<TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff height=65 colSpan=2> อานิสงส์การรักษาศีล - ทาน </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=61>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=435>หลวงพ่อคะ หนูขอทราบอานิสงส์ของการรักษาศีล กับการให้ทานค่ะ..? </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>จำที่พระบอกในตอนท้านได้ไหมล่ะ....... "สีเลนะ สุคติง ยันติ" การรักษาศีลเป็นปัจจัยให้มีความสุข สุขทั้งชาตินี้ สุขทั้งชาติหน้านะ "สีเลนะ โภคสัมปทา" ถ้ามีศีลชาตินี้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ฝืดเคือง ชาติหน้าก็มีทรัพย์สมบัติมาก "สีเลนะ นิพพุติง ยันติ" ศีลเป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานได้โดยง่าย นี่เป็นอานิสงส์ของศีล ท่านว่าไว้อย่างนี้ ส่วนการให้ทาน ท่านบอกว่า "ทานัง สัคคโสทานัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดสวรรค์ การให้ทานมากก็ตามน้อยก็ตาม ผลของทานทำให้เกิดในสวรรค์ ถ้าหากว่าพ้นจากสวรรค์มาแล้วมาเป็นคนก็ไม่ยากจนเข็ญใจ แต่ว่าจะรวยเท่าไรนั้นเป็นเขตของทานนะ ท่านเรียกว่า "ปุญญักเขตตัง" เป็นเนื้อนาบุญ ถ้าเราให้ในเขตที่มีความบริสุทธิ์มากเราก็รวยมาก ให้ในเขตที่มีความบริสุทธิ์น้อย เราก็มีทรัพย์สินน้อย แต่คำว่าอดตายไม่มีสำหรับคนให้ทาน" </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>แล้วศีลกับทาน อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่าคะ? </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>อ้าว....มันคนละคนนี่หนู ต่างคนต่างแก่ต่างคนต่างกล้า ทานเขาก็ให้ผลไปอย่างหนึ่ง ศีลก็ให้ผลมีกำลังอย่างหนึ่ง แต่ว่าทั้ง ๒ อย่างต้องร่วมกันนะ ถ้าแยกตัวกันเมื่อไรก็พัง เมื่อนั้นแหละ เรามีแต่ทานอย่างเดียว แต่บกพร่องในศีลทั้ง ๕ ข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่ง เราก็ตกนรก ต้องพ้นจากนรกมาก่อนแล้วจึงจะรวย ถ้าเรามีแต่ศีลอย่างเดียว ไม่มีทาน เกิดชาติหน้าอายุยืนหน้าตาสวย แต่อดตายเอาซิ เอาอย่างไหนล่ะ เอาไงดี..? </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>ผู้ถาม</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หมายความว่าต้องทำคู่กันไปใช่ไหมคะ.....? </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>หลวงพ่อ</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top>"ต้องคู่กันไปหนู หนูไม่มีข้าวกินมาที่นี่ได้ไหม.......?" ร่างกายดี รูปร่างหน้าตาสวยเพราะศีลข้อที่ ๑ รักษาศีลข้อที่ ๒ ได้ ทรัพย์สินไม่เสียหายเพราะไฟเพราะน้ำ เพราะโจร รักษาศีลข้อที่ ๓ ได้ คนที่อยู่ในปกครองว่าง่ายสอนง่าย พวกที่มีลูกดื้อ หลานดื้อ เพราะพลาดศีลข้อ ๓ รักษาศีลข้อที่ ๔ ได้ เป็นผู้มีวาจาไพเราะ พูดแล้วคนอื่นชองฟัง รักษาศีลข้อที่ ๕ ได้ ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า แต่ว่าอด ไม่มีข้าวกินไหวไหม...? ดี ๕ อย่าง แต่ไม่มีอาหารจะกินไม่มีผ้าจะนุ่ง มันต้องคู่กันหนู จะว่าอย่างไหนสำคัญกว่ากันมันก็ไม่ควรทาน ศีล ภาวนา เป็นบุญกิริยาวัตถุ และพระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่เข้าถึงบุญกุศลก็คือ ๑ . การให้ทาน ๒ . การรักษาศีล ๓ . เจริญภาวนา ภาวนานี่หมายถึงสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา คือใช้ปัญญาคิดอยู่ ทานนั้นเป็นปัจจัยตัดโลภะความโลภ เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงนิพพาน ศีลเป็นเหตุตัดโทสะความโกรธ เป็นก้าวที่สองที่จะทำให้ถึงนิพพาน ภาวนาเป็นตัวตัดกิเลสตัวสำคัญทั้งใหญ่และเล็ก เป็นปัจจัยให้กิเลสหมดจริง เข้าถึงนิพพานแน่นอน แล้วทั้ง ๓ อย่างนี้ จะถืออะไรสำคัญกว่ากันไม่ได้เลยต้องถือว่าสำคัญเท่ากัน ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะถึงนิพพานไม่ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาหารการบริโภคมีความสำคัญในการครองชีพ ร่างกายเราจะทรงตัวได้เพราะศีล ถ้าเรามีแต่อาหารแต่ไม่มีร่างกายก็ไม่เป็นประโยชน์ใช่ไหม..... เรามีร่างกายดี มีอาหารดี แต่ไร้ปัญญาก็เป็นเหยื่อของคนฉลาด เพราะตัววิปัสสนาญาณและตัวภาวนาเป็นตัวทำให้เกิดปัญญา รวมความว่า ๑.เรามีอาหาร ๒. มีร่างกาย ๓. มีปัญญา ทั้ง ๓ อย่างนี้ต้องประกอบกัน หนูจะเลือกเอาอย่างไหนโดยเฉพาะล่ะ? เอาแต่ปัญญาดี ไม่มีร่างกาย ไม่มีปัญญา ดีไหม..? แล้วก็มีร่างกาย ไม่มีอาหาร ไม่มีปัญญา ดีไหม ? เอา ๓ อย่างเลยสบาย ๆ" </TD></TR></TBODY></TABLE>
กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ ขอโมทนาสาธุ