสมบัติของคนอื่นที่เขามีอยู่ เขาเรียกว่าไปแย่งไปปล้นเอา อันนี้เรื่องของข้างนอก ก็เหมือนกันกับเรื่องของข้างใน เราเอามาพิจารณาให้มันเข้าใจ ในเรื่องการปฏิบัติธรรมนะ เราไม่ได้ไปเอาที่อื่นที่ไกล มาพิจารณาเอาสิ่งที่เรามีอยู่นี้แหละมาพิจารณา

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__3514405.jpg
      S__3514405.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.4 KB
      เปิดดู:
      44

แชร์หน้านี้

Loading...