การแผ่เมตตากับการอุทิศส่วนกุศลต่างกันอย่างไร ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 10 สิงหาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,177
    ถาม : ............................

    ตอบ : คนเรากว่าจะถึงตรงนี้มันผ่านเวียนตาย เวียนเกิดมานับไม่ถ้วน สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเรียกว่ากรรม กรรมจะดีจะชั่วก็ตามมันเป็นกรรมทั้งนั้น ถ้ากรรมดีเรียก กุศลกรรม ถ้าหากว่ากรรมชั่วเรียกอกุศลกรรม

    แต่ส่วนใหญ่แล้วของเรา กรรมดีเขาเรียกว่า บุญ ถ้าหากกรรมชั่วเรียกว่า กรรม ไม่ต้องห่วงหรอกชั่วมาเยอะ แต่คราวนี้ในเมื่อเรามาเกิดเป็นคนได้เพราะต้นทุนความดีของเราต้องพออย่างน้อยๆ เราต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์เราถึงได้เกิดมาเป็นคน คราวนี้ในเมื่อต้นทุนของเราเพียงพอแล้ว เมื่อสำคัญว่าเราสามารถต่อทุนได้มั้ย ? จะสามารถที่จะต่อยอดแตกดอกแตกผลของมันออกไปมากกว่านี้มั้ย หรือจะอยู่อย่างขาดทุนลงนรกไป เลือกเอาเอง

    ถาม : ที่เมื่อกี้บอกว่า อุทิศส่วนกุศลให้กับคนเป็น ผมอ่านในหนังสือหลวงพ่อเหมือนอย่างคนที่เป็นศัตรูกับเรา เราก็ไม่ถูกกันอยู่ตลอดเวลา เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาก็จะดี ทีนี้เขาก็ไม่ได้มาโมทนาแล้ว ?

    ตอบ : ลักษณะนั้นเขาเรียกว่าแผ่เมตตา แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลมันคนละอย่างกัน อุทิศส่วนกุศลคือ เราทำอะไรเราตั้งใจให้เขามีส่วนด้วย ส่วนการแผ่เมตตาคือ การส่งกำลังใจที่ประกอบด้วยความดีถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ขอให้อย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ลักษณะนี้มันเหมือนอย่างกับว่า เอาของเย็นไปดับของร้อน ดับไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าของเย็นมีกำลังสูงของร้อนมันก็จะเย็นลงเอง เขาก็กลับมาตีกับเรา มันคนละอย่างกัน อุทิศส่วนกุศลคือทำอะไรแล้วอยากให้เขาได้ด้วย ส่วนแผ่เมตตาคือ ตั้งจิตที่ประกอบด้วยกรรมดีให้กับเขาไป

    ถาม : พูดออกไปเลยใช่มั้ยคะ ว่าเราขอแผ่เมตตา ?

    ตอบ : ไม่ใช่ พูดมันแค่คล่องๆ ปาก มันต้องจากความรู้สึกที่แท้จริงจากใจของเรา นึกด้วยความหวังดี ปรารถนาดี ขอให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข อย่าได้มีความทุกข์เลย อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ที่เขาท่องปาวๆ ผลมันน้อยเพราะบางทีใจมันไม่คิด เรื่องของการแผ่เมตตาเป็นสิ่งที่เกิดจากกำลังใจที่แท้จริง

    ตอบ : จ้า ตัวนั้นแหละ

    ถาม : (ถามเรื่องการอุทิศส่วนกุศลให้พวกที่ตายโหง)

    ตอบ : พวกตายโหงนี่ยังไม่ได้รับการตัดสินหรอกนะ เพราะว่ายังไม่ถึงอายุขัยของเขา เขาก็รับบุญรับบาปอะไรในลักษณะที่ว่า การตัดสินไม่ได้จนกว่าจะรอถึงครบอายุขัยของเขาก่อน คราวนี้อายุขัยในการเป็นมนุษย์เปรียบกับสัมภเวสี ของสัมภเวสีแป๊บเดียว สมมติว่าเขาจะอายุ ๕๐ ปี แต่เขาตายตั้งแต่อายุ ๒๐ เขาก็รอที่โน่นประมาณครึ่งวันแค่นั้นเอง แต่ช่วงที่รออยู่ไม่มีอะไรทำอย่างที่เขาว่าน่ะ ก็เร่ร่อนไปเรื่อย ถ้าเราทำบุญให้เขาๆ ได้รับความสุขสบายเขาก็สบาย ไม่งั้นก็อดอยากหิวโหยเร่ร่อนไปก็โดนหมอผีเรียกไปใช้บ้างอะไรบ้าง

    ถาม : เขาจะได้ตลอดไปเลย ?

    ตอบ : เราทำความดีสูงแค่ไหน เขาก็จะได้เท่านั้น ถ้าเราเป็นผู้ทรงฌาน ตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากกรรมฐานให้เขา บางทีเขาจะไปเกิดเป็นพรหมเลย หลวงพ่อบอกมีหลายรายไปนั่งรอไปนิพพานเลย เพราะมันดันมาขอข้าไว้ อย่างนี้ว่าเขาไม่ได้นะ เพราะว่าของเขาต้องมีบุญเนื่องกันมาจริงๆ เพราะโอกาสที่จะพบหลวงพ่อนี้ไม่มีหรอก

    ถาม : สมัยที่หลวงพ่อท่านอาพาธอยู่ที่ศิริราช มีอยู่คนหนึ่งเขาไปหาหลวงพ่อ ?

    ตอบ : พวกที่ตายโหงนี่ บางรายก็เป็นพวกที่หมดอายุ แต่ส่วนใหญ่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์นี่ยังไม่หมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วก็ไปรับบุญรับบาปได้ทันที อีกอย่างคือว่าถ้ากำลังบุญมากก็ไปรับส่วนดีเลย ทำบาปมากสูงมากก็ลงไปรับกรรมเลย ไม่ผ่านการตัดสิน พวกผ่านการตัดสินนี่มันกระดำกระด่างจะดำก็ไม่ดำ จะขาวก็ไม่ขาว แต่ว่าพวกผ่านการตัดสินนี่ยังโชคดีนะ โอกาสรอด ๘๐% เพราะว่าพระยายมท่านจะถามละเอียดจริง ๆ ถามนิดถามหน่อยถามล้วงไปเรื่อยมันจะต้องทำดีซะอย่างหนึ่งล่ะ แล้วท่านก็จะส่งไปรับความดีก่อน ทีนี้ถ้าทำดีเล็กน้อยมากอย่าง สุปติฏฐิตเทพบุตร อย่างนี้นี่มัวแต่ไปเพลินกับความดีอยู่ หมดบุญทีนี้ล่ะโดนเต็มๆ

    ถาม : อย่างเวลาเช้าๆ เราแผ่เมตตาตามแบบหลวงพ่อนี่มีอานิสงส์อย่างไรบ้างคะ ?

    ตอบ : อันดับแรกของเราๆ จะได้ปัตติทานมัย เป็นการทำบุญประเภทหนึ่ง การทำบุญมี ๑๐ ประเภทๆ สุดท้ายนี่จะเป็นของกำไรโดยตรง เขาเรียกทิฎฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่า่พระพุืทธเจ้าสอนดี เราจะทำตามอันนี้ได้กำไรแน่ๆ

    นอกนั้นก็มีทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล ภาวนามัย บุญเกิดจากการทำสมาธิภาวนา ๓ อย่างนี้จะเป็นบุญใหญ่ที่สุด แล้วหลังจากนั้นจะยังมีบุญเล็กๆ ซึ่งจะเรียกว่าเล็กก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าเล็กของช้างมันก็ใหญ่ของมดน่ะ บุญเล็กๆ ก็ยังมีอปจายนมัย อ่อนน้อมถ่อมตนกับคนอื่น คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมา เราเห็นก็เย็นตาเย็นใจเกิดความรักความเมตตาเขาใช่มั้ย ? ตัวนี้มันก็ทำให้คนนอบน้อมถ่อมตนเขาได้บุญ ต่อมาก็ปัตติทานมัย ทำบุญแล้วตั้งใจนอบน้อมให้คนอื่นเขา ตัวเราจะทำได้สำเร็จก็ยากแล้ว อุตส่าห์แบ่งปันให้คนอื่น ถ้าจิตไม่ได้ประกอบด้วยความรักความเมตตาจริงๆ มันก็จะให้เขาไม่ได้

    ในเมื่อให้เขาได้ผลบุญของเรามันก็จะเพิ่มขึ้น ปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในความดีที่คนอื่นทำ ปกติมันคอยจะอิจฉาเขา แต่อันนี้มันคอยยินดีจริงๆ ได้บุญจริงๆ ใช่มั้ย ? ธัมมัสสวนมัย นำไปปฏิบัติ ธัมมเทสนามัย ได้ผลแล้วกลับไปสอนเขาต่อ พวกนี้เขาเรียก บุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่ทำให้เกิดบุญ ทำแล้วเป็นบุญเป็นกุศล ทีนี้ของเราที่ว่าตั้งใจอุทิศให้คนอื่นเขา มันก็จะเป็น ปัตติทานมัย ก็คือว่า บุญที่ได้จากการตั้งใจทำความดี แล้วแบ่้งให้คนอื่นเขาไป

    ถาม : ทำตามหลวงพ่อตอนเช้าๆ หลวงพ่อจะนำแผ่เราก็พยายามทำตาม ?

    ตอบ : มันเป็นวิธีการที่จะได้บุญ อย่างของเรานั่งอยู่คนอื่นเขาถวายสังฆทานเราก็สาธุ มันก็ได้ไปด้วยใช่มั้ย ? มันเป็นวิธีการทำบุญที่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันที่คนที่ทำไม่ได้ กำลังใจไม่ถึงมันจะทำอะไรกันนักหนาวะ เดี๋ยวทำๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วกำลังใจยังเศร้าหมองไปด้วย





    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...