เรื่องเด่น จิตกับวิญญาณ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 11 เมษายน 2023.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อระบายความอัดอั้นในใจนะครับ ไม่ได้เน้นเนื้อหาสาระอะไร

    ไม่นานมานี้ได้มีโอกาสนั่งคุยกับผู้ทรงศีลสายนักปราชญ์ท่านนึง เรื่องขันธุ์ 5

    ท่านว่าขันธุ์ 5 ประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณหรือจิต...
    เรานั่งฟังอยู๋เราก็แย้งว่า วิญญาณเป็นอรูปธาตุประกอบอยู่ในขันธุ์ไม่ใช่จิต
    ท่านก็ว่า จิต และวิญญาณ เป็นไวพจน์ของกันและกัน เป็นคำศัพท์ที่สามารถใช้แทนกันได้ ดังนั้นจิต ก็คือวิญญาณ วิญญาณก็คือจิตนั่นเอง

    เราก็สวนไปอีกว่า จิตนั้นมาอาศัยในกาย ติดต่อกับโลกภายนอกผ่านวิญญาณธาตุ เมื่อกายสังขารดับ วิญญาณธาตุก็สลายตามกาย ส่วนจิตนั้นก็ไปตามบุญตามกรรม
    ท่านก็สวนกลับมาว่าที่ไปเกิดหรือมาเกิดนั้นคือสัตว์ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาณ ทีนี้งงหนักเลย อิหยังวะ
    คือผมไม่ใช่คนที่ศึกษาธรรมะเยอะนะครับ ไปหาข้อมูลเฉพาะที่สงสัยเฉยๆ ตรงไหนไม่สงสัยก็ไม่ได้ขวนขวายอะไร แล้วก็ไม่ได้รู้ด้วยว่าสายนักปราชญ์เขาศึกษาอะไรกันบ้าง
    แต่ส่วนตัวลึกๆก็สำนึกอยู่ว่ารู้น้อยกว่า ก็เลยนั่งฟังต่อแบบงงๆไปเรื่อยๆ

    จากนั้นท่านก็ยกตัวอย่างการทำงานของจิตหรือวิญญาณในกายว่า เมื่อรูปมากระทบตา จิตก็จะวิ่งไปที่ตาเพื่อรับรูป
    เมื่อเสียงมากระทบหู จิตก็จะวิ่งไปที่หูเพื่อรับเสียง เมื่อวิเคราะห์จากการทำงานนี้เราก็จะเข้าใจได้ว่า วิญญาณก็คือจิตนั่นเอง ประมาณนั้น
    และก็อีกหลายเรื่องจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง (จริงๆคือไม่อยากจำ)

    ผมก็เลยนั่งเล่าเรื่องที่ผมไปเห็นมาให้ท่านฟังว่า
    สมัยหนุ่มๆ ผมเคยเจริญสติปัฐฐานสี่มาก่อน ได้มีโอกาสเห็นจิตที่ตั้งในกายนี้มาแล้ว
    ผมเห็นจิตนั้นเป็นดวงกลมตั้งอยู่บริเวณกลางอกของตัวเอง จิตนั้นแช่อยู่ในวิญญาณธาตุที่ประกอบอยู่ในกาย
    เมื่อรูปมากระทบตา วิญญาณธาตุที่ตาก็เป็นตัวรับรูปแล้วส่งข้อมูลมาที่จิต จิตไม่ได้วิ่งไปรับรูปที่ตา มันอยู่กับที่เฉยๆ
    เมื่อเสียงมากระทบหู วิญญาณธาตุที่หูก็เป็นตัวรับเสียงแล้วส่งข้อมูลมาที่จิต จิตไม่ได้วิ่งไปรับเสียงที่หู มันอยู่กับที่เฉยๆ เหมือนกัน
    คือวิญญาณธาตุผมที่เห็นในสมาธิเนี่ย มันรู้สึกเหมือนวุ้นหรือเหมือนน้ำที่อัดแน่นอยู่ในกายเนื้อนะครับ ไม่มีตรงไหนของกายเนื้อนี้ที่ไม่มีวิญญาณธาตุประกอบอยู่
    เส้นประสาทกระจายตัวไปถึงไหน วิญญาณธาตุก็กระจายไปถึงนั่นเลย
    (เป็นความรู้สึกในสมาธินะครับ ที่บอกว่าวิญญาณธาตุมันอยู่ทุกที่ในร่างกาย ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณธาตุเป็นวุ้นหรือเป็นน้ำนะครับ)

    เมื่อสัญญาณจากวิญญาณธาตุวิ่งมากระทบจิต จิตจะตอบรับโดยสามอาการ คือชอบ เฉย และชัง
    จากนั้นมันจะส่งสัญญาณผ่านวิญญาณธาตุไปที่สมองเพื่อทำการตอบสนองกับสิ่งที่มากระทบ
    สัญญาณที่ส่งไปมีสามระดับ คือแบบเบาส่งไปแล้วเกิดความคิดในใจ แบบกลางส่งไปแล้วเกิดคำพูด แบบแรงส่งไปแล้วเกิดการออกท่าทาง
    สรุปก็คือ วิญญาณในขันธุ์ 5 ไม่ใช่จิต
     
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    ทีนี้ผมมองหน้าท่าน เห็นท่านทำหน้าเหมือนงงสวนกลับมา ก็เลยอธิบายต่อว่า
    ในต้นไม้มีวิญญาณอยู่ แต่ไม่มีจิต ต้นไม้รู้ว่ารากต้องลงดิน กิ่งก้านต้องขึ้นฟ้า ต้นไม้รู้การหาอาหารให้อยู่รอด รู้ฤดูกาล เมื่อไรต้องผลัดใบ เมื่อไรต้องออกดอกออกผล
    เพราะมีวิญญาณธาตุคือธาตุรู้อยู่ มันถึงทำอย่างนั้นได้

    กายมนุษย์ก็เหมือนกัน เวลาที่เราถอดจิตไปที่อื่น ระบบต่างๆในกายก็ยังทำงานอยู่ตามปรกติ นั่นคือการทำงานของวิญญาณธาตุ คือจิตนั้นออกไปเที่ยวที่อื่นแล้ว
    แต่กายยังมีวิญญาณอยู่ ระบบต่างๆในกายก็เลยยังทำงานเป็นปรกติอยู่
    สรุปก็คือ วิญญาณในขันธุ์ 5 ไม่ใช่จิต
    ท่านฟังแล้วก็เงียบไปซักพักก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ไม่ได้ถามท่านนะครับว่าท่านคิดว่ายังไง เพราะสัมผัสได้ว่าท่านมั่นใจในสิ่งที่ท่านรู้มา ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

    จากนั้นก็นั่งฟังท่านอีกหลายเรื่องแบบงงๆ เช่น
    เรื่องที่ปัจจุบันมีฆราวาสที่บรรลุอรหันต์อยู่เต็มไปหมด เรื่องที่ว่าถ้าบรรลุอรหัตผลแล้วต้องบวชไม่งั้นต้องตายเนี่ย ไม่จริง ท่านว่างั้น
    เรื่องที่หนึ่งกัปเนี่ย จริงๆแล้วระยะเวลามันแค่ 120 ปีเท่านั้น ถ้าเรามีอิทธิบาท 4 ดูแลเอาใจใส่สุขภาพหน่อย เราก็อยู่ตลอดกัปได้คือ อยู๋ได้ 120 ปี.....เป็นต้น
    คือทิ้งเรื่องวิสัยของพระพุทธเจ้า วิสัยของผู้ทรงฌานไปเฉยๆ ทิ้งเรื่องนายช่างซ่อมกลองไปดื้อๆ ทิ้งเรื่องที่พระพุทธองค์ตรัสว่าหนึ่งกัปเป็นระยะเวลาที่นานมากออกไปเลย

    ผมก็ไม่ได้รู้เยอะนะครับ แต่หลายเรื่อง ฟังดูเหมือนจะออกแนว สัทธรรมปฎิรูปมาก
    ประมาณว่าเข้าไม่ถึงสภาวะธรรมนั้นๆ แล้วแทนที่จะไปทำความเพียรให้ถึงสภาวะธรรมนั้นๆจะได้เข้าใจของจริง ดันพากันไปเปิดพจนานุกรมแทน ฟังแล้วหัวจะปวด...

    ตอนที่ท่านเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง ก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาของพระองค์อื่นๆที่เป็นเจ้าของเรื่องโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ
    คือเงานั้นออกมาบอกให้รู้ว่า คนเล่าไม่ได้เป็นต้นเรื่อง แต่ศึกษามาสายนั้น มีบุญสัมพันธุ์กันมา อ่านปุ๊บถูกใจปั๊บ รู้สึกทันทีว่ามีเหตุผลเชื่อได้

    พอตอนจบท่านก็ย้ำว่า ให้ลองไปหาข้อมูลเรื่องพระอรหันต์ในเพศฆราวาสดู ปัจจุบันมีหลายองค์มาก
    ผมก็กลับบ้านมาค้นข้อมูลดู ปรากฏว่าไม่เจอ...เพราะจำคีย์เวิดที่ท่านบอกมาไม่ได้
    แต่ไปเจอเรื่อง จิตกับวิญญาณเป็นไวพจน์ของกันและกันหลายเว็ปเลย ไม่ได้เข้าไปอ่านนะครับ เห็นจากกูเกิ้ลที่มันลิสต์ขึ้นมาเฉยๆ
    ไม่นึกว่าความเข้าใจในพระศาสนาแบบนี้จะเป็นที่ยอมรับกันไปทั่วถึงขนาดนี้
    เห็นแล้วก็ได้แต่นึกถึงที่พระท่านเล่าว่า นรกของผู้กระทำสัทธรรมปฏิรูปนั้นมีอยู่ ทั้งพระทั้งฆราวาสในนั้นก็แน่นไปหมด งานนี้ก็ตัวใครตัวมันแน่นอน
     
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    ธรรมะในพระศาสนานั้นมีหลายระดับ วิธีการศึกษาด้วยตัวเองก็คือ ปริยัติ ปฎิบัติ จนเข้าถึงปฏิเวธบางอย่าง แล้วก็กลับไปที่ปริยัติอีกที ทีนี้บางอย่างที่นึกภาพไม่ออกก็จะเข้าใจละ แล้วก็กลับไปปฏิบัติอีก จนเข้าถึงปฏิเวธอีกระดับ แล้วก็กลับมาปริยัติอีกที ก็จะเข้าใจมากขึ้นลึกขึ้น แล้วก้ทำวนไป
    สภาวะธรรมไหนเข้าไม่ถึงก็อธิบายตามตัวหนังสือไป สภาวะธรรมไหนเข้าถึงแล้วก็ค่อยอธิบายโดยละเอียด

    เหมือนคนอธิบายเรื่ององค์ฌาน อธิบายแบบเปิดพจนานุกรมมา กับอธิบายแบบประสบการณ์จริงอิงปริยัติ นี่คนละเรื่องเลย เข้าไม่ถึงอธิบายตามพจนานุกรมยังไงก็ผิด

    นี่ขนาดกึ่งพุทธกาลนะครับ คนรู้จริง เห็นจริง เข้าถึงจริง เดินกันเต็มประเทศไปหมด แต่คำสอนแบบเปิดพจนานุกรมนี้ก็ยังเป็นที่แพร่หลายได้อยู่ ของเขาดีจริงๆ

    คนแก่มาบ่นไปเรื่อยเปื่อยให้อ่านเล่นเฉยๆ ไม่ต้องคิดมากนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...