การเกิดขึ้นของดวงจิต

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 17 ตุลาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,177
    ถาม : (ถามเรื่องการเกิดขึ้นของดวงจิต)

    ตอบ: มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอก มันสามารถเกิดได้ แต่โอกาสมันน้อยมาก แล้วขณะเดียวกัน ที่ไปนิพพานแล้วก็ดี ที่อยู่เป็นเทวดา พรหมก็ดี ที่อยู่ในมนุษย์โลก รวมๆ แล้วยังไม่เท่ากับข้างล่างเลย ข้างล่างยังมีโอกาสขึ้นมาอีกตั้งเยอะ

    ถาม: แล้วโลกที่เราอยู่ปัจจุบันนี่ มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐมแล้วเหรอครับ ?

    ตอบ: บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีมาสมัยไหน เดี๋ยวถ้ามีโอกาสลองไปเคาะถามมันดู มันจะตอบไหม ถึงเวลาก็เอาไม้กระทุ้งๆ หน่อย เฮ้ย ! เอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ ?

    ถาม: มีที่นี่ที่เดียวใช่ไหมครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านจะลงมาตรัส ?

    ตอบ: มีโลกนี้โลกเดียวที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัส เพราะว่าเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยลักษณะที่มีความทุกข์ ความสุขที่มันแตกต่างแยกเห็นกันอย่างชัดเจน ในเมื่อเห็นกันอย่างชัดเจน สามารถสั่งสอนให้คนเข้าถึงธรรม ก็เห็นได้ง่าย โลกอื่นส่วนใหญ่สบาย ในเมื่อสบายไปบอกว่าทุกข์ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปบอกว่าไม่เที่ยง ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ อายุเป็นหมื่นๆ ปีน่ะ ฉะนั้น โอกาสที่เขาจะเห็นธรรม เข้าถึงธรรมมันก็น้อย พระพุทธเจ้าท่านลงมาตรัสรู้เฉพาะในโลกนี้ เขาถึงได้เรียกว่า มงคลจักรวาล จักรวาลที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ลองไปโลกอื่นดูก็ได้ประเภทบำเพ็ญบารมีกันทีลืมไปเลย

    ถาม: จิตเวลาจะเกิดที่ไหน มันจะผูกพันกับที่นั่นหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ: มันมีส่วนความจำของมันอยู่ ถึงเวลาพอไปถึงตรงจุดนั้น มันก็จะจำได้ นึกได้ หรือไม่ก็ประเภทที่ว่า อยู่ๆ ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

    ถาม: อย่างนี้ ถ้าเกิดสมมุติเราไปเกิดที่จักรวาลที่ไกลมากๆ โอกาสก็น้อยสิครับ ที่จะมาเกิดในจักรวาลนี้ ?

    ตอบ: ทำไม มีเยอะแยะไป เกิดสลับกันไปสลับกันมา ของเขาก็เหมือนกัน เคยมาเกิดเป็นของเรา แล้วก็ไปเกิดเป็นของเขา เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความดี ความชั่วที่เขาทำ ทำความดีเอาไว้มากกว่านี้ แต่ไม่พอที่จะเป็นเทวดา ก็ไปเกิดอยู่ในดวงดาวที่มีสะดวกสบาย

    ในเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเตือนว่าไม่ควรคิดมันมันอยู่ ๔ อย่าง คือ พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า กว่าจะบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย สี่อสงไขยกับแสนมหากัป สิ่งที่ท่านทำได้พิลึกพิลั่นเกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะเข้าถึงหรือทำได้ ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ คือพวกได้อภิญญา ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง จะเป็นอย่างไรบ้าง กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม โลกจินไตย คือความไม่มีที่สิ้นสุดของโลก คือความเป็นไปของโลกเรานี้ ท่านบอกว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ ผู้ใดคิด พึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะเสียเวลาตายซะเปล่าๆ โดยไม่มีความดีติดตัวไป เพราะมัวแต่ไปคิดอยู่ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมไป จะเกิดผลเร็วกว่าเยอะ



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    .
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...