ฉบับที่ ๑๐ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 8 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ





    [​IMG]

    ถาม : (หัวเราะ) มันก็แค่นี้ มันก็เป็นแล้วครับ ผมยังเคยสังเกตตัวเอง พยายามจะคิดไม่ดีอย่างนี้มันคิดไม่ได้ด้วย
    ตอบ : มันหยาบเกินไป หยาบเกินไป จริง ๆ แล้วไอ้ตัวสุข ถ้าหากเป็นตัวสุขในฌานจริงๆ น่ะ มันเกิดจากการที่ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นไฟกองใหญ่สี่กองโดนอำนาจของฌานกดดับลงชั่วคราว ไอ้คนโดนไฟเผาตลอดเวลา อยู่ ๆ มีสิ่งมาดับไฟให้สบายยังไงอธิบายถูกมั้ยล่ะ ? อธิบายไม่ถูกหรอก ภาษามนุษย์กับภาษาหนังสือมันหยาบเกินไปที่จะอธิบายภาษาธรรมะที่เกิดจากใจ หลวงพ่อท่านพูดได้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็เป็นแค่ส่วนหยาบเท่านัน อันนี้กล้าพูดได้เต็มปาก แต่คงไม่มีใครพูดได้ง่ายกว่าหลวงพ่ออีกแล้ว
    ถาม : แล้วเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าตัวเอง เริ่มฝันแม่น แต่ก่อนเวลาตัวเองฝันต้องเอาตรงข้าม
    ตอบ : เดี๋ยวก็เสร็จมันอีกหรอก</B> พอเริ่มฝันแม่นก็เริ่มรับรู้ไว้เฉย ๆ แต่อย่าไปอยากให้มันฝันแบบนั้น ถ้าอยากแล้วเสร็จมัน พวกนี้ลีลามันเยอะสารพัด</B> จนกระทั่้งสู้กันไปจนถึงวาระสุดท้าย ถึงได้บอกได้เต็มปากเต็มคำว่ากิเลสมาร กับความดีหน้าเหมือนกันทุกอย่างเลย เหมือนกันเปี๊ยบเลย เดินมาก้าวเดียวกันหมด ยกเว้นก้าวสุดท้าย กิเลสมันพาเราลงต่ำ ขณะที่ความดีพาเราขึ้นสูงแค่นั้นเอง
    ถาม : จริง ๆ แต่ก่อนผมนึกว่ามันง่าย ๆ นะครับ แต่พอฟังจริง ๆ แล้วก็ ผมรู้สึกว่า เหมือนกับเราต้องรู้ตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย เพราะฉะนั้นมันโดนชนักตลอดเลย
    ตอบ : ก็อย่างตอนนี้ คุยกันไปเนี่ย เราต้องมีสติรู้อยู่ มันก็ต้องมีจุดพอดีของมัน ถ้าเกินจุดนั้นมันจะเป็นฟุ้งซ่าน แล้วเราจะเบรกมันไม่อยู่ จะกลายเป็นท่อประปาแตก แล้วมันจะไปเรื่อย
    ถาม : ใช่ครับ แล้วผมก็คิดไปโน่นเลย เป็นบ่อยด้วย
    ตอบ : ขนาดแค่ตรงนี้ ถ้าตามมันไม่ทัน ก็เสร็จมัน
    ถาม : ทั้ง ๆ ที่เรากำลังคิดถึงเรื่องความดีด้วยซ้ำ ?
    ตอบ : ใช่....บอกแล้วว่ากิลเสกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย คือมันหลอกเราได้ทุกวิถีทาง มันขี่คอกันมา เดินก้าวเดียวกันด้วยอย่า
    ถาม : แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงครับว่า เราชนะมันแล้ว ?อย่าง
    ตอบ : ถ้าทำถึง ญาน คือเครื่องรู้จะปรากฏ ถึงเวลานั้นจะรู้เองว่าเป็นอย่างไร เหมือนที่ท่านใช้คำว่า ญานังโหติ ชาติวุสิตัง พรัหมจริยัง กะตังกรณียัง เครื่องรู้ก็เกิดขึ้น รู้ว่าชาติสิ้นสุดลงแล้ว พรหมจรรย์ถึงจุดจบแล้ว จะรู้ขึ้นมาเอง
    ถาม : เป็นอาการเดิมอีกแล้ว พอหลวงพี่พูดปั๊บ มันเหมือนมีอะไรใส ๆ ปิ๊ง ขึ้นมาอย่างนี้ประจำเลย แล้วมันเหมือนตามทันอีกแล้ว แต่พอขาดสติมันก็หายอีกแล้ว (หัวเราะ)
    ตอบ : ตอนนี้มันเป็นเงาในน้ำ พอมันเป็นเงาในน้ำแล้ว เราตั้งใจเอื้อมมือจะไปจับ จะแตกกระจายเลย ปล่อยมันอยู่ตรงหน้าเฉย ๆ รู้ไว้เฉย ๆ แล้วอย่าไปดิ้นรนไขว่คว้ามัน เพียงแต่ว่าประคับประคองมัน
    ถาม : อย่างนี้แหละครับ ผมว่ามันจะชนะกันยาก้ดวย ก็อย่างที่ผมบอกว่าตัวเองน่ะชอบอวดชอบอะไรอย่างนี้ พอมันติดปั๊บก็จะมาอย่างนี้
    ตอบ : คือตอนนี้มันยังไม่เห็นโทษของมันพอเห็นโทษของมันว่า อวดทีไรเราเจ๊งทุกที เดี๋ยวพอมันเข็ดเขา มันก็เลิกได้ ตอนนี้มันต้องปล่อย มันยังคันอยู่ต้องให้มันก่อน ถ้าไม่เกาเดี๋ยวขาดใจตายเพราะมันคัน ให้มันเกาซะเกาไปเกามาหนังถลอกปอกเปิก ชักแสบชักร้อน มันก็เลิกเอง
    ถาม : เนี่ยครับ อย่างนั่้งสมาธิอย่างนี้ คัน ๆ เฮ้ย ! อย่าไปเกาพอเกาเสร็จเดี๋ยวสมาธิตก พอเริ่มเดินสมาธิดี เฮ้ย ! ไม่คันแล้ว เฮ้ย ! เราเก่งอีกแล้ว อย่างนี้ก็คือโดนมัน เสร็จมันอีกแล้วซิ รู้สึกทันทีเลยพอมันหายคันปั๊บก็....
    ตอบ : เรื่องของอาการคันเป็นของประสาทร่างกาย พอเราเอาใจมาอยู่กับสมาธิจิตกับกายมันก็เริ่มแยกจากกันมันก็จะไม่รับรู้อาการทางกาย พอไม่รับรู้ปุ๊บก็รู้สึกว่าอาการคันมันหายไป แต่ความจริงมันยังคันอยู่แต่เราไม่สนใจมันต่างหากล่ะ
    ถาม : (คุยเรื่องซีดี และเว็บไซด์ที่โหลดเสียงเทศน์หลวงพ่อวัดท่าซุง) ....คลิกเข้าไปในเว็บนี้แล้วตอนเปิด เปิดไม่ได้
    ตอบ : ถามสองพี่น้องนั่นเขาเหอะ เขาเรียนมาโดยตรง ทิดก้องมันก็จบเรื่องนี้มาโดยตรงนี่ แต่ว่าตอนนี้มันไม่สนใจเรื่องธรรมะหรอก มันกำลังมันกับเกมส์อยู่ เล่นกันข้ามวันข้ามคืน นั่นน่ะ คือตัวฉันทะ ถ้าเขาเล่นแล้วเขารู้จัก สังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง เขาจะได้ประโยชน์เยอะ เคยเล่าให้ฟังว่า มันมีอยู่ยุคหนึ่งที่ว่า บวชอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ นี่แหละ แล้วเพื่อนพระเขาอ่านกำลังภายในน่ะ ไอ้โน่นก็คุยกันไป ไอ้นี่ก็คุยกันมา ก็เฮ้ย ! คุณส่งโอวัลตินมาทีก็ส่งข้ามหัวมันไปนั่นแหละ ไอ้โน่นก็น้ำตาลหน่อยครับก็ส่งกลับมา ไป ๆ มา ๆ ไอ้นั่นมันไม่สนใจเลย ประสาทมันตัดสิ้นเชิงเลย มันอยู่แต่ตรงหน้าของมันอย่างนี้ มันไม่รับรู้โลกภายนอกเลยว่าเขามีอะไร ไอ้เรามาดู ๆ
    เฮ้ย ! ไอ้นี่มันระดับนิโรธสมาบัติเลยนี่หว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนาโดยสิ้นเชิงเลย มันไม่กินไม่ขี้เลยก็ได้ มันนั่งของมันอย่างนี้อยู่อย่างเดียว ตัวฉันทะของมันแรงขนาดนี้เลยหรือ ก็เลยมานั่งจับจุดว่า ฉันทะคือความพอใจมันเกิดขึ้น เพราะว่าเขาต้องการทำในสิ่งนั้น เขาชอบในสิ่งนั้น แล้วถ้าเราเอาตัวนี้มาภาวนาล่ะ ? พอคิดปุ๊บแยกออกมาปั๊บ เฮ้ย ! เราต้องทำให้ได้
    แล้วหลังจากนั้น เรื่องไหนเอ็งอ่านสนุกยืมมั่ง พอมันอ่านเราก็อ่านแต่เราภาวนาด้วยชักลูกประคำไปด้วยคาถา ว่าไปกี่จบเราจำด้วย แล้วในเนื้อเรื่องมันว่าอย่างไรพระเอกนางเอกเป็นอย่างไรต้องรู้ไปด้วย โอ้โห ! มันมากเลยตอนนั้นน่ะ เสร็จแล้วเราก็แซงมันไปขณะที่มันก็ยังนั่งอ่านอยู่แค่นั้นแหละ (หัวเราะ)
    ถาม : ผมเข้าใจครับ เวลาผมอ่านแล้วมันก็จะหายเข้าไปกับหนังสือนั่นเลย
    ตอบ : นั่นแหละคือ เราพอใจที่จะทำไง คราวนี้</B>เราเอาความพอใจนั่นมาใช้ในการปฏิบัติแทน กำลังใจมันเท่ากัน</B>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L10_1.jpg
      L10_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.8 KB
      เปิดดู:
      127
    • L10_2.jpg
      L10_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.1 KB
      เปิดดู:
      114
    • L10_3.jpg
      L10_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59 KB
      เปิดดู:
      693
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วถ้าเกิดผมจับแค่ลมหายใจ แต่ไม่ภาวนาล่ะ ?
    ตอบ : แล้วแต่ การจับลมหายใจนี่ อารมณ์มันทรงตัวอยู่แล้ว จะมีคำภาวนาหรือไม่มีคำภาวนาก็ได้ จะรู้ลมกระทบกี่จุดก็ได้ และรู้ตลอดก็ได้มันกว่าเยอะ ยันยัน และยิ่งถ้าเล่นอะไรแปลก ๆ ได้ ยิ่งมันเข้าไปอีก
    ถาม : มันรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่าผมทำได้ แต่ทำไมทำไม่ได้ ไม่รู้ ?
    ตอบ : ตัวอยากมันกั้นอยู่ อารมณ์ที่เราใช้มันเกิน มันไม่ใช่พอดี
    ถาม : อย่างเรื่องเหาะนี่ ผมก็บอกตัวเองอย่างนี้ มันไม่ยากเลยนะ เหาะ แค่คิดอย่างนี้เราก็เหาะได้แล้ว แล้วรู้สึกว่าตัวคิดมันทรงอารมณ์อย่างนี้ได้จริง ๆ
    ตอบ : ตัวนี้โดนล่ามโซ่อยู่ การใช้อภิญญาเราต้องยอมรับกฏของกรรมถึงใ้ช้ได้ ถ้านิสัยอย่างของเรามันไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างง่าย ๆ เดี๋ยวมันก็เที่ยวเอาอำนาจอภิญญาไปช่วยคนโน้น สงเคราะห์คนนี้ ไปอวดคนนั้นถ้าไม่สามารถที่จะยอมรับกฏของกรรมได้ ก็ยังไม่สามารถใช้อำนาจของอภิญญาได้จริง ๆ มันก็ได้สะเก็ดนิด ๆ หน่อย ๆ
    ยิ่งปฏิสัมภิทาญาณนี่คุมทั้งอภิญญาทั้งวิชชาสามและสุขวิปัสสโก นี่ยิ่งหนักเลย ปฏิสัมภิทาญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วเท่านั้น แล้วพระอนาคามีนี่ท่านตัดรักเด็ดขาด ตัดโกรธเด็ดขาดบ้านเรือนอะไรนี่ท่านก็ไม่เอาแล้ว ต้องระดับนั้นน่ะ ท่านถึงจะให้ใช้ได้เต็มที่ ถ้าไม่มีการควบคุมเอาไว้บรรลัยจริง ๆ เลย
    ถาม : แต่ ผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ นะ ว่ามันง่ายนี่หว่า
    ตอบ : ก็ใช่ทีนี้ว่า แค่สร้างอารมณ์ของเราให้ยอมรับกฎของกรรมอีกนิดเดียวก็ได้เดี๋ยวนั้นเลย จะสังเกตไหมว่าในพระไตรปิฎก พระที่ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์บรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บรรลุพร้อมอภิญญา บรรลุพร้อมวิชชาสาม ก็คือว่ากำลังใจท่านเข้าถึงจุดนั้นปั๊บของเก่าทั้งหมดใช้ต่อได้เลย คราวนี้ของเก่าของเรานี่มันรอเราอยู่นิดเดียวแค่นั้นเอง มันรออยู่ว่าเมื่อไหร่เราจะยอมรับกฎของกรรมแค่เท่านั้น
    แบบเดียวกับที่เขาว่าพระอรหันต์สุขวิปัสสโก ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจอะไร อย่าไปเชื่อเชียวนะ อาตมาเจอมาแล้ว อภิญญานี่ถ้าหากเป็นโลกียะนี่สู้ท่านไม่ได้เลยล่ะ ท่านทำได้ยิ่งกว่าทำได้อีก หลวงปู่มหาอำพันเป็นตัวอย่างชัดเลย คราวนี้ก็วิกุพนาฤทธิ์คือฤทธิ์ที่เกิดจากอภิญญาโดยตรงจากการฝึกกสิณสิบ มันเป็นแค่หนึ่งในสิบอย่างเท่านั้น ของท่านมันเป็นทั้งบุญฤทธิ์ เป็นทั้งอธิษฐานฤทธิ์ เป็นทั้งฌานฤทธิ์ มันได้หมดน่ะ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌาน ฤทธิ์ที่เกิดจากอธิฐาน ฤทธิ์ที่เกิดจากการสร้างสมบุญมาอะไรมา ท่านตั้งใจให้เป็นยังไงมันก็เป็นยังงั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ มันออกรอบด้านนี่ท่านตัดมันออกแล้ว มันเหลือแต่ตรงแล้ว ถ้าถามว่าลักาณะอย่างนั้นต้องการฝึกอภิญญาเมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น เพียงแต่ท่านหมดอยากแล้ว ไม่รู้จะฝึกไปทำไม
    ถาม : อย่างนี้ก็เหมือนกันนะครับ ผมฟังอยู่ก็เข้าใจนะครับ เต็ม ๆ เลยตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจิตตรงกัน
    ตอบ : พอ ๆ กับไอ้ลูกก๊อสซิบ่าน่ะ จะพ่นไฟแต่พ่นไม่ออกสักที (หัวเราะ)
    ถาม : ผมรู้สึกว่ามันไม่ยากด้วยมันง่ายด้วย
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่ามันง่าย มันก็เหลือแค่เรายอมรับกฏของกรรมเมื่อไหร่ มันก็เริ่มใช้ได้เมื่อนั้น ไปใต้งวดนี้ก็ไปเจอเพิ่มมาอีกหลายคน ที่เขาได้ขึ้นมาโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้นะ ไอ้คนมันได้ดีแล้วตัวเองไม่รู้นี่น่าเตะนะ เขาฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ หันไปฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย ยังไงต้องจับดวงกแก้วศูนย์กลางกายให้ได้ ก็ไม่ได้ทำไปทำมาเบื่อ นอนดีกว่า พอนอนปุ๊บพระพุทธเจ้าเสด็จมาเทศน์ให้ฟัง บอกว่าทุกอย่างต้องมีความพอดี คือ มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าหากว่ามากเกินไปก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค น้อยเกินไปก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค เทศน์ฟังเสร็จ เขาดันมาถามเราว่าที่เขารู้มาถูกมั้ย ?
    ถาม : (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าเทศน์เอง
    ตอบ : ตูจะกล้าไปรับรองธรรมะพระพุทธเจ้ามั้ยเนี่ย (หัวเราะ)
    ถาม : ก็เล่นเอาสูงสุดมาแล้ว
    ตอบ : เอ้อ ! นึก ๆ แล้วบางทีก็....สังเกตมั้ยว่า เขาฝึกมโนไม่ได้ แล้วก็ฝึกธรรมกายก็ไม่ได้ เพราะว่า</B>เขาใช้กำลังมากเกินไป ทุ่มเทกับมันมากเกินไป</B> แล้วเสร็จแล้วพอเขาฝึกแล้วฝึกเล่า ฝึเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เขาหมดอารมณ์น่ะ เฮ้ย ! ช่างหัวมันเว้ย กูนอนดีกว่า มันได้ตรงนั้นน่ะ อารมณ์ใจมันลดลงมาตรงพอดี
    ถาม : ผมจะนอนภาวนาอยู่เรื่อยเลย แล้วพอนอนภาวนาทีไรมันก็จะ....
    ตอบ : ถ้ามันพอดีมันก็ได้ สำคัญตรงนั้นน่ะ
    ถาม : แต่ผมรู้สึกแปลก ๆ ชอบตื่น มากลางดึกแล้วไ้ด้ยินประโยคตรงใจอยู่บ่อย ๆ ผมจะเปิดเทปหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ มันจะวนไปวนมา
    ตอบ : จดไว้แล้วก็ทบทวนการปฏิบัติของตัวเอง เก็บเอาไว้ใช้ได้ตลอดชีวิต
    ถาม : อย่างสมมุติว่าเราปล่อยปลา ปล่อยปลาตัวไหนห้ามกินปลาตัวนั้น พอปล่อยไปเสร็จปลามันยังไม่ทันตายเราตายก่อน พอตายก่อนจิตมันผูกพันกับคนโน้นคนนี้ กลับมาเกิดเป็นลูก แล้วดันไปเอาปลาตัวนั้นมา
    ตอบ : คนละชาติกัน ไม่นับแล้ว
    ถาม : แล้วอย่างเราฝากเงินเขาไปแล้ว เราก็ไม่รู้เขาไปซื้อกะละมังไหนล่ะครับ ก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าภาพร่วมไปปล่อยด้วยเหมือนกันก็เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ก็โทษมันไม่เท่าเดิม ถ้าเจี๊ยะลงไปมันไม่หนักเท่ากับปล่อยเอง
    ถาม : ถ้าเราไปซื้อมาปล่อย โดยไม่รู้ว่ามันตายแล้ว ?
    ตอบ : บุญเราได้แล้ว ส่วนกรรมของเขามันก็หนัก แทนที่เขาจะได้รับอิสระ ก็ปรากฏว่าถึงแก่ชีวิตเสียก่อน แต่ว่านะอย่าหอบเต่าจากสุไหงโกลกไปปล่อยหนองคายนะ งวดนี้ไปเจอมาแล้วตายไปสองตัว
    ถาม : แล้วทำไมไปปล่อยถึงโน้นเลยครับ ?
    ตอบ : ก็เขาศรัทธาหลวงปู่ทองทิพย์ที่วัดป่าสีดารามลักษณ์รัตนโคตร ที่หนองคาย หอบเต่าจากสุไหงโกลกไป ให้ที่วัดหลวงปู่ทองทิพย์ปล่อย ตายไปสองตัว
    ถาม : แต่ผมว่าศรัทธาเขาแรงนะครับ อุส่าห์หอบเต่าจากสุไหงโกลกไปถึงหนองคาย
    ตอบ : กรรมไอ้เต่านั้นมันแรง (หัวเราะ) มันต้องลำบากจากสุไหงโกลกไปหนองคาย หลวงปู่ทองทิพย์ท่านเล่าเรื่องของรามเกียรติ์ เหมือนยังกับท่านเป็นตัวละครในรามเกียรติ์เอง คนก็เลยคาดว่าท่านต้องเป็นหนึ่งในตัวละครรามเกียรติ์นั่นน่ะ แล้วท่านสร้างวัดท่านก็ยังใช้วัดป่าสีดารามลักษณ์รัตนโคตร เพิ่งมรณภาพไปได้เดือนกว่านี่เอง ใครถวายแหวนท่านใส่หมดล่ะ สิบนิ้วนี้ล้นมือเลย นิ้วละหลาย ๆ วง ใส่ประเภทที่เรียกว่าลักษณะสงเคราะห์โยมเขา ให้มันได้บุญ เสียดายว่าท่านรีบมรณภาพเสียก่อน ไม่งันจะต้องมีตวอยากดังมันไปหาเรื่องจนได้ แล้วก็คอยกรุณาสงสารมันจะลงอเวจีหรือเปล่า

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ท่านมรณภาพไปนานหรือยังครับ ?
    ตอบ : ประมาณเดือนนึง ตอนท่านอยู่ไม่กล้าพูดหรอก ถ้าหากว่าพระที่อยู่แล้ว ประเภทที่เรียกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปกวนท่าน เดี๋ยวอาตมาแย่ไปด้วย
    ถาม : จะแย่กว่านี้อีกเหรอครับ ?
    ตอบ : โห....อย่าลืมว่าตอนนี้อาตมาแค่นี้นะ เวลาพักยังไม่มีแล้วน่ะ เกิดมันอยู่ได้ซักแปดสิบล่ะ ?
    ถาม : อ้าว...หลวงพี่บอกผมว่า ๑๒๙ ไม่ใช่เหรอครับ ผมจำแม่นนะหลวงพี่
    ตอบ : ๑๒๖ ไหนบอกจำแม่น
    ถาม : ผมจำกลับหัว (หัวเราะ) ผมอยู่ไม่ถึงร้อยอยู่แล้วครับ
    ตอบ : เห็นตัวเลขก็จะขาดใจตายเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ ก็หลวงพ่อไง หลวงพ่อ ๑๒๐ พอดี ๑๒๐ จะขึ้น ๑๒๑ แต่หลวงพ่อท่านไปตอน ๗๙, ๘๐ มันไม่ไหว มันเข็นไอ้นี่ไม่ไป ในเมื่อเข็นมันไม่ไปก็ใช้ขันธ์ทิพย์ทำงานต่อ ครบเวลาก็ไปจ้อย ตอนนี้หลวงพ่อท่านก็ยังเหลืออีกประมาณ ๗๐ ปี ได้มั้ง เดี๋ยวปีนี้มีอะไร เหลืออีก ๓๕ ปี เรื่องมันเลยมาแล้ว แล้วหลวงพ่อก็มรณภาพไปแล้ว แต่ระวังโดนฟาดกะบาล เผลอเมื่อไหร่โผล่มาทุกที
    ถาม : แต่ผมขี้เกียจ มันไม่จดน่ะ ฝึกตัวเองไม่ได้ซักทีขนาดเตรียมกระดาษปากกาไว้หัวนอน แล้วก็ยัง
    ตอบ : ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอทำถึงจุด ๆ หนึ่ง แล้วจะรู็ว่าเวลาที่ผ่านไปนัน ถ้าเราตายเสียก่อนมันน่าเสียดายเหลือเกิน
    ถาม : ผมก็คิดครับ บางทีเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกอยู่เลยว่า นี่เราประมาทคุยกับไอ้ป๊อบอยู่เลยว่า เราไม่ศรัทธากันจริง ๆ เพราะถ้าศรัทธากันจริง ๆ เราต้องเชื่อมั่นว่าเราตายได้เสมอ เราก็ต้องทำแล้ว ไม่ใช่ว่ามารี ๆ รอ ๆ แล้วไม่ได้ทำซักที ก็พอพูด จบ ซักวันสองวันก็....
    ตอบ : เหมือนเดิม (หัวเราะ) สม่ำเสมอดีมาก มีสมานัตถตาเนอะ
    ถาม : ผมว่าการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวัน มันเหมือนกับเราผจญ เราเครียดอย่างนี้ เราหลอกตัวเองหรือเปล่าครับ ? เหมือนกับไปฝักใฝ่กับมันเหนื่อยกับมัน
    ตอบ : ไม่ใช่หลอกตัวเองหรอ เขาหลอกเรา
    ถาม : สมัยก่อนอ่านไปก็วิจารณ์หลวงพ่อไป ทำไมสอนอย่างนั้น ทำไมสอนอยา่งนี้เป็นเรา เราไม่ทำอย่างนี้แน่ ๆ เลย
    ตอบ : มาถึงสมัยนี้ หลวงพ่อสอนขนาดนั้น มันยังไม่เอาเลย (หัวเราะ)
    ถาม : แต่เดี๋ยวนี้ก็ย้ังเป็นอยู่ ก็ยังมาติเหมือนกัน ก็ยังมาติตลอด
    ตอบ : ก็บรรดาพวกหนังสือหนังหาอะไร แล้วก็คนใหญ่คนโตในแผ่นดินบางส่วน (หัวเราะ) เขาจะไม่สนับสนุนให้ธรรมะของหลวงพ่อแพร่หลาย เพราะเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของฤทธิ์ของเดชมากเกินไป มันจะไปติดกันอยู่ตรงนั้นมาก เขาว่า ต้องเอาธรรมะบริสุทธิ์แบบ</B>สายพุทธทาส</B> หรือวัดชลประทานนั่น เดินเข้าไปดูซิมุมพระพุทธศาสนาน่ะ มีแต่ตำราของสองท่านนี้ เกินแปดสิบเปอร์เซนต์ล่ะมัง ตัวกูของกู คู่มือมนุษย์ อะไรอย่างนี้พี่น้องสองอรหันต์ อิทิปปัตจยตา อานาปาณสติ ๑๖ ขั้น
    ถาม : ผมรู้สึกเลยว่า เหมือนเรา ผมรู้สึกไง เหมือนกับ....
    ตอบ : มันจะเริ่มใส่อารมณ์ไปด้วย
    ถาม : ใช่ครับ ก็รู้สึกตัวเองเลวไง ไปเห็นคนอื่นเลวแล้ว โดนมารหลอกไปอีกแล้ว
    ตอบ : มันดึงไปตั้งไกลแล้ว
    ถาม : อย่างนี้ยังทันมั้ยครับ ?
    ตอบ : ทัน ช้าไปหน่อย</B> ช้าแค่ไหน ถ้ารู้ตัวก็ถือว่าทัน</B>
    ถาม : ความจริงพยายาม บางทีแบบเคยนั่งอ่าน ใส่แล้วใส่อีกก็ยังไม่เข้าใจ (หัวเราะ) อ่านเข้าใจยากจริง ๆ
    ตอบ : อาตมาเคยอ่านเรื่องเดียวอยู่สามวัน กว่าจะเข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร
    ถาม : เรื่องอะไรครับ ?
    ตอบ : หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคลที่ไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา ไม่ได้อธิษฐานตามกันมา จะฟังกันเข้าใจยาก มิน่าเราแคะอยู่สามวันแคะไม่ออก แต่คนอื่นอ่านมันซาบซึ้งกันจัง
    ถาม : การตื่นเวลาตรงกันอยู่ทุก ๆ วันนี่มันเกี่ยวเนื่องกับอะไรหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : สั่งมัน เรื่องของการปฏิบัตินี่ มันเหมือนยังกับมีนาฬิกาปลุกพิเศษอยู่ในตัว เรากำหนดใจว่าจะตื่นเมื่อไหร่เวลาไหนมันจะตรงเป๊ะเลย แล้วไอ้ที่ตลกที่สุดช่วงที่ปฏิบัติหนัก ๆ สมมุติว่าเราตั้งไว้ตีสาม แล้วมันจะตื่นก่อนห้านาทีทุกวันเลย มันจะตื่นตีสองห้าสิบห้าเป๊ะเลย จะเป็นอย่างนั้น นาฬิกาของเรามันเพี้ยน มันเผื่อให้ห้านาทีเผื่อบิดขี้เกียจ
    ถาม : ................
    ตอบ : ระยะหลัง ๆ มานี่คนใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิดยังไม่พอ คือประเภทที่ว่าแทนที่จะรู้เพื่อละหรือเพื่อยึดเกาะพระนิพพานโดยตรง ก็เอาไปใช้แล้วก็ไปยึด ตรงนี้เราถือว่าผิดมากแล้ว ถัดมาจากตรงนี้ยังมีอีก ใช้มโนมยิทธิในการจัดการกับผู้อื่นโดยการว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ในลักษณะเป็นศัตรูแล้วก็ขับไล่ออกไป...เก่งมาก....พวกนี้มันเก่งเกินครูอาจารย์
    ถาม : ถ้าเกิดเป็นลูกแท้ ๆ อย่างนี้ ตายเลย
    ตอบ : น่ากลัวมั้ย ? การเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้น่ากลัวขนาดนี้ ขนาดบุคคลที่ี่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นแล้วยังเห็นผิดได้ถึงปานนี้ ขึ้นชื่อว่าผู้อื่นที่จะไม่ทุกข์แล้วมันจะมีอยู่หรือ
    ถาม : ผมว่า ............(ไม่ชัด)...........แสดงว่าของเก่าเขาไม่น้อยแสดงว่าเราต้องทำกันมาไม่ใช่น้อย ๆ มันต้องเยอะมากเหมือนกัน
    ตอบ : มีอยู่วันหนึ่งประชุมกันในโบสถ์ หลวงพ่อบอกว่าพวกแกยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิจริง ๆ หรอก พวกเราก็ เอ๋อ....รับประทาน กติกาข้อแรกเลยว่าคุณจะบวชต้องได้มโนมยิทธิก่อนไม่งั้นไม่ให้บวช ทำไมไม่มีใครได้เลยเหรอ ? หลวงพ่อท่านเฉลยว่า บุคคลที่จะไ้มโนมยิทธิจริงจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น เพราะจิตท่านสะอาดปราศจากกิเลสจริง ๆ นอกนั้นโอกาสโดนมารแทรกมีสูงมาก ขนาดหลวงพ่อท่านยังเคยเล่าให้ฟังว่าท่านโดนมารมันหลอก เพียงแต่ว่าท่านรู้ทัน...รู้ทันมารในลักษณะพระพุทธเจ้าไง หลอกท่านซะเปื่อยไปทีหนึ่งแล้ว พอขึ้นไปอีกทีทำกำลังใจถูกต้องไปต่อว่า พระท่านบอกไม่ใช่ฉันดูซิใคร นั่งยิ้ม ๆ ไป ยิ้มมา .......เขี้ยวงอก
    ถาม : แล้วตกลงเป็นใครครับ ?
    ตอบ : มารเขาหลอก
    ถาม : มารนี้มันตัวตนใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : มีจริง ๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : คือ เทวดาที่ท่านทำหน้าที่ ?
    ตอบ : กล้ายืนยันว่ามีจริง เพราะเจอกันมาแล้ว แล้วมากันอย่างชนิดที่เรียกว่าเราไม่นึกว่าเขาจะเยอะอย่างนั้น ของเราเราว่าเราเป็นคนที่บ้าเลือดแล้วไม่ค่อยกลัวอะไรง่าย ๆ นะ พอเจอเข้าจริง ๆ ใจมันฝ่อเหลือนิดเดียว รู้เลยนะว่าเราลุ้นเขาไม่ขึ้น เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิที่มีโอกาสทำบุญใหญ่อย่างไม่ได้เจตนา บุญใหญ่นั้นส่งให้เขารับความดีในลักษณะของเทวดาชั้นสูงสุดของชั้นกามาวจรด้วย แต่ว่าหน้าที่เอกเขาก็คือคอยขวางคนอื่น เขาไม่อยากให้คนอื่นได้ดี
    ถาม : ......................
    ตอบ : จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าตราบใดที่เขายังไม่หมดบุญตรงนั้นเขาก็ยังทำไปเรื่อย พอถึงเวลาผ่านไปเดี๋ยวคนอื่นก็มาแทนเยอะนี่
    ถาม : มันคือผลกรรมหรือเปล่าครับ มันก็คือเนื่องกันมา.............?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เขาไม่ใช่ศัตรูของเรา คิดดูแล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะเขาทดสอบอยู่ทุกวินาที เผลอเมื่อไหร่มันลากเราไปเมื่อนั้น
    ถาม : ครับ ผมว่านี่ขนาดผมนั่งอยู่กับหลวงพี่ผมยังรู้สึกอยู่ตลอด นี่เผลออีกแล้ว นี่โดนอีกแล้ว นี่โดนอีกแล้วเนี่ย
    ตอบ : เดี๋ยวนี้เฮียเขาก้าวหน้าแล้วจ้ะ จากกัน ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ (หัวเราะ)
    ถาม : ..................
    ตอบ : ก็ใช่น่ะสิ บอกว่า ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ นี่จากกันตั้งนาน เขาว่าอะไรนะ..........
    <TABLE height=1 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD> เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม </TD><TD> ดนตรี</TD></TR><TR><TD> ห้าวันอักขระหนี </TD><TD> เนิ่นช้า</TD></TR><TR><TD> สามวันจากนารี </TD><TD> เป็นอื่น</TD></TR><TR><TD> หนึ่งวันเว้นล้างหน้า </TD><TD> หม่นไหม้ หมองศรี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ถาม : ..............
    ตอบ : หมายความว่ารู้ตัวอยู่ว่าเผลอเมื่อไหร่เขาก็เอาเรา คือในระหว่างที่ใจกับกิเลสมันสู้กันอยู่ เผลอสติเมื่อไหร่กิเลสมันจะชนะ มันเหมือนกับต่อยมวยกันอยู่เผลอเมื่อไหร่การ์ดตกมันก็เปรี้ยงเต็ม ๆ
    ถาม : เมื่อสมัยก่อนหัวเกรียนเลย
    ตอบ : เขายาวจนประบ่าไปทีหนึ่งแล้ว แล้วเขารำคาญก็เกรียนไปกะจะโกนเลย ไป ๆ มา ๆ มันยาวอีก ใครชอบอย่างไหนก็อย่างนั้น ตามเขาให้ทันเถอะ ถ้ามัวไปสนใจเรื่องอื่นกำลังมันโดนแย่งเอาไปเยอะ พอมันแย่งเอาไปเยอะกำลังที่จะสู้กิเลสมันน้อยลง เพราะฉะนั้นปิดรอยแยกมันให้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันให้หมดให้เหลือใจอย่างเดียว มันเคยทำได้นี่ เพียงแต่เราเห็นว่าอย่างอื่นมันดีกว่าเท่านั้นเอง ตอนนี้เราก็แค่ย้อนกลับมาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมมันดีกว่า เปลี่ยนความตั้งใจ เปลี่ยนความพอใจ จากทางเดินทางโน้นกลับมาด้านนี้เท่านั้นเอง กำลังมันเท่ากันน่ะไอ้ที่ใช้
    ถาม : มันขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ
    ตอบ : คนเคยทำได้แล้วมันไม่ยาก เพียงแต่ว่าสำคัญตรงทำให้ต่อเนื่อง เผลอแม้แต่วินาทีเดียวมันก็หลุด ต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ </B>ไม่ใช่ว่าหยุดภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการสวดมนต์ไหว้พระแล้วเลิก อย่างนั้นขาดทุนทำจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นอยู่กับเราให้นานที่สุด พลาดเมื่อไหร่ก็รีบตะเกียกตะกายหามันใหม่</B>
    ถาม : ...................
    ตอบ : นึกเสียว่าสิบล้อมันวิ่งก็แล้วกันโยม รู้อยู่..........แต่พูดเล่น คือว่ามันมีหลายปัจจัยด้วยกันแต่จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าพูดแบบเมื่อกี้ที่ตือเขาพูดก็คือว่าเขาดึงความสนใจของเราไปจากจุดที่เราภาวนาอยู่ พอเราไปสนใจข้างนอกเมือ่ไหร่ ส่งใจออกนอกก็เสร็จเขา กำลังใจของเราแทนที่จะอยู่กับการภาวนา ........ไปอยู่กับรูปแล้ว เสียท่าเขาแล้ว เขาเจตนาจะเปลี่ยนความสนใจของเราจากการภาวนานี้ ซึ่งมันจะต้องได้แน่ ๆ
    ถ้าทำต่อไปให้ไปสนใจข้างนอกแทน แล้วก็ทำไม่สำเร็จ.....ไม่น่าเชื่อนะ แป๊บเดียวที่ใจเราไปสนใจทางโน้น.....เสร็จมันแล้ว ! มันลากคอเราไปแล้ว พวกเรื่องละเอียด ๆ นี่บางคนที่เขาทำไม่ถึงจะท้อไปเลย ..........มันยากมันเย็น ขนาดนั้นอย่าไปสู้มันเลย เป็นพวกเดียวกับมันไปเลยดีกว่า
    ถาม : ..........(ไม่ชัด)..........ตอนนั้นหนูอยู่เมืองกาญจน์..........เขาสู้กับคนไม่ดี คือเขาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราอยู่เฉย ๆ ของเรา..........เราก็สามารถหาวิธีหลบหลีก........ทีนี้เรานึกถึงคำว่าก่อกรรมนี่ค่ะ เราไม่อยากก่อกรรม แต่ว่าถ้าเราอยู่เฉย ๆ....ในแง่ทางดลกนี้ผลกระทบมันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วที่พยายามคิดนี่ตัวโมหะมันอื้อเลยค่ะ .........(ไม่ชัด)........?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วคือเราทำถูก แต่ว่ามันถูกแค่ขณะนั้น ถูกแค่กำลังใจของเราตอนนั้น คำว่าก่อกรรมเราใช้ได้ถูกมากเลย คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างพอมีการกระทำขึ้นมาไม่ว่าจะดีหรือชั่วผลของการกระทำจะส่งผลให้เราในอนาคตแน่นอน นั่นคือการก่อกรรมขึ้นมา
    คราวนี้ กำลังใจของเราน่ะอยู่จุดนั้น พอถึงเวลาแล้วความรักตัวของเรามันมีมากกว่ามันก็จำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อเป็นการป้องกันตัวของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ว่าถ้าหากเป็นผู้ที่กำลังใจสูงกว่านั้น ในลักษณะที่เรียกว่ายอมตายถวายชีวิตลักาณะที่ว่าเพื่อให้มันเด็ดขาดลงไป กรรมตรงนี้มันสิ้นไปเลย ถึงเขาจะฆ่าเราก็ยอม อันนั้นก็อีกระดับหนึ่งของกำลังใจ แต่ละคนแต่ละกำลังใจไม่เท่ากัน
    ดังนั้นการกระทำของแต่ละคนไม่มีอะไรน่าตำหนิเลย เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้ว เขาจึงได้ทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดีคงไม่มีใครทำหรอก จุดนั้นเขาเห็นว่าเขาทำแล้วดีเขาก็ทำ ของเราเองก็ เออ....เอากับเขาซะหน่อยมันก็คงจะดีก็เลยทำบ้าง มันกลายเป็นว่ากรรมมันกว้างออกไปเรื่อย จากการกระทำที่ไม่ได้หยุดลง คราวนี้ถ้าหากว่าอยากจะหยุดการกระทำอันนั้นมันก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ ยอมตายถวายชีวิตบูชาธรรมไปเลย แต่กำลังใจของเราไม่ถึงตรงจุดนั้น ในเมื่อเรายังไม่ถึงตรงจุดนั้นเราทำตรงนั้นลงไป ตอนนั้นก็ถือว่าสมควรแล้ว
    ถาม : แต่ถึงแม้ว่า ....สมมุติว่าหนูอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโต้คนอีกฝ่ายหนึ่ง เขาพยายามจะหาผลประโยชน์จากเรา เขาคงไม่หยุดหย่อน ถ้าสมมุติว่าในกรณีนี้เราอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโ้ต้เขา .........(ไม่ชัด)...........ซึ่งตรงนั้นวัฏจักรในอนาคตนี่มันย้อนกลับมา เกี่ยวข้องกับเราอีก ?
    ตอบ : มันย้อนกลับมาแต่ว่ามันเป็นกรรมในลักษณะเดียวมันจะเป็นกรรมด้านเดียว ในเมื่อกรรมด้านเดียวมันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรือเขาจะถูกกระทำโดยกรรมนั้นมาสนองฝ่ายเดียว แต่ว่าพอกระทำไปปุ๊บมันก็ยังคงเป็นกรรมต่อไปอีกจนได้ จนกว่ามันจะเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป คือ ทั้งโจทก์ทั้งจำเลยตกลงกันต่อหน้าว่าเรื่องทั้งหลายที่ทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ขอให้มันเลิกแล้วต่อกัน ให้อโหสิกรรมต่อกัน ถ้าหากเขาตอบรับก็คือจบกันเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : .........(ไม่ชัด)................
    ตอบ : ทำไมล่ะ แป๊บเดียวของข้างบน ก็นิดเดียว เคยได้ยินไหม กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา เคยได้ยินพระสวดไหม ถ้าสวดต่อก็แป๊บเดียว ท่านเทศน์แต่หัวข้อแต่ว่าความเป็นทิพย์ของเทวดาน่ะสูงมาก อยู่ในระดับที่ว่า อุคติตัญญูคือฟังหัวข้อไปเข้าใจเลย เราฟังรู้เรื่องไหมล่ะ ท่านบอกว่า ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล เขาฟังปุ๊บเขาก็รู้แล้ว ธรรมส่วนที่เป็นกุศลคืออะไร ธรรมที่เป็นส่วนอกุศลคืออะไร ที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปคืออะไร และเขาก็จะเลือกที่ถูกที่ควรของเขาได้ ฉลาดมากขนาดนั้น
    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเทศน์มาก เทศน์ข้างบนนี้ไม่ต้องเทศน์ยาว ๓ เดือน ก็แป๊บเดียวของข้างบน ถ้าจะเลิกสงสัยก็เป็นซะเองพอถึงเวลาก็ขึ้นไป (หัวเราะ) น่าสงสัยมั้ย ? สถานที่ที่อยู่เป็นสุขมันเหมือนกับผ่านไปเร็วใช่มั้ย ? เวลาเราสบายใจแป๊บเดียวหมดวันแล้ว คราวนี้เทวดาเขาสุขไอ้ความสบายใจของเรานับเข้าไม่ได้ เพราะเวลาของเขาพอนับเวลาของมนุษย์แล้วมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ของเขาแค่วันเดียวของเราต่ำ ๆ ก็ไป ๕๐ ปีแล้ว ถ้าหากว่าชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งก็ ๑๐๐ ปีของเรา
    นางปติปูชิกาเป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร ลงมาเกิดเป็นมนุษย์แต่งงานมีลูกแล้ว ตายตอนอายุ ๕๐ เศษนิดหน่อย กลับขึ้นไป มาลาพาลีเทพบุตรถามว่าเธอหายไปไหนมาครึ่งวัน ไปเกิดเป็นมนุษย์อายุ ๕๐ กว่า มีสามีมีลูกแล้ว ตายแล้วกลับขึ้นไปใหม่ กลายเป็นครึ่งวันของข้างบนเท่่านั้น ท่านก็บอกว่าท่านไปเกิดเป็นมนุษย์มา มีสามีมีบุตรแล้ว แล้วก็ได้ทำบุญในสำนักของพระพุทธเจ้าอธิษฐานเพื่อขอกลับมาเกิดใหม่ในสำนักของท่าน มาลาพาลีเทพบุตรก็ตกใจ เอ๊ะ ! ชีวิตมนุษย์มันสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเขามีความประมาทอยู่หรือว่าเป็นผู้ขวนขวายได้บุญ ปติปูชิกาบอกว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ประมาทลุ่มหลงมัวเมาอยู่ มาลาพาลีเป็นเทวดานี้ก็มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ ตั้งใจรู้อะไรก็รู้หมด ก็ได้แต่นั่งถอนใจสงสารมนุษย์ไม่รู้จะช่วยยังไง
    ถาม : น้องชายเขาบนบวชเอาไว้ ตั้งใจว่าบวชเมื่อเรียนจบปีหน้าเขาจะไปรับผู้พัน เขาจะบวชสักพรรษาหนึ่ง คือใช้ที่เขาบนเอาไว้ด้วย แล้วก็บวชให้ตัวเองด้วย แต่บังเอิญตำแหน่งที่ีมาเขาไม่สามารถบวชได้ในตอนนี้ มีวิธีไหนไหมคะ ที่จะ....?
    ตอบ : แล้วเขาไปบนในลักษณะที่ว่าจะบวชเมื่อไหร่หรือเปล่า ?
    ถาม : ไม่ได้บนในลักษณะว่าจะบวชเมื่อไหร่ค่ะ
    ตอบ : บนแค่ว่าให้บวชใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ พอได้สมดังใจแล้วก็จุดธูปบอกท่านเลยว่าเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะบวชให้เพราะตอนนี้ตำแหน่งหน้าที่ที่ให้มาไม่สามารถจะบวชได้จริง ๆ จนกว่าจะปลีกตัวได้ ยกเว้นว่าเราไปล็อกเวลาแน่นอนว่าถ้าได้ปุ๊บจะต้องบวชอะไรอย่างนั้น เพราะว่าเรื่องของเทวดาท่านตรงไปตรงมา
    ถาม : ไม่เกี่ยวกับอธิษฐานจิตใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่เกี่ยว
    ถาม : มีอีกเรื่องหนึ่ง คือว่ารู้ตัวทุกอย่างแต่ว่ามันกดจนมันสุดทนแล้ว กดไม่ไหวแล้ว ปล่อยออกมาก็รู้ว่าผิด เก็บไว้ก็เก็บไม่ได้ ?
    ตอบ : ก็ปล่อยออกมาสิ แต่ว่าอย่าปล่อยให้มันเป็นโทษแก่คนอื่น ไประเบิดในห้องน้ำก็ได้
    ถาม : ...............
    ตอบ : นั่นแหละ เอาเลย เพราะอย่างเก่งมันก็เป็นแค่มโนกรรม วจีกรรม อย่าให้มันเป็นกายกรรม เราลดกรรมเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าหากจะลดวจีกรรมลงด้วยก็เอาแค่ในใจก็ได้ ด่าให้มันระเบิดเถิดเทิงไปเลย แต่ด่าในใจ
    คือถ้ามันถึงเวลามันไม่ไหวจริง ๆ เพราะว่าสติมันตามไม่ทันไปรับเขาเอาไว้เยอะมันก็จำเป็นนะ ต้องใช้คำว่าจำเป็นเลยว่าถึงเวลามันไม่ไหวมันก็จะระเบิดเอา อันนั้นก็ลดกรรมให้มันเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นได้ คือถ้าอย่างหนักก็กายกรรมใช่มั้ย ? เราก็ให้เหลือวจีกรรมหรือมโนกรรมก็พอ หรือถ้าเป็นไปได้ ให้มันเหลือแค่มโนกรรมให้อกแตกตายไปคนเดียวก็พอ อย่าให้ความชั่วของเรามันไหลไปปนเปื้อนให้คนอื่นเขาลำบากไปด้วย
    ถาม : (ถามเรื่องอยากมีลูก) จะเลี้ยงไหวไหมครับ เดี๋ยวมีเยอะน่ะครับ ?
    ตอบ : อาจจะได้แฝด ๘ (หัวเราะ) บายศรีคู่หนึ่ง ซ้ายขวา ๑ คู่ ไก่ต้ม ๑ ตัว หัวหมูต้ม ๑ หัว ขนมต้มขาวต้มแดงอย่างละถ้วย ข้าวปากหม้อ ถ้าหากบายศรีเขาอัดข้าวไปได้ก็อัดเ้ข้าไปในบายศรี ถ้าใส่ไม่ได้ก็เอาใส่ถ้วยไว้ต่างหาก แล้วก็ไข่ต้มยอดบายศรี ถ้ายอดบายศรีเขาไม่เตรียมไว้ให้เราเสียบไข่เราก็เอาไข่วางรวมไว้กับข้าวก็ได้ ก็เท่ากับว่าไข่ต้มอย่างน้อย ๒ ฟองนะ แล้วก็กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ส้มโออย่างละ ๒ เพราะว่าเราจัดบายศรีซ้ายขวาใช่ไหม ? ก็อย่างละ ๒ จัดเป็น ๒ ชุด มีเทปบวงสรวงหลวงพ่อไหม ? รู้จักไหม ? หลวงพ่อท่านจะมีเทปสมาทานกรรมฐานอยู่ม้วนหนึ่ง อย่าให้เกิน ๙ โมงเช้านะ ยิ่งเช้ายิ่งดี เปิดเทปบวงสรวง ตั้งใจขอกับท่านปู่พระอินทร์เพราะว่าพระอินทร์ท่านเป็นนายของเทวดาทั้งหมด ตั้งใจขอท่านว่าเทวดาองค์ไหนจะที่จะเกิดมา เพื่อสร้างบารมีขอให้มาเกิดกับเรา จะบำรุงเลี้ยงเต็มที่ แล้วถ้ามาทั้งทีก็ควรจะให้คุณกับครอบครัวเยอะด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวเลี้ยงมันอย่างเดียว...ตาย
    ถาม : .........................
    ตอบ : เทวดาองค์ไหนที่จะมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ขอให้มาเกิดกับเรา ขอให้ท่านปู่พระอินทร์ช่วยสงเคราะห์ให้เทวดาองค์ไหนที่ท่านปกครองอยู่จะมาเกิดเพื่อสร้างบารมีน่ะ ขอให้มาเกิดกับเรา อธิษฐานขอกับท่านปู่ดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ
    ถาม : อย่างนี้มันก็อยู่ที่ว่าเขาก็ต้องเนื่องกับราด้วยสิครับ ?
    ตอบ : มันก็ต้องเนื่องกันมาในอดีตอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีอะไรกันนิดหนึ่ง
    ถาม : อยากมีลูกแต่กลัวเลี้ยงลูกไม่ดี แต่ก็จริง ๆ นะได้ิยินมาว่าตีก็ไม่ได้ ?
    ตอบ : เด็กที่มาจากข้างบน ที่มาจากพรหม จากเทวดา เขาจะรู้ภาษารู้เหตุรู้ผลตั้งแต่เด็ก ๆ ถ้าเขาทำผิดครั้งแรกอย่าเพิ่งลงโทษ ให้บอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำแล้วผิด ต่อไปหนูทำอีกแล้วแม่ต้องตีนะ จะต้องลงโทษนะ แล้วต่อไปเขาทำผิดบอกเนี่ยหนูทำผิดอย่างที่แม่บอก แล้วตีเขาจะรับได้ แต่ถ้าไปตีเขาแล้วไม่ให้เหตุผลพวกนี้จะดื้อ แล้วถ้าดื้อขึ้นมาแล้วเลี้ยงยากอย่าบอกใคร ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล
    ถาม : พอดื้อปั๊บ ผมก็เสียงดัง
    ตอบ : พวกนี้จะรู้เหตุรู้ผล แต่ว่าเด็กก็คือเด็ก ความจำเขาจะสั้น เราบอกซ้ำไปแป๊บ ๆ เดี๋ยวก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นถึงเวลาก็บอกเขาใหม่ แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเขารู้ว่าผิดแล้วเขาทำ ถ้าเราตีเขา เขารับได้
    มีเด็กอยู่คนหนึ่ง ตัวมันนิดเดียวแหละ อายุประมาณสัก ๓ ขวบนะ ชื่อจริงเขาชื่อสมาบัติ ไอ้นี่มาจากข้างบนแท้ ๆ เลย พอเขาทำผิดพ่อเขาตี เขาเป็นอาจารย์ด้ว ยพอตีปั๊บเขาถามว่าตีผมทำไม พ่อยิ่งโกรธยิ่งตีใหญ่หาว่าลูกหัวหมอ แต่จริง ๆ ลูกมันถามเหตุผลเท่านันแหละ ว่าตีทำไม แต่ไม่บอกเขา ตีเขาแบบระบายอารมณ์ พวกนี้ถ้าดื้อขึ้นมารับรองได้เลยว่าเอาอยู่ยาก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : นี่พอตั้งท้องก็ตั้งชื่อเลย ยังไม่ทันรู้เลยว่าลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเคยแท้งน่ะค่ะ ตอนนั้นท้องได้ ๔ เดือน

    ตอบ : ระยะนี้ก็อย่าไปเล่นคอมฯ บ่อยก็แล้วกัน เห็นว่าใกล้คอมฯ แท้งเยอะ เพรามันเท่ากับโดนเอ็กซเรย์อยู่ตลอด
    ถาม : ก็นั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ
    ตอบ : เอาหมอนนิ่ม ๆ ใบโต ๆ สอดไว้ข้งหน้าเราเวลาทำงาน มันช่วยได้เยอะ
    ถาม : .............
    ตอบ : กำลังของกรรมทั้งหมดเหมือนกับวังน้ำวนที่ดึงดูดเราอยู่ ถ้าหากว่ากำลังเราาสูงกวา่เราสามารถแหวกว่ายเพื่อที่จะฟันฝ่าให้หลุดพ้นจากวังวนอันนั้นขึ้นฝั่งไปได้ก็เป็นอันว่าจบ หนี้สินต่าง ๆ น่ะ ไม่ได้เกี่ยวกัน เจ้าหนี้อยู่ฝั่งโ้้น้น ถ้าจะตามขึ้นไปตามข้างบน (หัวเราะ) พอไปถึงข้างบนไม่มีใครเขาทวงกันแล้วจ้ะ มันต่างคนต่างหลุดพ้นสบายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นภาระเป็นกิจที่ต้องทำอีก
    ถาม : วิธีเดียวที่จะหนีจากโลกคือต้องไปนิพพาน ?
    ตอบ : ไปนิพพานให้ได้ถึงจะจบ ไม่อย่างนั้น</B>แล้วกรรมทุกอย่างจะหมดลงด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกเขาเรียกว่า อโหสิกรรม</B> คือว่าโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้ากัน พร้อมใจกันเอ่ยปากวา่กรรมทั้งหลายที่ทำมาขอให้เป็นอโหสิกรรม สิ้นสุดลงต่อกัน ถ้าตกลงกันได้อยา่งนั้น กรรมนั้นจะจบลง อีกอย่างหนึ่งก็ถือว่าเป็นอโหสิกรรมด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งทำความดีถึงที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจจะตามได้ก็จบลงเหมือนกัน เขาไปต่างประเทศแล้วเราอยู่ที่นี่ไม่มีสตางค์ค่าเครื่องบินน่ะ ก็เป็นอันว่าไม่สามารถทวงได้
    พระองคุลีมาล ใช้หมดมั้ยล่ะจ้ะ ? (หัวเราะ) ฆ่าไปซะบานเลย ยังไม่ได้ใช้สักคนไปนิพพานซะแล้ว กรรมเป็นของน่ากลัวไล่ตามเราอยู่ตลอดเวลาเหมือนสัตว์ที่ดุร้าย่ตามทันเมือ่ไหร่ก็ขบกัดทำอันตรายเราอยู่เสมอ บางทีถึงแก่ชีวิตลง อย่างเช่น อุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทั้ง ๆ ที่ไม่ทันหมดอายุก็ต้องตายลงไป
    เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวขนาดนี้ตามเราอยู่ตลอดเวลา ขนาดนี้ถ้าไม่เร่งหนีมันให้พ้นก็จะโดนมันทำอันตรายอยู่เสมอ วิธีหนีที่ดีที่สุดก็คือต้องหนีไปนิพพาน ที่อื่นหนีไม่พ้น </B>พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไม่ว่าจะหนีไปอยู่ใต้มหาสมุทร จะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆบนท้องฟ้า หนีไปอยู่ในซอกเขาลึก ก้นเหวลึกสุดคณา กรรมทั้งหลายก็ยังคงตามได้เป็นปกติ ยกเว้นที่เดียวพ้นโดยสิ้นเชิง คือ พระนิพพาน</B>
    ถาม : ส่วนมากนี่คนที่ไปแล้วมักจะอยู่ไม่ได้ใช่ไหมคะ เช่น ฆราวาส ?
    ตอบ : ถ้าเป็นฆราวาสหากว่าบรรลุมรรคผลแล้วอยู่จะเป็นโทษแก่คนอื่นมาก ความดีก็จะตัดให้ตายไปเลยจะได้ไม่เป็นโทษกับเขา
    ถาม : โทษกับคนอื่นนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
    ตอบ : คนที่เขาไม่ทราบเขาก็ยังเห็นเราเหมือนเดิม แต่ความจริงกำลังใจของเราสะอาดถึงที่สดุแล้ว ในเมื่อเขาแตะนิดแตะหน่อยสิ่งที่ตอบคืนกลับไปนั้น ถ้าทำดีก็จะได้คุณอนันต์ ถ้าทำชั่วแก่เราก็จะได้โทษมหันต์
    นางขุชชุตตรา เพื่อท่านเป็นทภิกษุณีกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ไปคุยกันอยู่ นางขุชชุตตราท่านนั่งอยู่ เพื่อนท่านนั่งแล้วขวางเครื่องแต่งตัวท่านอยู่นี่ ท่านก็บอกว่าพระแม่เจ้าโปรดหยิบเครื่องแต่งตัวให้ดิฉันหน่อย ภิกษุณีท่านก็พิจารณาดูว่าถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธจะลงนรก แต่ถ้าเราหยิบให้เธอโทษของการใช้พระอรหันต์ตายไปต้องเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ การเป็นคนใช้เขาย่อมดีกว่าลงนรก ท่านก็เลยหยิบส่งให้ นางขุชชุตตราต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เพราะว่าใช้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ นั่นขนาดเป็นภิกษุณีแล้ว คราวนี้ลองคิดดูว่าถ้าเราที่เป็นฆราวาสแล้วเพื่อนไม่รู้ล่ะ ?
    ถาม : ...............................
    ตอบ : เด็กผู้หญิงคนนี้อายุประมาณ ๕ ขวบเท่านั้น ตายลง แล้วพระยายามราชให้เทวทูต ไปตามหลวงพ่อจากวัดท่าซุงบอกว่าเด็กคนนี้เรียกหาหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา พอหลวงพ่อไปถึงก็แปลกใจว่าทำไมเรียกหา ก็ปรากฏว่ากำลังใจเขาทรงความดีอยู่ตลอด พระยายมบอกว่าเด็กคนนี้โตขึ้นจะเป็นพระอนาคามี แต่เนื่องจากเธอโตขึ้นจะเป็นคนสวยมาก และกรรมเก่าที่เคยทำไว้จะมาสนอง ทำให้ถูกผู้ชายเบียดเบียน จะเป็นโทษแก่ผู้ชายมหาศาล เลยตัดให้ตายซะดีกว่าขึ้นไปต่อข้างบนแทน เพราะฉะนั้นแค่นันยังเป็นโทษ
    อย่าว่าแต่พระอรหันต์ แต่ใช้คำว่าแค่นั้นสำหรับพระอริยเจ้านี่ แค่นั้นของท่านประเมินไม่ได้ มหาศาลจนกะไม่ถูก อยู่จะเป็นโทษ แต่ว่าสำหรับโยมแล้วใช้กำลังใจเราไปกังวลอารมณ์พระอริยเจ้า บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว หาคนอยากอยู่ไม่มีซักคนหนึ่ีง ส่วนใหญ่แล้วพร้อมที่จะไปอยู่ตลอดเวลา เพราะเห็นว่าร่างกายนี้โลกของเรานี้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เหมือยังกับจมอยู่ในกองทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า บุคคลที่ตกลงไปในบ่อคูถ ก็คือหลุมส้วม มีใครอยากจะแช่อยู่ในนั้นบ้าง มีแต่จะเร่งตะเกียกตะกายหนีมันไปให้พ้น ๆ เสีย เพราะทนอยู่กับความโสโครกเช่นนั้นไม่ได้ กำลังใจพระอริยเจ้าท่านสะอาดมาก จนกรั่งเห็นความไ่ม่ดีของร่างกาย ของโลกนี้อย่างชัดเจน เห็นอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้นได้ ดังนั้นท่านจะเบื่อเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะไปเสียให้พ้นไปเดี๋ยวนี้ซะด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสตัดให้ถึงแก่ชีวิตลง นันถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปตามความต้องการของท่านเลย ท่านจะไม่มากลัวตายเหมือนกับพวกเรา
    ถาม : ขณะนี้ มีพระที่ฝึกถึงขั้นนี้มีบ้างมั้ยคะ ?
    ตอบ : มีจ้ะ เยอะด้วย เยอะกว่าที่โยมคิด แต่ว่าจำนวนมากส่วนใหญ่ ท่านจะเก็บองค์ท่านเงียบ ๆ อยู่ จนกว่าจะถึงวาระหรือว่าถึงเวลาที่งานจุดนั้น ท่านจำเป็นจะต้องทำ ท่านก็ทำ พอหมดจากงานท่านก็ไป
    ถาม : อยู่ทางภาคไหนมากที่สุดเจ้าคะ ?
    ตอบ : ทางภาคไหนมากที่สุด ปัจจุบันนี้จะอยู่างอีสานมาก
    ถาม : ทางใต้มีมั้ยคะ ?
    ตอบ : มีทุกที่ ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์อยู่ และคนตั้งใจปฏิบัติธรรมอยู่ ไม่ใช่แต่ประเทศเรา ต่างประเทศก็มี


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ท่านคะ แล้วทำไมพระพม่าต้องเขียนคิ้วล่ะคะ ?
    ตอบ : ปกติแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติให้ภิกษุต้องโกนคิ้ว ท่านบอกว่าปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ เท่านั้น แต่ว่าคราวนี้สมัยรัชกาลที่หนึ่งไทยกับพม่ายังมีศึกกันอยู่ รัชกาลที่หนึ่งทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ภิกษุไทยโกนคิ้วเสีย เพื่อให้เป็นจุดแตกต่างกัน ถ้าทางฝั่งพม่าเข้ามาเพื่อสืบข้อราชการ ปลอมเป็นภิกษุเข้ามา ก็จะได้แยกได้เป็นไทยหรือพม่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่มีการยกเลิกประกาศอันนี้ ภิกษุของไทยก็ยังคงโกนคิ้วมาถึงทุกวันนี้ แต่ขณะเดียวกันว่าของพม่าเขาไม่มีการดกนคิ้ว ก็เลยเป็นปกติอยู่ ที่อื่นก็ไม่ได้โกนนะจะมีเมืองไทยที่เดียวที่โกนคิ้ว
    ถาม : ..............มีแต่คนชั่วทั้งนั้นเลย ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ มีทั้งขโมยพระในวัด ตัด ฆ่าพระเพื่อจะชิง
    ตอบ : มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่าสมัยนี้การข่าวมันรวดเร็ว เราก็เลยได้รับมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีอยู่เหมือน ๆ เดิม ยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน
    ถาม : แล้วทำยังไงให้กรรมเห็นทันตาให้เร็วขึ้นกว่านี้หน่อยคือจับปั๊บ
    ตอบ : (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นคงต้องไปตั้งกติกาใหม่ล่ะจ้ะ เรื่องของกรรมเขามีปรากฏอยู่อย่างชัดเจนอยู่แล้ว คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ ทำกรรมที่ให้ผลทันตาในชาติปัจจุบันนี้ อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม เหล่านี้ให้ผลในชาติที่สองที่สาม อย่างเช่นว่า ตายไปแล้วค่อยตกนรกอย่างนี้เป็นต้น กรรมเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำในส่วนที่เป็นครุกรรม คือ กรรมอันหนัก แล้วให้ผลในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถเป็นไปได้อย่างที่โยมต้องการหรอกจ้ะ ไอ้ของเรามันจะกลายเป็นฟุ้งซ่านเดือดร้อนไปเองต่างหาก
    ถาม : ...............
    ตอบ : พระยาชมพูบดี ท่านเป็นกษัตริย์ที่มีอานุภาพมาก สามารถเหาะได้ มีพระขรรค์แก้ว มีธนูวิเศษ คราวนี้ท่านเองเหาะไปเที่ยว ไปเจอปราสาทพระเจ้าพิมพิสารเข้า พระเจ้าพิมพิสารปราสาทท่านสวยก็หมั่นไส้อยากจะให้พังซะ ใช้รองเท้าแก้วลองกระทืบดู ปกติแล้วอานุภาพเขาว่าเหยียบภูเขาจมดินได้ แต่กระทืบลงไป
    ปรากฏว่าพระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นพระโสดาบัน พุทธานุภาพคุ้ม แทนที่ปราสาทจะพัง กลายเป็นว่าไปเหยียบซะจนแทงทะลุรองเท้าแก้วเข้าไป แล้วโมโหก็เลยฟันด้วยพระขรรค์แล้วพระขรรค์ที่สามารถฟันตัดหินตัดภูเขาได้ก็บิ่นซะอีก ก็โกรธ กลับไปถึงที่อยู่ของตัว ก็ส่งอวิตาศรมาเพื่อจะทำร้าย ธนูอันนี้ถือเป็นอาวุธที่สามารถตั้งได้ว่าจะยิงไปเป้าหมายไหน พอยิงไปแล้วสั่งว่าให้ไปทำร้ายใคร ก็ไปเฉพาะคนนั้น พระเจ้าพิมพิสารพอได้ยินเสียงธนูมา บอกว่าจะทำร้ายเฉพาะท่าน ท่านก็หนีเข้าไปในเชตวน พอธนูตามไปพระพุทธเจ้าใช้วาโยกสิณหอบคืนไป แล้วเห็นว่าพระยาชมพูบดีมีวิสัยที่จะได้เป็นพระอริยเจ้า เลยให้พระโมคคัลลาน์จัดการ
    พระโมคคัลลาน์ก็จัดแจงแปลงพระเชตวันกลายเป็นปราสาทราชวังของพระเจ้าจักรพรรดิไปเลย แล้วส่งเณรไปเป็นทูต เณรก็แปลงตัวแบบลักษณะพระเจ้าจักรพรรดิไป พระยาชมพูบดีมาเห็นว่าแค่ทูตยังขนาดนี้ เลยยอมตามมา ตามมาถึงเจอคนเฝ้าประตูก็ดีกว่า พ่อค้าแม่ขายอะไรก็ดูสวยกว่าตัวเองไปหมด ทำไมจะไม่ใช่ ไม่สวยกว่า เพราะส่วนใหญ่ภิกษุ ภิกษุณีอรหันต์ทั้งนั้น ท่านปลอมตัวมา จนเข้าไปถึงพระบรมมหาราชวัง ซึ่งจริง ๆ ก็คือพระเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าท่านทรงเครื่องจักรพรรดิเต็มอัตรารออยู่ พระยาชมพูบดีไม่สามารถที่จะต่อต้านอานุภาพได้ ก็ยอมฟังธรรม เลยเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้
    พระพุทธเจ้าปางที่โปรดพระยาชมพูบดีนั้นจะทรงเครื่องพระจักรพรรดิ ถ้าจะดูตัวอย่างจริง ๆ ให้ดูที่วัดพระแก้ว วัดพระแก้วจะมีองค์ใหญ่ยืนทรงเครื่องอยู่สององค์ คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สององค์นั้นจะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เขาเีรียกปางปราบพระยาชมพูบดี ทรงเครื่องสวยมากแล้ลักษณะของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานก็จะเป็นพระพุทธเจ้าทรงเครื่องที่หลวงพ่อท่านใช้ว่า พระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพก็คือลักษณะทรงเครื่องแบบพระแก้วมรกต
    ถาม : ท่านเคยไปมั้ยคะ บ้านคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ ?
    ตอบ : ของคุณหญิงสุรีย์พันธุ์จริง ๆ สมัยหลังไม่ได้ไปล่ะจ้ะ เพราะว่าสมัยแรก ๆ ที่หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายนั่น อาตมาจริง ๆ ตั้งใจจะบวชสายหลวงปู่มั่นซะด้วยซ้ำ แต่เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่าจับพลัดจับพลูท่าไหน พอสิ้นหลวงปู่ฝั้นก็มาอยู่ที่หลวงพ่อแทน เพราะว่ารู้ัจักปฏิบัติตามหลวงพ่อตั้งปี ๒๕๑๘ พอปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นท่านก็สิ้น เหมือยังกับท่านส่งต่อให้ ใ้ห้รู้จักล่วงหน้าปีกว่าเกือบสองปี
    ก่อนหน้านั้นเกาะอยู่กับหลวงปู่ฝั้นเพราะว่าที่เกาะอยู่กับท่าน ไปสะกิดคำพูดของท่านง่าย แล้วฟังเข้าใจง่าย ปกติแล้วสมัยนั้นรุ่น ๆ คงซักขนาดนี้แหละ ไปโน่นไปนี่เจอหลวงปู่หลวงพ่อก็แบมือขอของดีหน่อยครับ องค์โ้น้นก็ให้องค์นี้ก็ให้ ไปหลวงปู่ฝั้นนี่ซิ บอกดีนอกเอาไปทำไม เดี๋ยวมันก็หาย ทำไมไม่หาดีในไว้ล่ะ พอได้ยินก็สะดุดหู ก็กราบเรียนถามท่านว่า ดีในเป็นยังไงครับ ท่านบอกว่าพุทโธไง คำเดียวคุ้มได้สามโลกเลย ท่านสอนให้ภาวนา
    ถาม : ............ช่วงสงกรานต์ หลวงปู่ หลวงพ่อสายหลวงปู่..........วัดบ้าน.......ท่านเอาพระธาตุมาให้ชมเข้าคิวกัน แล้วเอาเลนส์แว่นขยายส่องให้เห็นแสงรัศมีออกมาสวยมาก
    ตอบ : คุณหญิงท่านคล้าย ๆ กับว่า ต้องใช้คำว่าอะไร เกิดมาเพื่ออย่างนี้โดยเฉพาะ มีโอกาสได้อุปัฏฐากหลวงปู่หลวงพ่อ ซึ่งเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอดเลย โดยเฉพาะหลวงปู่หลุยส์ หลวงปู่ชอบ สององค์นี้จะสงเคราะห์ท่านประจำ ๆ แล้วสายหลวงปู่มั่นก็ไปกันมาก
    ถาม : ท่านเคยไปที่ภูทอก ของอาจารย์จวนมั้ยคะ ?
    ตอบ : จ้ะ อาจารย์จวน ท่านก็มรณภาพเร็วไปหน่อย คราวนี้ว่าระหว่างที่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านอยู่อย่างนั้น พรหมเทวดาท่านก็สงเคราะห์กันมาก เวลาทำกรรมฐานสวดมนต์ไหว้พระ บางทีพระธาตุก็เสด็จมาเองเฉย ๆ มากันเยอะต่อเยอะ
    เรื่องพระธาตุเสด็จนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่าท่านมาได้ไปได้ ประสบการณ์ของอาตมาเองที่เจอมาอย่างชนิดที่เรียกว่าต่อหน้าต่อตา ลืมตาเห็น ๆ ก็มี บางทีหล่นลงบนพื้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นขัดมันหล่นป๊อกหายปุ๊บเลย ไม่สามารถที่จะตามหาได้ว่าอยู่ที่ไหน
    ถาม : ก็ตอนที่น้าสาวไปไหว้เกศาของหลวงวพ่อ ก้มลงไปกราบกำลังนึกถึงเลย ขอให้หลวงพ่อนี่เสด็จมา พระธาตุนี่คะขาว ๆ ที่พื้นพรมแดงหล่นมาเลยค่ะ แต่แม่เอาไปไม่ได้นะคะ แต่น้าสาวที่ไปน่ะจะได้ หนูดีใจใหญ่ค่ะ เก็บไปบ้าน
    ตอบ : แล้วแต่ล่ะจ้ะ อันนั้นเป็นบุญเฉพาะของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล ของหลวงพ่อมีเรื่องหนึ่งที่อัศจรรย์ที่สุดในสายตาของอาตมา ชานหมากของท่านเป็นพระธาตุ อาตมาเคยเห็นเกศาพระเป็นพระธาตุหลายองค์โดยเฉพาะหลวงปู่มหาอำพัน ที่อาตมาจะทำบุญร้อยปีถวายท่่านนี่ เกศาของท่านนี่โกน ๆ แล้วลูกศิษย์เอาใส่กล่องพลาสติกไว้จะเป็นกล่องพลาสติกใหญ่ ๆ ประมาณแค่นี้
    คราวนี้วันนั้นอาตมาถวายการรับใช้ท่านเสร็จก็กราบเรียนหลวงปู่ขอบูชาหน่อย ท่านก็บอกว่าไปดูเอาซิ พอยกกล่องขึ้นมานี่งงเลย เพราะว่าดูจากด้านใต้กล่องนี่เป็นไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ นี่เต็มไปหมด ก็เลยกราบอย่างงามวางไว้ที่เดิม ไม่กล้าหยิบกลัวว่าบุญเราไม่ถึงจะรักษาไม่อยู่ พอตอนที่ท่านมรณภาพไม่ทราบว่าใครยกไปทั้งกล่อง แล้วของหลวงพ่อก็เกศาเป็นพระธาตุ อีกหลายองค์ก็เป็นให้เห็น ๆ อยู่ แต่ว่าเรามาสังเกตว่า การที่อัฏฐิเป็นพระธาตุหรือว่าเกศาเป็นพระธาตุ นั่นเป็นเนื่องด้วยร่างกายนะ
    แต่ว่าชานหมากเป็นพระธาตุนี่ ไม่ได้เนื่องด้วยร่างกายเลยใช่มั้ย ? เป็นสิ่งที่เราเอามาเคี้ยวมากินนั่นสำหรับเป็นคนทั่ว ๆ ไป แต่ท่านคายออกมาแล้วเป็นพระธาตุ ตอนครั้งแรกที่ได้เห็นกับตา ถึงได้เชื่อว่าใช่แน่นอน เพราะว่ากำลังเปลี่ยนสภาพอยู่ ส่วนที่เริ่มเป็นพระธาตุก็จะเป็นแก้วสีแดงใส ๆ ส่วนที่เป็นหมากก็ยังทึบอยู่ ส่วนที่เป็นพลูครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นสีเขียว ๆ ของพลูอยู่เห็นชัด ๆ เลยว่า เปลี่ยนจากชานหมากที่เป็นปกติแน่นอน ถึงได้เชื่อว่าที่แท้จริงแล้ว ถ้าหากว่าพระท่านจะสงเคราะห์อย่างหลวงปู่ หลวงพ่อที่ท่านต้องการให้เป็นไป มันจะเป็นไปตามที่ต้องการเอง แล้วเห็นว่าสิ่งที่ไกลตัวขนาดนี้ยังเป็นพระธาตุได้ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นไม่ยากแล้วจ้ะ
    บางทีสำหรับเด็ก ๆ บางคนหลวงพ่อท่านใช้กระดาษทิชชุเสร็จแล้วก็โยนให้ เด็กเขาก็ฉลาดหยิบขึ้นมาดูก็เป็นพระธาตุอยู่ ก็ใช้ๆ อยู่เห็น ๆ นี่ พอโยนให้ก็เป็นพระธาตุ หมากที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านเหลือปลายอยู่หน่อยหนึ่ง เหลือหางหมากพอ ท่านฉันเสร็จก็โยนให้ก็กลายเป็นพระธาตุ
    แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งพอชานหมากเป็นพระธาตุแล้วคนที่อยากได้แล้วไม่ได้ ท่านไปที่จันทบุรี บ้านคุณเวสา รัชชานนท์ ไปตำหมาก ท่านบอกว่าอยู่ ๆ พระท่านให้สั่งทำ ตำหมากเสร็จก็ปั้นเป็นองค์เล็ก ๆ มอบให้ท่านบอกว่าบูชาให้ดี ใครที่ได้ไปบูชา ต่อไปจะเป็นแก้ว คำว่าเป็นแก้วของหลวงพ่อก็คือกลายเป็นพระธาตุ สมัยโบราณคำว่าแก้วก็หมายถึงว่าดีที่สุด คราวนี้อะไรก็ตามที่เปลี่ยนสภาพไปในสายตาของเราอาจเป็นหิน จะเป็นเหมือนโลหะ เหมือนเงิน เหมือนทอง เหมือนทองแดง อะไรเหล่านี้เป็นต้น ภาษาโบราณเขาเรียกว่าแก้วทั้งนั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ตอนหลังช่วงสงกรานต์ ที่บ้านคุณหญิงท่านนิมนต์พระสายหลวงปู่มั่น ใส่บาตรน่ะค่ะ แล้วหลวงปู่สอ ที่สร้างพระนาคปรกที่ไปไว้ตามทิศของประเทศไทย
    ตอบ : ก็สายนั้น คือสายหลวงปู่มั่น ยังเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติอยู่ ที่ใดก็ตามที่มีผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง สถานที่นั้นจะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า จะต้องมีไปเรื่อย เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้มาติดประกาศว่าฉันเป็นแล้วจ้า ก็อยู่ที่ว่าเราจะต้องดูการปฏิบัติของท่านไปเรื่อย ๆ
    ถาม : ในช่วงปีนี้นะคะ เป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องพบกับเคราะห์กรรมของประทศอะไรมั้ยคะ ? เพราะรู้สึกว่า
    ตอบ : ก็วาระที่หนักมันผ่านมาแล้วจ้ะ
    ถาม : ผ่านแล้วเหรอคะ ?
    ตอบ : ผ่านมาแล้ว จะเริ่มดีขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ว่าปีหน้าจุดสะดุดใหญ่ยังมีเยอะ ปีหน้าของหนักมันจะมาจากภายนอกระวัง ๆ แถว ๆ ตะวันออกกลางไว้ กลัวเหลือเกินว่ามันจะเอาซะปีนี้ซะด้วยซ้ำไป แต่ตามเกณฑ์มันปีหน้า คือถ้าเขาตีกันเองก็ไม่มีปัญหา ประเทศต่อประเทศ แต่ถ้าเริ่มมีประเทศไหนเข้าข้างอีกประเทศหนึ่งล่ะก็ระวังให้ดี มันจะเริ่มขยายใหญ่แล้ว
    ถาม : จะเกิดเป็นสงครามโลกมั้ยคะ ?
    ตอบ : มันคงยังไม่ถึงสงครามโลกหรอก แต่ว่าผลกระทบมันจะกว้างมาก เพราะระยะนี้การข่าวอะไรทุกอย่างมันรวดเร็ว กลายเป็นว่าประเทศกลายเป็นบ้านเดียวกัน เพราะฉะนั้นเกณฑ์ปีหน้ายังเป็นเกณฑ์อันตรายอยู่
    ถาม : เป็นยังไงบ้างคะ ?
    ตอบ : ถ้าประเทศอาหรับรุมตีอิสราเอลเมื่อไหร่ มีอะไรที่เป็นปัจจัยต้องใช้ก็ต้องเก็บ ๆ ไว้บ้างล่ะจ้ะ มันก็มีพวกอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย อะไรพวกนั้นแหละ เพราะของพวกนี้จะกลายเป็นของแพง มันก็คงจะไม่ได้แพงอย่างเดียวหรอก ไอ้บ้านเรานี่มันแพง มันฉวยโอกาสแพงหมดนั่นแหละ
    ถาม : แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงยุคที่คนดีเกิดขึ้นเยอะล่ะคะ ?
    ตอบ : ตอนนี้มีเยอะอยู่แล้วจ้ะ เพียงแต่ว่าคนดนดีไม่ได้มีอำนาจในการปกครองมาก ยุคของคุณทักษิณนั่นน่ะ ถืือว่าเป็นยุคที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง จากส่วนที่มันจะเป็นรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่ ในเมื่อเป็นรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่ ความวุ่นวายมันจะเยอะหน่อย แล้วหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นว่าประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบฝ่ายปกครองมากขึ้น คนก็จะไม่กล้าที่จะทำความเลว ถึงทำก็ไม่อาจหลบรอด
    ถาม : แล้วคุณทักษณิณ มีสิทธ์จะโดนมั้ยคะ ? (เรื่องคดีซุกหุ้น)
    ตอบ : ไอ้ตัวนี้ไม่ต้องไปข้องใจ ไม่ต้องไปสงสัยเลยจ้้ะ ถึงเขาตัดสินว่าท่านผิด หลุดออกไป ท่านก็ยังบัญชาการอยู่ข้างหลัง ถ้าใช้คำว่าครบเทอมมั้ย ? ครบแหง ๆ เลย (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วถ้าหมดจากคุณทักษิณนี่ คนที่จะขึ้นมาแทนนี่จะดีกว่ามั้ยคะ ?
    ตอบ : มันจะอยู่ในลักษณะที่ว่า พอคนที่โดนตรวจสอบ โดนพักการทำงานไป มันก็จะหลุดออกไปเรื่อย ๆ คนที่มีความดีอยู่ก็จะกล้าปรากฏตัวมากขึ้น ๆ นั่นแหละ หลังจากนั้นก็จะเจริญมากน่ะจ้ะ พอเริ่มขึ้นรัชกาลที่สิบ ต่อไปเรารายได้อยู่ตัว
    แต่ว่าช่วงนี้การวางรากฐานของรัชกาลที่เก้าที่ยาวนานมาถึงขนาดนี้ ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาของประชาชนเริ่มีขึ้นแล้วพอกฎหมายใหม่ที่ออกมาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การปกครองอะไรที่สามารถตรวจสอบ สามารถคานอำนาจ ถ่วงดุลกันได้ อะไรกันได้ ความดีก็จะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าหากว่าโยมยังหายใจอยู่ ก็คงได้พบรัชกาลที่ีสิบ (หัวเราะ)
    ถาม : หญิงมั้ยคะ ?
    ตอบ : นี่กำลังลุ้นอยู่ว่าขอให้รัชกาลที่เก้าของเราอยู่ให้ครบสักเจ็ดสิบรอบเถิด สิบสองเจ็ดแปดสิบสี่ ไม่เอามากกว่านี้แล้ว ขอแค่แปดสิบสามพอ เพราะตามที่ทราบมาว่า ถ้าท่านอยู่ถึงแปดสิบสาม คนดีจะมีอำนาจขึ้นมามากกว่าจะเป็นฝ่ายปกครองบ้านเมืองมากกว่า ในเมื่อมันเกินหกสิบเปอร์เซนต์ขึ้นไป คราวนี้อะไรมันก็จะง่ายแล้ว
    ถาม : ตอนนั้นที่ไปทำบุญที่จังหวัดเลยนะคะ มีเจ้าอาวาสที่วัดไปที่เมืองจีน แล้วก็บอกใ้ห้คนไทยทุกคน คือทางเมืองจีนเขาจะเรียกว่า ตั๊กม้อ ให้ทุกคนนี่ร่วมภาวนาให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพระเบื้องบนเนี่ยเขาจะเอาท่านไปแล้ว
    ในปีนั้น เห็นมีการบวชชีพราหมณ์มากที่สุด ในวันเกิดในหลวง ก็มีการบวชพระบวชอะไรนี่เยอะมาก แล้วก็สมเด็จพระสังฆราชให้วัดทุกวัดถวายพระพรกับในหลวง แล้วเขาบอกว่าคนเบื้องบนก็ว้าวุ่นใจเหมือนกัน เพราะของเรานี่เยอะ แล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร วิธีที่ดีที่สุด คืออย่าไปมุ่งว่า รัชกาลที่สิบจะเป็นใคร ขอทำยังไงให้รัชกาลนี่อยู่ให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนานมาที่สุด
    ตอบ : ตรงจุดนี่แหละที่คิดเหมือนกัน อาตมาเองก็มานั่งคิดว่า ปีนี้พระองค์ท่านมีพระชนมายุได้เจ็ดสิบสี่พรรษาแล้วเจ็บสิบสี่พรรษา ถ้าหากว่านับแปดสิบสามพรรษาก็อีกเก้าปีเท่านั้น แต่เราใช้คำว่าเก้าปีเท่านั้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเรามานึกถึงว่าเป็นญาติเป็นโยมของเราใช่มั้ย เจ็บสิบสี่นี่ระัดับคุณปู่คุณตาแล้วนะ แล้วสุขภาพไม่ได้แข็งแรงเลย อีกเก้าปีนี่ต้องลุ้นวันต่อวันแล้วนะ ไม่ใช่ประเภทเดือนต่อเดือนหรือว่าปีต่อปี
    เพราะฉะนั้นเก้าปีนี่ถือว่าเป็นช่วงอันตรายมากจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ อยู่ที่ว่าเราที่เป็นต้องใช้คำว่าพสกนิกร ลักษณะเหมือนกับเป็นลูก ถ้าหากว่าลูก ๆ ทำความดีให้มากเข้าไว้ พ่อก็จะมีกำลังใจที่จะอยู่ แต่ถ้าหากว่าลูก ๆ ไม่ทำความดี มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านอาจไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างถวายกุศล วันก่อนออกมามีพระราชดำรัส เกี่ยวกับพวกทูตานุทูตไงล่ะ ที่ว่าให้ทั้งหมดให้รู้จักพอน่ะ ในหลวงเทศน์เก่งกว่าพระอีก (หัวเราะ)
    ถาม : ที่ท่านถามหลวงพ่อ หลวงพ่อฤาษีลิงดำนี่คะ ในหลวงรัชกาลที่เก้าน่ะค่ะ เวลาที่ท่านถามข้อธรรม หลวงพ่อบอกว่าท่านเก่งจริง ๆ มันต้องคิดให้ลึกให้ซึ้ง มันมีรายละเอียดอะไรมากเลยรัชกาลที่เก้านี่ เวลาทุก ๆ เช้าท่านจะสะพายกระเป๋า เทปธรรมะท่านจะอยู่ตลอดเลย ท่านจะเกินกรรมฐานตลอดเลย ท่านเก่งมาก
    ตอบ : หลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง แล้วมีคำสอนไว้ ในหลวงท่านจะบันทึกไว้ตลอดจะฟังตลอด แล้วที่สังเกตได้ชัด ๆ เลย </B>วัดไหนก็ตามที่มีแต่ชื่อเสียง แต่ว่าความดีแท้จริงไม่มี ในหลวงไม่เสด็จให้สังเกตไว้แค่นี้พอ</B>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : นี่ก็จะทำบุญตามวัดที่ในหลวงไป แต่ถ้าในหลวงไม่ไปวัดไหนนี่ก็ไม่ไปวัดนั้นเหมือนกัน
    ตอบ : (หัวเราะ) ดีเหมือนกัน ใช้ในหลวงเป็นเข็มทิศ คือของพระองค์ท่านได้ทิพจักขุญาณ ตั้งแต่เจ็ดพรรษาตอนนั้นพระชนมายุได้เจ็ดพรรษา
    ถาม : คิดว่าในหลวงท่านก็บรรลุเหมือนกันน่ะคะ ?
    ตอบ : ก็ อันนี้บอกได้ยากนะจ้ะ ไอ้เรื่องของเกณฑ์มรรคเกณฑ์ผล หรือว่าการปฏิบัติอะไร จริง ๆ แล้ว เป็นหน้าที่ ที่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะพยากรณ์ คราวนี้ว่าหลวงพ่อท่านรับทราบมา แล้วท่านบอกก็ถึงได้กล้าพูดอันจุดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังมาโดยตรงจะไม่พูดต่อ เพราะถือว่าผิดมารยาท รู้ก็พูดไม่ได้ ไม่รู้พูดไปยิ่งผิดใหญ่
    ถาม : ตัวยารักษามะเร็งที่เขาลงหนังสือพิมพ์นี่จริงหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไปทดสอบดูซิ แทนที่จะไปถามเขา มาถามพระ ถามเจ้าของยาเขาตรง ๆ ซิ ไอ้อะไร ไอ้วี ๑ ใ่ช่มั้ย ?
    ถาม : เห็นมันเป็นสูตรยาแผนโบราณ
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ ไอ้เรื่องโรคทั้งหลายเหล่านี้ บางทีโบราณมันอาจะไม่มีก็ได้ แต่อย่างมะเร็งนี่มีอยู่แล้ว โบราณเขามียารักษาอยู่ แต่่ว่าไอ้โรคเอดส์นี่มันไม่น่าจะมีสมัยก่อน ถ้าไม่มี มันก็ยังคงไม่มีสูตรยา
    ถาม : ....................
    ตอบ : อันนี้ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของเรา ถ้าท่านมาลักษณะพระพุทธชินราช ก็แสดงว่างานมันจะลำบากแล้วตัวอาตมาเอง สัญลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ สมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาในลักษณะพระวรกายผิวดำ ก็งานลำบาก เลือดตากระเด็นนั่นแหละ แต่สำเร็จ แต่ถ้ามาแบบสีทองทุกอย่างสะดวก มันจะเป็นสัญลักษณ์เฉพาะ ที่ของหลวงพ่อก็ถ้าหากว่าเห็นสีแดงก็จะป่วย ยิ่งแดงมากก็จะป่วยหนัก เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่ท่านสงเคราะห์ให้ ถ้าเราไปบอกคนอื่นว่าเราเห็นพระพุทธชินราชแล้วงานหนัก งานยุ่ง คนอื่นเขาเห็นเขาอาจรวย คนละอย่างกัน
    ถาม : มีประสบการณ์อยู่ว่าเวลานอน พอเคลิ้มแล้ว เห็นแสงสว่างทุกทิศเจิดจ้า...(ฟังไม่ชัด)........
    ตอบ : ก็อาจเป็นไปได้ เรื่องของพระท่านจะแสดงให้นี่ ยังไงก็แสดงได้อยู่แล้ว พุทธานุภาพไม่จำกัดอยู่แล้ว
    ถาม : ของผมจำไม่ได้เลย ท่านก็เทศน์ไปเรื่อย พอผมตื่นมาปุ๊บ
    ตอบ : ให้ตั้งสตินะ ตอนที่ฟังเรายังรู้ตัวอยู่ ให้ตั้งสติตั้งใจจำ พอตื่นมาปุ๊บรีบโน๊ตเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะหายหมด หลวงพ่อท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้เสมอ ถ้าทิ้งให้ผ่านระยะแป๊บเดียวเท่านั้นเองจะลืม
    ถาม : กระดาษกับปากกาก้มี แต่ชะล่าใจ
    ตอบ : ไอ้ชะล่าใจน่ะ อาตมาโดนมาแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาทวนเลย จำอะไรได้ตรงไหนก็รีบโน๊ตไว้เลย แล้วถึงเวลามาค่อย ๆ ไล่แล้วจะคิดออก แต่ถ้าถึงเวลาไม่มีอะไรที่เป็นเค้าเลา ๆ ให้เราหน่อยนี่ มันหายหมดเลย
    ถาม : มัวแต่นอนทบทวนไป ทบทวนมา หายไปเลย
    ตอบ : ทิ้งระยะเวลาหน่อยเดียวไปเลย อันนี้เจอมาด้วยตนเอง ไอ้เราก็ว่าหลวงพ่อสั่งงานแค่สามข้อเรื่องเล็ก สามสิบข้อยังจำได้ใช่มั้ย ปรากฏว่าพอสว่างเท่านันแหละ หายเงียบไปเลย เหลืออยู่ข้อเดียว อีกสองข้อแคะยังไงก็แคะไม่ขึ้น หายไปเหมือนยังกับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
    ถาม : ข้อที่ทำวัตรเช้า
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : อย่างการฝึกมโน ..........(ไม่ชัด).........เหมือนการสร้างมโนภาพ
    ตอบ : สร้างมโนมันยาก มันได้แต่ภาพ ไอ้สีกลิ่นรส มันไม่มี มันไม่สะใจ
    ถาม : ผมเคยได้ยินว่า วัดแถวจังหวัดกาญจน์นะครับ ให้พิจารณาอสุภะให้สมไปเลยครับ แบบการแต่งตัว.............
    ตอบ : ที่สำนักของ เกาะมหามงคลก็มี คือเขาบริจาคศพมาใส่โลงแก้ว ถึงเวลาก็ไปยืนดูกัน ของเราเองถ้ามันหาศพคนไม่ได้ หมู หมา กา ไก่ มันตาย ก็ลักษณะ้เดียวกันแหละ ถ้าเป็นวิฉิททกะอสุภ มันขาดเป็นท่อน ถ้าเป็นโลหิตตะกะอสุภ เลือดไหลโทรมเลย เป็นปุฬุุวกะอสุภะ มีแต่ซากหนอนเต็มไปหมดอย่างนี้ เป็นวินีละกะอสุภ ก็ขึ้นเขียวปี๋เลย
    ถาม : เลือกกองใด กองหนึ่งก่อนใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ลักษณะว่าศพมันเป็นแบบไหน ก็คือกองนั้นน่ะ เราเลือกไม่ได้นี่ เจอศพแบบไหนก็พิจารณาแบบนั้นไป แต่ว่าสมัยนี้มันมีโครงกระดูกขายก็เล่นอัฏฐิกะอสุภไป แตว่าโครงกระดูกมันไม่ค่อยขายกัน ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ โอกาสครอบครองมันน้อย
    ถาม : นักศึกษาก็มีโอกาสได้ปลงอสุภะได้มากที่สุด
    ตอบ : พวกนั้นมันตายด้านกันหมด อยู่ซะจนชิน ถ้าหากว่าไม่มีปัญญาพิจารณามันก็จะตายด้าน ถ้ามีปัญญาพิจารณามันจะตายด้านลักษณะปล่อยวาง แต่ไอ้นั่นมันตายด้านเพราะชาชิน
    ถาม : ต้องไปทำงานร่วมกตัญญู
    ตอบ : คือจริง ๆ แล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นโอกาสมันมีเยอะ เพียงแต่ว่าของท่านเอง กำลังใจมันคิดทางด้านนี้หรือเปล่า ลองดูก็ได้ ร่วมกตัญญูก็ได้ โอกาสเจอเยอะ แน่นอนเลยวัน ๆ หนึ่ง ต้องได้เจอซักศพสองศพ
    ถาม : แล้วที่ว่า คำภาวนาที่ อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง เพื่อ.........
    ตอบ : ตอนช่วงนั้นน่ะ เราใช้คำภาวนาพร้อมกับจำภาพ ต้องใช้คำว่า จำภาพ พอภาพมันทรงตัว แล้วคราวนี้ใช้คำภาวนาติดต่อกันไปเลย ปกติแล้วพอภาพติดตา คำภาวนาทรงตัวของเขาถือว่าสิ้นสุดแค่นั้น แล้วเกี่ยวกับอสุภกรรมฐาน แต่หลวงพ่อเราสอนให้ใช้วิปัสสนาญาณต่อไปเลย อย่างเช่น อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง อย่างที่ว่านั้นใช่มั้ย ? สภาพของกระดูกมันเป็นอย่างไร สภาพที่แท้จริงของมัน จริง ๆ แล้วมันมีเลือด มีเนื้อ มีอะไรอยู่ กระดูกเป็นเพียงโครงหนึ่งเท่านั้น
    พอถึงเวลา ถ้าหากว่ามันยังใหม่ ยังสดอยู่ มันก็สกปรกไม่เห็นมีใครอยากได้ ตัวของคนอื่นก็เ็ป็นอย่างนี้ จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนหรือสัตว์ ก็เหมือนกัน พิจารณาต่อไป เรื่อยจนใจมันยอมรับเพราะสภาพจริง ๆ แล้วตัวเรามันไม่ใช่ของเรา
    ถาม : อย่างสมมุติว่าตัวอากาสนานัญจายตนะ ต้องใช้อารมณ์พิจารณาเข้าช่วยหรือเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ใช่แต่ตัวอากาสานัญจายตนะ ทั้งสี่ของอรูปฌานนั่นเกือบจะเป็นอารมณ์พิจารณาทั้งหมด คล้าย ๆ วิปัสสนาฌานเลย เพียงแต่เขาเริ่มต้นด้วยฌานสี่ตั้งรูปขึ้นมาก่อน เสร็จแล้วทิ้งรูป แล้วพิจารณาไปตามที่ตนเองต้องการว่าจะใช้ข้อไหน
    ถ้าเป็นอากิญจัญญายตนะนี่ มันวิปัสสนาญาณดี ๆ นี่เอง ต่อท้ายนิดเดียวก็ไปนิพพานได้ อากิญจัญญายตนะนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์ วัตถุธาตุ บ้านเรือน โรงอะไรในที่สุดก็เสื่อมสลาย ตายพังหมด ไม่มีอะไรเหลือสภาพจิตเดียวเท่านั้นเอง พอมันทรงอุเบกขาก็คือเต็มอารมณ์ของมัน พอเต็มอารมณ์ของมัน ตอนนั้นความรู้สึกของมัน มันเหลือแต่จิตดวงเดียว ตอนนั้นแม้แต่อะไรต่อมิอะไรก็ไม่เหลือ มันก็เป็นการพิจารณานั่นแหละ แต่เราใช้ฌานสี่เริ่มต้น
    ถาม : แล้วเวลาเราเ้ข้า เราเข้าไปทีละอย่างใช่มั้ย ?
    ตอบ : ทีละอย่าง
    ถาม : แล้วก็มาอากิญ ฯ
    ตอบ : แล้วแต่ พอคล่องแล้วก็สลับได้ แต่ถ้าหากว่าไม่คล่อง ว่าไปตามขั้นมันก่อน ตอนที่เล่นอยู่ก็แปลก ๆ ว่ามันเป็นตัววิปัสสนาญาณชัด ๆ เลย แต่เพียงแต่ว่าวิปัสสนาญาณส่วนใหญ่ของเรา นิยมตรงว่าถอยมาตรงอุปจารสมาธิ แล้วพิจารณาใ่ช่มั้ย ไอ้โน่นมันฟาดด้วยฌานสี่
    ถาม : แล้วการเข้าฌานสลับฌานมันทำได้เหรอครับ ?
    ตอบ : สลับได้ พอคล่องตัวแล้ว เราจะลดอารมณ์ของเราหรือเพิ่มอารมณ์ของเรา ให้ไปอยู่ตรงจุดไหน มันทำได้เดี๋ยวนั้นเลย
    ถาม : คือจากสี่ไปสอง สองไปสาม ไปได้ ?
    ตอบ : ได้สมัยที่ฝึกอยู่นี่ นั่ง ๆ นอน ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว ถ้าลงก็ปึ๊บเต็มที่ พอขึ้นก็ปึ๊บ ๆ ทีละขั้นตรงนั้น สนุกอยู่คนเดียวแหละ ไม่อย่างนั้นแล้ว มันบังคับร่างกายไม่ได้นี่ ถ้าหากว่าปล่อยเต็มที่เลย ตัวมันเหมือนยังกับท่อนไม้ท่านหนึ่งน่ะ ต้องหัดให้คล่องไว้ ถ้าไม่หัดให้คล่องนี่สู้กิเลสยาก พอกระทบปุ๊บนี่ต้องเกาะไว้ก่อนเลย บางคนเขาบอกว่าเป็นการติดฌาน ติดในอรูปฌาน ยังไม่ต้องไปฟัง ติดไว้ก่อน เกาะไว้ก่อนถ้าเราไม่เกาะนี่ มันปล่อยไม่ได้ พอเกาะเต็มที่แล้ว มันปล่อยของมันเอง
    ถาม : แล้วเราต้องตั้งต้นด้วยกสิณก่อนมั้ย ?
    ตอบ : เรื่องของรูปฌาน ไม่จำเป็นต้องเป็นกสิณ ใช้อานาปานุสสติก็ได้ แต่ว่าอรูปฌานนี่จำเป็นจะต้องใช้ภาพกสิณเข้ามาเป็นเครื่องช่วยเมื่อตั้งภาพขึ้นมาก็ลืมซะ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาไป
    ถาม : จะปรึกษาเรื่องแต่งงาน ฤกษ์ไหนดี ?
    ตอบ : ไปดูฤกษ์ในโน้น (ฤกษ์ที่หาไว้ให้แล้ว) หาวันดี ๆ ที่ไม่ตรงกับวันพฤหัส กับ เสาร์ มันจะมีฤกษ์อยู่ แปะอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เป็นฤกษ์ที่เหมาะกับทำการมงคลต่าง ๆ แต่ว่าเรื่องแต่งงานนี่หลวงพ่อบอกว่าให้เว้น พฤหัส กับ เสาร์วันพฤหัสแต่งงานกันก็ไม่น่าจะเกินสามปี แต่ถ้าวันเสาร์แต่งงานกันนี่ ชีวิตจะมันมาก ทะเลาะกันประจำ ถ้าอยากได้คนใหม่เร็ว ๆ ก็แต่งวันพฤหัส ไปลอก ๆ เอาว่ามีวันไหนบ้าง
    ถาม : ...........ทุกข์ สมุทัย ให้พิจารณายังไง ?
    ตอบ : มันแล้วแต่ว่าเราจะถนัดตรงจุดไหน อย่างเช่น เรามองไปก็จะเห็นว่าทุกคนน่ะ เป็นทุกข์ ไอ้ตัวเล็กมันอยากจะเดิน มันอยากจะวิ่ง อยากจะพูด มันยังพูดไม่ได้อย่างใจ มันก็ทุกข์ ผู้ใหญ่นั่งอยู่ทุกข์ เพราะว่าเมื่อย อาตมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ทุกข์ ตั้งแต่เช้ามาจนป่านนี้ กว่าจะได้ลุกไปห้องน้ำแต่ละที มันแสนยาก ให้เห็นว่าทุกคนมีแต่ทุกข์ เราเองก็ทุกข์อยู่เช่นเดียวกับเขา
    ถาม : หลังจากนั้นก็ทรงอารมณ์ ?
    ตอบ : จ้า รักษาอารมณ์อานาปาฯ ประคับประคองเอาไว้ ให้ความรู้สึกของเรา ขึ้นชื่อว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีสำหรับเราอีกเราขอเกิดชาตินี้ชาติเดียวแล้วรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วถ้าทรงพรหมวิหารสี่ ก็คือพิจารณา ?
    ตอบ : จ้ะ ก็คือพิจารณาตั้งใจแผ่เมตตาให้ใจทรงตัวแล้วก็จับอานาปาฯ ต่อ
    ถาม : ..................
    ตอบ : การปฎิบัติถ้าจะมุ่งพระนิพพานจริง ๆ มันเหมือนกับล่าช้าง งานใหญ่มโหฬาร ช้างมันมีสี่ขา เหมือนกับ รัก โลภ โกรธ หลงเราต้องพยายามตัดขามันให้ได้ เพราะช้างมันแข็งแรง ถ้าไม่สามารถตัดกำลังมันโดยการตัดขามันได้ โอากาสที่เราจะเอาชนะหรือล่าสำเร็จนั้นหาได้ยาก
    เพราะฉะนั้นต้องหาทางตัดขามันให้ได้ ขาใด ขาหนึ่งเสียก่อน คือ ในตัว รัก โลภ โกรธ หลง ตัวรัก หรือราคะ ตัดมันได้ด้วยกายคตานุสติ หรือ อสุภกรรมฐาน ใช่มั้ย ? ตัวโลภ อยากได้ ใคร่ดีตัดมันได้ด้วยจาคานุสสติ กับทานบารมี ตัวโกรธ โทสะ ตัดมันด้วยพรหมวิหารสี่ หรือกสิณสี่ กสิณสีสี่อย่าง ก็คือ เขียว ขาว แดง เหลือง ตัวโมหะ ตัวหลง ตัดมันด้วยวิปัสสนาญาณ ใช้ปัญญาเข้าช่วย ถ้าหากว่าตัวใดตัวหนึ่งมันโดนตัดขาดลง อีกสามตัวกำลังมันน้อยแล้ว ไปไม่รอดหรอก เสร็จเราแน่ เพราะฉะนั้นต้องพยายามหน่อย
    ถ้าหากว่าสามารถตัดมันได้สำเร็จ หรือตัดมันได้ไม่สำเร็จแต่ผูกมัดมันไว้อยู่กับที่ไม่สามารถที่จะทำอันตรายกับเราได้มากก็ยังดีนะ ผูกมัดมันแล้วก็บังคับมัน อย่าให้มันมาบังคับเรา เพราะฉะนั้นบางที บางอย่างมันก็เหมือนกับว่า เป็นลักษณะนิมิต ที่จะบอกเหตุล่วงหน้าได้ เราอาจผูกมันอยู่ก็ได้ ลากมันไปไหน ๆ ก็ได้ แต่ว่ามันยังไม่ตายนะ ต้องระวังให้ดี ใช่มั้ยล่ะ ? ในเมื่อมันไม่ตาย ก็ต้องหาทาง ค่อย ๆ หั่น ค่อ ๆ เฉือน จนกว่ามันจะตายไปทีละส่วน
    ถาม : รากมันลึกใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ตัวส่วนละเอียดเขาเรียกว่า อนุสัย ถ้าเปรียบเหมือนกับต้นไม้เราโค่นต้นไม้ลงได้ โอ้ย ! มันล้มลงที พื้นดินสะเทือน รู้สึกผลงานมโหฬารเหลือเกินเลยใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าถ้าลองขุดลงไป รากมันอาจจะเยอะกว่าใบ หรือกิ่งข้างบนเสียอีก ยิ่งสาวไปมันก็ยิ่งเล็กลง ๆ แต่ว่าถึงช่วงนั้นปัญญากับสติมันจะเท่าทันกิเลส ถึงละเอียดแค่ไหนมันไล่กันทัน ไล่กันทัน แรก ๆ
    ถ้าเราเป็นนายพรานนะ ยิงช้างมันง่าย เป้ามันใหญ่ ต่อไปก็มามียิงพวกกวาง พวกหนูอะไรอย่างนี้ ตัวมันเล็กลง ยิงยากขึ้น ไปท้าย ๆ โน่นไปยิงยุง โอกาสจะถูกโอกาสที่จะเห็นมัน มันยาก แต่ถ้าหากว่าสติปัญญาถึง ตรงจุดนั้นแล้ว มันไม่เกินความสามารถของเรา
    ถาม : ความฝันมันบอกเหตุ
    ตอบ : ฝันมันบอกเหตุได้ล่วงหน้า ยกเว้นธาตุวิปริต จิตนิวรณ์อะไรพวกนั้น มันฟุ้งซ่านไปเปล่า
    ถาม : .........(ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : มันก็ต้องหาที่เกาะของมัน อย่าลืมว่า กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวงน่ะ มันต้องมีสังขารเป็นที่เกาะ โดยเฉพาะร่างกายของเราน่ะเป็นที่เกาะ แล้วอาศัยสังขารของเราเป็นตัวหล่อเลี้ยงมันให้เติบโตตัวสังขารนี่หมายถึงความนึกคิด ปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ให้มันเกาะซะอย่าง มันก็เสร็จ หรือไม่ก็ เราเลิก ไม่เป็นที่ให้มันเกาะ มันก็เสร็จเหมือนกันน เจ้าพวกนี้มันจำเป็นต้องอาศัย
    ดังนั้น เวลาเราเกิดอารมณ์ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาแยกให้ออกมันเป็นอารมณ์ของร่างกายไม่ใช่จิตใจของเรา ในเมื่อธรรมดาของร่างกาย มันต้องมีอารมณ์เหล่านี้เรื่องของเจ้า มีก็มีไปเถอะ ข้าไม่ให้ความสำคัญกับเจ้า แล้วเราก็อย่าไปยุ่งกับมัน พอเรายุ่งไม่ไปปรุงแต่งต่อนี่ มันเองอยู่ได้เดี๋ยวเดียว มันก็ตายเห็นหนุ่ม ๆ เดินมาตรงหน้าสักแต่ว่าเห็น อย่าไปยุ่งกันมัน ไอ้ตัวราคะมันโผล่มาไม่ได้หรอก หล่อแค่ไหน ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง เพล็บเดียวมันก็เสร็จแหง
    ถาม : .............
    ตอบ : พุทธบูชา มหาเตชะวันโต ธรรมบูชา มหาปัญโญ สังฆบูชา มหาโภควโห แปลออกมั้ย ? บูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชอำนาจมาก บูชาพระธรรมจะมีปัญญามาก บูชาสงฆ์จะรวยมาก (หัวเราะ)
    ถาม : ...................
    ตอบ : ของพวกเราน่ะ มันอยู่ในยุคบุกเบิก ยุคหักร้างถางพงน่ะ มันเหนื่อยสายตัวแทบขาด รุ่นนี้เขามันซูเปอร์ไฮเวย์แล้ว แต่ว่าของเขาเสียเปรียบเราอยู่ตรงที่ว่า เราลำบากมาก เราเห็นทุกข์มาก คนเห็นทุกข์มากจะเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า ของเขาเองรุ่นนี้ส่วนใหญ่มันเป็นพวกฤทธิ์พวกอภิญญา พวกฤทธิ์พวกอภิญญานี่ ความสบายมาถึงตัวก่อน สบายเกินไป ติดอยู่ที่นั้นแหละ แล้วอิฉฉาเขาตรงที่ความสบาย แต่ให้เป็นอย่างเขา ไม่เอาหรอก
    ถาม : พวกนี้ถือว่าเป็นทิฏฐิมานะ เป็นทิฏฐิมั้ย ?
    ตอบ : มันเป็นอยู่ ตัวทิฏฐิมานะคือว่าเขามาสูง แล้วเขาอยู่กับเหตุกับผลมาก่อน อยู่กับความดีมาก่อน แล้วอยู่ ๆ เราเอาอำนาจ หรือความไม่ดีของเรามาบีบบังคับเขา เพราะฉะนั้นแรงต่อต้านจะมาก
    ถาม : แล้วพวกนี้ ถ้าดีก็ดีไปเลย ?
    ตอบ : มันก็ไม่แน่เหมือนกัน บางทีก็ต้นตรง กลางคด ปลาย ๆ ตรงอีกที พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคล แบ่งได้เป็นสี่ประเภท โชติ ตะโม ปรายโน สว่างมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า โชติ โชติ ปรายโน สว่างมาแล้วสว่างไป ณ เบื้องหน้า ตะโม โชติ ปรายโน มืดมาแล้ว สว่างไป ณ เบื้องหน้า ตะโม ตะโม ปรายโน มืดมาแล้ว มืดต่อไป ณ เบื้องหน้า เพราะฉะนั้นอันที่ถือว่าดี ก็คือว่า สว่างมาแล้ว สว่างไป ที่น่าชมเชยก็คือว่า มืดมาแล้ว สว่างไป นะ แล้วไอ้ที่น่าเตะก็คือ สว่างมาแล้วมืดไป (หัวเราะ) ส่วนมืดมาแล้วมืดไปนั้นน่าสงสาร
    ถาม : รากเหง้าของความโกรธ มันมีอะไรบ้างคะแล้วจะแก้ หรือจะขุดรากมันยังไง ?
    ตอบ : ถ้าจะขุดนะ ก็ควักตา แล้วก็อุดหู แค่นั้นแหละโกรธยากแล้วเพราะว่ามันเข้าง่ายที่สุดทางตา กับทางหู ตาเห็นเก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ หูได้ยิน เก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ ไม่พอใจกับถูกใจน่ะ แย่ทั้งคู่ ถูกใจแสดงว่าชอบใจไม่พอใจแสดงว่าไม่ชอบ ใช่มั้ย ? โบราณเขาบัญญัติคำศัพท์ดีจังเลย ถูกใจ ถ้าถูกเป๊ะก็เจ๊งเลย ของเราต้องสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน รู้เอาไว้แล้วรักษาใจให้ดี อย่าให้มันเข้ามาในใจได้ดูแล้วก็ไม่ยากนะ
    ถาม : แต่ทำยากจัง
    ตอบ : ค่อย ๆ ทำซิ ถ้าสติมันทันแล้ว เรื่องอื่น ๆ มันไม่ยาก ตามลมหายใจ เข้าออกให้ทัน ถ้าตามลมหายใจ เข้าออกมัน ต่อไปก็จะค่อย ๆ ไล่ กิเลสทัน คราวนี้ของเราไล่หมายังไม่ค่อยจะทันเลย หมาวิ่งเร็วกว่า

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ถูกใจกับไม่ถูกใจนี่ อย่างไหนยากกว่าคะ ?
    ตอบ : ถูกใจนี่แกะยาก ไม่ถูกใจนี่ยังเดินหนีได้ง่ายกว่าใช่มั้ย ? แต่ว่ามันยังเป็นอารมณ์ที่ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
    ถาม : ...............................
    ตอบ : ต้องดูตัวอย่าง คุณยายประคินไง คุณยายประคินแม่ของเจ้าเรนั่นน่ะ แกไม่สบาย ๆ เสร็จก็นอนหัวเราะ ลูกหลานก็แปลกใจ ยายจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ นอนหัวเราะ ถามยายหัวเราะอะไร บอกขำไอ้พวกโรคภัยไข้เจ็บ มันไม่รู้หรอกว่า มันกินเราตายเมื่อไหร่ มันก็โดนเผาด้วย (หัวเราะ) คิดได้อย่างไร กำลังใจของคนเข้าถึงธรรมต้องอย่างนั้น แล้วบ้านนี้เขาจะมีประสบการณ์ตายเยอะเลย
    ล่าสุดก็เจ้าโชค น้องชายคนเล็กเขากระเพาะทะลุ ไอ้ของเราก็ไปเข้าพอดี มันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยซักประมาณเที่ยงคืน พี่รสเขามาเรียกบอกว่าไปดูหน่อย บอกว่าเจ้าโชคเขาแย่แล้ว กะว่าคงจะไปแน่แล้ว เมียนั่งร้องไห้แล้ว พอไปถึงดูอาการเสร็จก็เลย เออ ! ถ้ามันขืนเวทนาหนักขนาดนี้ สงสัยมันจะเกาะความดีไม่ได้ ก็เลยใช่คาถาท่านลุงพระยายมที่ว่าบรรเทาเวทนาให้ พอเป่าหัวให้ไปอาการเขาเบาลง พอเบาไปปุ๊บ
    ปรากฏว่าทางบ้านเขาทำเป็น มาถึงก็เอาเงิน บอกให้โชคนี่ ตั้งใจอธิษฐานสร้างพระชำระหนี้สงฆ์องค์ใหญ่ไปเลย อย่างน้อย ๆ ให้ใจเกาะบุญว่าตัวเองได้สร้างพระใหญ่นะ แล้วพอเขาอธิษฐานเสร็จ คล้าย ๆ ว่าเกาะความดีได้ กำลังใจทรงตัว พอกำลังใจทรงตัวก็เหมือนกับว่าเขาหลับลึกไป พอหลับลึกลงไปก็บอกกับทางบ้านเขาว่า เฝ้านะ ถ้าเลยตีสาม รอดปรากฏว่าป่านนี้มันคงเดินปร๋อไปแล้วล่ะ เลยตีสามรอดแน่ คือคนเรา ช่วงวาระบุญมันหมดน่ะ แล้วเอาบุญใหญ่มาต่อเข้าพอดีทางบ้านเขามีประสบการณ์อันนี้มา พี่รสก็เป็น เจ้าเรก็เป็น ไอ้เรนี่ หลายรอบเลย มีเมียทีจะตายที ยิ่งมีหลายคนยิ่งจะตาย เขาเป็นกันทั้งบ้าน คล้าย ๆ กันหมด
    จนกระทั่งคุณยายประคินบอกว่าเดี๋ยวนี้ฉันเห็นว่าความตายไม่ใช่ของน่ากลัวเลยนะ พร้อมที่จะไปตายได้ทุกเวลาเลย รู้ว่าตายแล้วมันสบาย เพราะตอนที่มันเจ็บปวดมาก ๆ นี่มันไม่รับรู้กันแล้ว อาการทางร่างกายไม่รับรู้ มันเบาสบาย อยากจะไปซะเลยทีเดียว นั่นก็เลยพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว
    ถาม : เพียงแต่ ให้รู้ใช่มั้ย ?
    ตอบ : ของท่านเองเกาะบุญ เกาะอะไรแน่นปึ๊กเลย วัน ๆ ไม่มีอะไรแล้ว บอกแก่ขนาดนี้ ภาวนารอวันตายอย่างเดียว ไหวมั้ยโยม ภาวนารอความตายอย่างเดียว ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออกมันตายแล้ว หายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้า มันก็ตายเหมือนกัน มันอยู่ใกล้เราขนาดนี้
    เพราะฉะนั้นถ้าเราประมาท เราอาจตายไปแล้วลงสู่อบายภูมิ ก็ขาดทุนเสียทีที่เกิดเป็นคน อย่างน้อย ๆ ต้องเอากำไรให้ได้พื้นฐานของการเป็นคน เราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์มาแล้วถึงเกิดเป็นคนได้ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้อย่างน้อย ๆ เราต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ในเมื่อเราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ระวังรักษาศีลด้วยตัวของเรา ไม่ยุให้คนอื่นศีลขาด ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเอาทำศีลขาด มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจริงใจด้วย
    ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ สักแต่ว่าปากว่า สักแต่ว่ามือไหว้ ใจไม่ได้น้อมไปด้วย ถ้าเราตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระพุทธธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ก็ให้ปาก ให้กาย ให้วาจา มันน้อมไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะใจต้องน้อมไปด้วย ถ้าหากว่า กาย วาจาใจ มันตามไปทางเดียวกันหมด ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเน้นเฟ้น มันจะเกิดจากความจริงจัง และก็จริงใจ ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว ความเป็นพระโสดาบันไม่ใช่ของยากเลย เพราะว่าเรามีศีลบริสุทธิ์ เคารพพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างจริงใจ ก็แค่คิดว่าถ้าตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานนะ อารมณ์พระโสดาบันจะมีอยู่ รายละเอียดแค่นี้เอง ส่วนอื่น ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ของท่าน ท่านจะมีศีลเป็นกรอบอยู่ ยังไงก็ไม่นอกศีล โกรธคน โกรธได้ แต่ท่านไม่ผูกอาฆาตพยาบาท โกรธแล้วโกรธเลย ถึงเวลาก็ลืมมันซะ ฟังดูไม่ยากเลยนะ ประเภทโกรธที อีกสามปียังจำได้ อย่างนั้นไม่ใช่พระโสดาบันนะ
    เป็นไงเหนื่อยมั้ยลูก (ถามคนที่สมองพิการ) ค่อย ๆ เดินไปนะ ถ้าเป็นไปได้ พาเขามาบ่อย ๆ นะ เพราะกำลังใจเขาจะได้เกาะด้านดีไว้ตลอด อย่าไปคิดว่าเขาไม่รู้ เขารู้ซะยิ่งกว่ารู้อีก แต่เพียงแต่ว่าความเจริญของสมองมันไม่ทันร่างกาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาอยากคิด อยากพูด อยากรู้มากกว่านี้มันจะโดนจำกัดด้วยกฏของกรรม แต่ว่าผลบุญที่เขาทำน่ะ มันจะส่งผลให้เขาสบายในกาลต่อไปข้างหน้า ชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าได้แน่
    ถาม : ................
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันก็ดีนะ ของเขากลายเป็นทุกข์น้อยไปไง ทุกข์น้อยตรงที่ว่าการนึกคิดปรุงแต่งมันไม่มากอย่างพวกเรา เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่า ให้กินได้อย่างใจ ให้เล่นได้อย่างใจ แค่นั้นเอง
    ถาม : .......................
    ตอบ : เรื่องของหมอดู อย่าเชื่อเสียทั้งหมด แต่ว่าให้ระมัดระวังไว้อันที่ท่านบอกว่าดีนั้น ไม่ต้องไปไขว่คว้ามันหรอกถ้าหากว่าเราทำเอาไว้ บุญเราถึง วาระเราถึงจริง ๆ มันได้ของมันเอง แต่ว่าถ้าท่านบอกว่าไม่ดีให้ระวังให้มากไว้ การระมัดระวัง ไม่ขาดทุนอะไรใช่มั้ย ? แต่ว่าวิธีแก้ไข ถ้ามันไม่เกินวิสัย ไม่ลำบากมากนัก ก็ทำ เช่นว่าให้สวดมนต์ถือศีลภาวนาเหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ามันยากลำบากนักหนาอะไรก็เอาเหอะ ถ้ามันตายก็ให้มันตายไป ไม่ต้องเชื่อเสียทั้งหมด สิ่งที่ดีก็ไม่ต้องไปไขว่คว้า แล้วสิ่งที่ไม่ดีให้ระวังไว้
    ถาม : หลีกเลี่ยงไม่ได้เหรอคะ ?
    ตอบ : หลีกได้ กำลังใจของเรา ถ้ามั่นคงในทาง ศีล ภาวนากรรมเก่าที่มันจะมาสนอง มันจะมาได้ไม่เกิน ๒๕ % คราวนี้ว่ากรรมเก่า หรือที่เรียกว่าเคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้นแหละ ถึงวาระที่มันเข้ามา แต่ว่าสมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณบ้างมันหายาก มันส่วนใหญ่จะหาประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ ยังพอจะอภัย ไม่รู้อะไรเลย เอาแต่มั่วอย่างเดียวนี่มันน่าฆ่าซะ
    ถาม : แล้วควรจะทำยังไง อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล ?
    ตอบ : ถ้าหากมีโอกาสก็ ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลยอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง มันจะเป็นการตัดเคราะห์อย่างหนึ่ง ตัดเคราะห์ใหญ่ที่มันจะมาถึงเรา มันจะหนีห่างจากมันได้ชั่วคราว ถ้าเราได้ทำบุญใหญ่อันนั้น ง่ายจะตาย เราก็ทำอยู่เรื่อยอยู่แล้ว
    เพราะฉะนั้นก็เอาเป็นว่าทำสังฆทานสักเดือนละครั้งเลย หรือไม่ก็เจอเขาทำที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป มันจะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก แล้วไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ! หมดแล้วไม่มีปัญญาจะทำ ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจหมดเกลี้ยงเลย ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไปเหอะ (หัวเราะ)
    ถาม : ถ้าเขาว่าไม่ดีนี่ เราทำให้ดีได้มั้ย ?
    ตอบ : ได้จ้ะ เขาว่ามันอยู่ที่ปากเขา กำลังใจของเราถ้าดี ทุกอย่างจะดีหมด ท่านบอกว่า มโนเสฏฐา มโนมยา สูงสุดที่ใจสำเร็จที่ใจ ถ้ากำลังใจของเราว่าดี แล้วตั้งใจทำ มันต้องดี ไอ้ที่ว่ามันปากเขาว่า กำลังใจเราอย่าไปตกตามเขา ถ้ากำลังใจมันทรงตัว ว่าให้ตาย มันก็ไม่สะเทือนหรอก
    ถาม : มันจะเหมือนสะกดจิตเราเองหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่สะกดจิตหรอก เป็นการแช่งตัวเอง ในเมื่อ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราไปคิดว่าไม่ดี ๆ มันก็กลายเป็นไม่ดีไปจริง ๆ
    ถาม : ถ้าเราคิดว่าดี ดี ๆ
    ตอบ : สบายใจ ก็บอกแล้วว่า ถ้าใจดี ใจสบาย ทุกอย่างก็ดีหมด เพียงแต่ว่าเราจะทำได้ยังไง ให้จิตใจแจ่มใสอยู่เสมอ สำคัญตรงนั้นแหละ รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่า ศาสนานี้ท่านไม่สอนอะไรมากกว่าให้ละเว้นความชั่วทั้งปวงให้ทำความดีให้ถึงพร้อมรักษากำลังใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วเขาทำบุญ ทำกรรมยังไง ถึงได้อธิษฐาน ขอส่วนบุญเทวดาให้ได้คะ ?
    ตอบ : ทำบุญให้เยอะ ๆ เข้าไว้ ขยันเกิดบ่อย ๆ แล้วก็ไปอยู่ข้างบนให้มากกว่าข้างล่าง พอถึงเวลาส่วนใหญ่เพื่อนเก่าหรือไม่ก็ผู้บังคับบัญชาเก่า ขอร้องอะไรมันก็ง่าย แตถ้าไม่มีบุญเป็นตัวเสริม ท่านก็ไม่ค่อยดูหน้าเราเหมือนกัน
    ถาม : เจ้าแม่กวนอิม ท่านเป็นใครกันแน่ ?
    ตอบ : เกิดไม่ทัน ท่านเกิดก่อนเป็นพันปี เลยเกิดไม่ทัน
    ถาม : ก็มีตำนานเล่าว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ว่าคนในปัจจุบันก็เรียกท่านว่าเจ้าแม่
    ตอบ : คือว่าชาติที่ท่านมีชื่อเสียงมาก คือชาติที่ท่านเกิดเป็นองค์หญิง เมี่ยวซ่าน คราวนี้เวลาท่านบวช ท่านมีฉายาว่า กวนอิม คือผู้คอยฟัง คอยฟังในความทุกข์คนอื่น เขาก็เลยติดว่าในชาตินั้นที่ท่านมีชื่อเสียงมากที่สุด ควรให้ความเคารพนับถือมากใช่มั้ย ? ทั้งประเทศนี่เห็นตามท่านหมด เขาก็เลยถือเอาชาตินั้นเป็นสัญญลักษณ์ท่านมา
    ชาติต่อไปท่านจะเป็นใคร เขาไม่ฟังแล้ว เอาชาตินั้นเป็นหลัก สละแขนตนเองเพื่อประกอบยาให้พ่อ อย่าลืมนะ พระโพธิสัตว์ การตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ ถวายเป็นบูชาอะไรนี่ท่านทำเป็นปกติ แล้วพอหนัก ๆ ขึ้นมา สละลูก สละเมีย เป็นทาน สละลูกเมียเป็นทานน่ะ ยากกว่าตัดหัวตัวเองอีก
    ถ้าเป็นเราสมัยนี้ก็เอาไปเถอะ ขอให้ตูรอดไว้ก่อน ไอ้พวกกำลังใจไม่ถึง ท่านเองท่านเกิดมาพร้อมกับความดี แต่ว่าพ่อเป็นจักรพรรดิน่ะ ตีบ้านตีเมืองเขาแหลกรานไปเลย คัดค้านพ่อไม่สำเร็จ โดนไล่ไปเลยอยากบวชนัก ก็บวชได้แต่บังคับที่สำนักบวชให้ทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่หนักได้
    คราวนี้ท่านอยู่กับความรื่นเริงเบิกบาน อยู่กับบุญน่ะจิตใจเกาะบุญอยู่ตลอด ไม่ได้สนใจว่าภายนอกเขาจะเป็นยังไง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ยิ่งทำยิ่งหนัก ก็ไม่ว่าทำแค่ไหนก็ทนได้ ขอให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์ พ่อก็เลยยัวะ สั่งให้ทหารไปเจี๋ยนซะ ปรากฏว่าท่านเองคงจะสร้างบุญเอาไว้ดี
    ตามประวัติว่าท่านตายแล้วฟื้นใหม่แล้วไปอยู่ที่เกาะฝงไหล ปฎิบัติจนกระทั่งเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ตรงนั้นมีบุญมีบารมีมากที่สุด ถึงวาระสุดท้ายกรรมเก่ามันตามทัน พ่อก็เลยตาบอด แล้วก็เกิดโรคร้ายขึ้นมาอะไรรักษาก็ไม่ได้ หมอก็บอกว่าต้องได้ดวงตาเหรือแขนของผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มา ถึงจะรักษาได้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าแม่กวนอิมที่คนเขาศรัทธากันนักหนา ในระยะนั้นน่ะก็คือลูกตัวเอง ก็ให้มหาอำมาตย์ไปขอก็ให้มาจริง ๆ พอรักษาหาย จะไปขอบคุณ ไปถึงเพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเอง
    ถาม : ..........................
    ตอบ : เรื่องของอายุขัย มันเกิดจากกรรมที่เราทำไว้ในอดีต ถ้าปาณาติบาตน้อยก็อายุยืน ปาณาติบาตมากก็อายุสั้น หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ทีหนึ่ง
    มีคน ๆ หนึ่ง ทำบุญทีไรก็ขอให้ตัวเองอายุยืนสองหมื่นปีมันขอสองหมื่นปี มันเอาไม่เยอะหรอก ไม่ค่อยโลภเลยทำเมื่อไรก็ขออายุยืนสองหมื่นปี อธิษฐานดัง ๆ ด้วย คนได้ยินทั้งศาลาเหมือนกันหมด อธิษฐานไป อธิษฐานมา พอถึงวันพระเขาก็อธิษฐานแบบเดิม ขากลับจากทำบุญ มันจะต้องผ่านลำประโดง ที่เขาขุดให้น้ำ มันไหลเข้าไปในไร่ในนาเข้าน่ะ เป็นคลองเล็ก ๆ มีพวกไม้ไผ่ หรือต้นหมากอะไรพาดผ่านให้เดินข้ามได้เท่านั้น
    ก็มีชายแก่คนหนึ่ง แกเดินข้ามก็ประสาคนแก่นั่นแหละ เดินไม่ถนัด ก็ตกตูมลงไปในน้ำ อีตานี่ก็รีบกระโดดลงไปช่วยลากขึ้นมาบนบกได้ ถามว่าลุงเป็นใครไม่เคยเห็นหน้า แล้วมาทางนี้ทำไม ถึงขนาดตกน้ำตกท่าเลย ตาแก่เขาบอกว่าลุงคือพระกาลเห็นเอ็งอธิษฐานอยากได้อายุยืนสองหมื่นปีมานานแล้ว วันนี้ได้โอกาสแล้วก็เลยแสดงตัวมาพบ ถ้าเอ็งอยากได้อย่างนั้นจริง ๆ ลุงช่วยให้ได้ จะเอาจริงหรือเปล่า ? เขาก็บอกว่าเอา พอเอาก็ เอาล่ะถ้าเอ็งกลับไปถึงบ้านนะ ก็เริ่มนับได้เลยล่ะอีกสองหมื่นปีเอ็งถึงจะตาย
    ตอนนี้แกก็กระดี๊กระด๊า กลับบ้านไป ปรากฏว่ามันไม่ดีใจได้ไม่นานหรอก คนรุ่นเดียวก็ตายหมด คนรุ่นลูกตาย คนรุ่นหลานตาย จนหระทั่งคนรุ่นแหลนตาย เจ้านี่ก็ยังอยู่คนเดียว ชักคลุ้มคลั่งขึ้นมา อยู่เท่าไหร่ก็ไม่เห็นตายชะที เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่เหลือแล้ว รุ่นอื่น ๆ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว กลายเป็นปูชนียบุคคลลายครามขึ้นหิ้งไปแล้ว ก็อยากตายขึ้นมา ทำยังไงก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายกี่วิธี ก็มีอันเป็นไป ให้คนมาช่วยทันแกก็เลยคิดวิธีฆ่าตัวตายแบบพิศดารขึ้นมา แกไปขึ้นต้นไม้ใหญ่ ต้นที่มันอยู่ริมน้ำลึก ๆ น่ะ แล้วเอาเชือกผูกคอตัวเอง จัดแจงเอาน้ำมันราดตัว แล้วก็ถือปืนเตรียมไว้ จุดไฟพรึ๊บเอาปืนจ่อหัว ยิงตูม พร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงไปข้างล่าง คือกะว่ามันจะต้องตายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ปรากฏว่าตอนที่แกทิ้งตัวพร้อมกับ เหนี่ยวไกน่ะปืนมันพลาด จากหัวไปโดนเชือกพอดี ตกลงไปในน้ำไฟดับอีก (หัวเราะ)
    หลวงพ่อบอกว่าเรื่องนี้มีหลักฐานมา บาลีมุตตะกะ มุสาวาทวรรค วรรค ไปเปิดดูได้ เพื่อนนักเทศน์ด่ากันตรึมเลย บาลีมุตตะกะ เขาว่าอยู่นอกบาลี มุสาวาทวรรค ก็โกหกชัด ๆ เล่นเอาโยมทั้งศาลาอยากจะอายุสองหมื่นปีไปตาม ๆ กันทั้งนั้น ท่านก็เล่าของท่านหน้าตาเฉย บาลีมุตตะกะ นอกบาลี ไม่มีมาในพระไตรปิฎก มุสาวาทวรรค วรรคโกหก ฉันพูดเองจ้ะ (หัวเราะ) เอามั้ย ? สองหมื่นปี อยู่กันเหนียงยานเลย แต่ถ้าอยู่ด้วยบุญ สองหมื่นปี มันไม่นานหรอกนะ
    อย่างเช่นว่าสมัยต้นกัปนี่อายุหนึ่งแสนปีนี่ใช่มั้ย ? แล้วก็ลดลงมาเรื่อย จนกระทั่งอย่าง ของเรานี่ท้าย ๆ ก็ยังเรียกว่าท้ายนะ เพราะช่วงนี้เรียกว่า อายุร้อยปีเป็นอายุขัย สมัยพระพุทธเจ้า คราวนี้ว่าร้อยปีลบหนึ่งปี ร้อยปีลบหนึ่งปีไปเรื่อย บัดนี้ ผ่านไปสองพันห้าร้อยปี ก็ลบไปยี่สิบห้าปี อายุมนุษย์ปัจจุบันก็เจ็ดสิบห้าปีเป็นอายุขัย ใครอยู่ขาดก็แสดงว่าปาณาติบาตมาก
    ถาม : ......................
    ตอบ : คนตายแล้วส่วนใหญ่จะสบายนะโยม คืออาตมากล้ายืนยันว่าพ้นจากทุกข์ทรมานในปัจจุบันนี้ มันสำคัญกับตัวเราว่า ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ ถ้าเราไม่ทำความดีในอนาคตเวลาตายเราจะทุกข์อีก เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องทำให้เยอะเข้าไว้ เราทำเท่าไรเราก็ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเราตั้งใจอุทิศให้ใครเขาถึงจะได้
    ถาม : แสดงว่า ไม่จำเป็นต้องลงข้างล่างก่อน แล้วแต่
    ตอบ : แล้วแต่จ้ะ ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ขึ้นตรงไปเลย ถ้าทำความชั่วมากก็ตรงไปเลย ยกเว้นว่าดีชั่วก้ำกึ่งกัน ก็ต้องไปรอการตัดสินที่ตำหนักพระยายม ประเภทดีซะร้อยหนึ่ง ชั่วซะร้อยยี่สิบ หรือดีร้อยยี่สิบชั่วซะอีกร้อยหนึ่งอย่างนี้ ไปตรงนั้นเหมือนกัน
    ถาม : แล้วอย่างหนูเอาของเล่นเขาไปทำบุญอย่างนี้เขาจะได้บุญมั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าเป็นของของเขา เขามีส่วนอยู่แล้วจ้ะ
    ถาม : ถ้าเขาไม่เต็มใจอย่างนี้คะ ?
    ตอบ : เขาไม่เต็มใจนี่ อันนั้นเขาไม่ยินดีกับเรา บุญก็จะลดน้อยลงไป
    ถาม : เขาลด แต่เราลดมั้ยคะ ?
    ตอบ : ของเรานี่กำลังใจมันล้น มันไม่ใช่ลด มันล้นตรงที่ว่ากระทั่งของที่เขาไม่เต็มใจ อุตสาห์เอาไปทำบุญ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...