ฉบับที่ ๑๕ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 16 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    [​IMG]



    ถาม : คืนพรุ่งนี้ประมาณตี ๒ จะลุกขึ้นนั่งทำสมาธิตลอด ตานี้ช่วงที่แบบทำสมาธิจนถึงตี ๔ คือบางครั้งเราเดินจงกรมบ้างก็ทำไปแต่ส่วนมากจะใช้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L15_2.jpg
      L15_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.5 KB
      เปิดดู:
      525
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ภาพยนต์เรื่องอุลตร้าแมนครับ ?
    ตอบ : อุลตร้าแมนไม่เคยดู (หัวเราะ)
    ถาม : คืออย่างนี้ครับ ผู้สร้างเขาบอกว่าหน้าของอุลตร้าแมนมีต้นแบบมาจากใบหน้าของพระพุทธรูป แล้วก็ไปต่อเติมหู ไปต่อเติมเขาอะไรอย่างนี้ครับ อยากจะเรียนถามว่าอย่างนี้เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าหรือไม่ ?
    ตอบ : เขาออกแบบนี้ขึ้นมาโดยอาศัยแบบจากนั้นนะ เขาไม่ได้ไปเติมให้พระพุทธรูป ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในเจตนาที่จะมุ่งร้ายมันก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไปเติมให้พระพุทธรูปแล้วเจตนาหรือไม่เจตนาก็โดนแหง ๆ
    ถาม : แล้วภาพยนต์ที่มีภาพการตัดเศียรพระน่ะครับ โดยที่ให้เหตุผลว่าเพื่อให้เกิดความสมจริง คนที่ตัดบาปไหมครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าสร้างเป็นองค์พระขึ้นมาแล้วมีโทษนะ สร้างเป็นองค์พระขึ้นมาเขาถือเป็นพระพุทธรูปแล้ว โทษทำลายพระพุทธรูปก็รีบขอขมาพระรัตนตรัยซะโดยด่วนจี๋เลย
    ถาม : มีพระภิษุสงฆ์รูปหนึ่งกำลังให้ศีลอยู่ เมื่อให้ศีลข้อที่ ๓ เสร็จแล้วก็ได้ถามพระข้าง ๆ ว่าเมื่อตะกี้ถึงข้อไหนแล้ว พระก็บอกมา แล้วก็ให้ศีลข้อ ๔ ต่อ อยากถามว่าถ้าเกิดพระผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่มีอาการลืมเช่นนี้ ?
    ตอบ : เป็นไปได้ เพราะว่ายิ่งท่านที่ได้ทิพจักขุญาณได้มโนมยิทธิหรือว่าอะไรนี่ บางทีการติดต่อกับพระกับพรหมกับเทวดาอะไรของท่านจะมีเป็นปกติอยู่ บางทีจะอาจจะเบนความสนใจไปทางด้านนั้นมากเกินไป ก็เลยทำให้ลืมไปว่าร่างกายมันทำงานไปถึงไหนแล้ว แล้วก็เป็นไปได้ เป็นบ่อยด้วย เคยเจออยู่
    ถาม : ในหนังสือพระมหาชนก ในหลวงท่านทรงทำแผนที่ในหนังสือเพื่อที่จะแสดงเมืองต่าง ๆ ตามท้องเรื่องโดยมีระยะทางชัดเจน รวมถึงทะเลที่พระมหาชนกเดินทาง ไม่ทราบว่าในหลวงท่านใช้วิชาอะไร ?
    ตอบ : (หัวเราะ) อันนี้ต้องกราบทูล.......
    ถาม : หรือใช้ญาณ ท่านใช้ญาณอะไร ?
    ตอบ : (หัวเราะ) กราบทูลถามโดยตรงจะง่ายกว่า ในหลวงได้ทิพจักขุญาณตั้งแต่ ๗ ขวบนะ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่น ๆ ของท่านนี่ ถึงท่านจะอิงหลักวิชาการอิงอะไร แต่ว่าความสามารถพิเศษที่ทำมาได้ยาวนานขนาดนั้น นับว่าหลายสิบปีอยู่ ก็คงจะไม่ิ้ทิ้งหรอก เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีส่วนของทิพจักขุญาณอยู่ด้วย
    ถาม : ผมเข้าใจว่าทำยากครับ เพราะว่าของมันผ่านมานาน
    ตอบ : มันไม่ใช่ ๒๕๐๐ กว่าปีนะ พระมหาชนกนี่ก่อนเป็นพระพุทธเจ้า นานมากนะ
    ถาม : แล้วในแผนที่มีพื้นที่เป็นประเทศไทยเก่าด้วยก็เลยงง ๆ
    ตอบ : จริง ๆ แล้วโน่น กราบบังคมทูล ทรงทำอย่างไรพระเจ้าข้า ?
    ถาม : มีคนกล่าวว่า คำว่า
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ทำไมดีใจแล้วต้องร้องไห้ ?
    ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน กติกาของใครกำหนดไม่รู้ว่าดีใจแล้วต้องร้องไห้ (หัวเราะ) กำลังใจของแต่ละระดับมันไม่เท่ากัน ของเขากำลังใจแค่นั้น ดีใจก็แสดงออกลักษณะอย่างนั้น แต่ถ้าว่ากำลังใจของพระอริยเจ้าดีใจท่านอาจจะยิ้มนิดเดียว (หัวเราะ)
    ถาม : การที่มีแนวคิดว่าจะนำเอาศาสนาพุทธแล้วให้มีคนในศาสนาอื่นมาเป็นกรรมการปกครองของสงฆ์ คนที่คิดแบบนี้จะลงนรกมั้ยครับ ?
    ตอบ : จะลงนรกมั้ย ? ก็ต้องดูว่าเจตนาเขาดีมั้ย ? ถ้าเขาเจตนาดีต้องการจะส่งเสริมพระศาสนาจริง ๆ ต้องการจะเปิดกว้างลังกษณะที่ว่า ถ้าคนอื่นเขายอมรับด้วยแล้วก็ทำถูกต้องตามแบบจริง ๆ นั่นไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเจตนาลักษณะเหมือนดิสเครดิตหรือไม่ก็เจตนาที่จะทำลายกันเลย นั่นเสร็จแหง ๆ
    ถาม : เคยได้ฟังเรื่องมีวิญญาณได้เล่าเปรียบกับหลวงพ่อฤาษีสมัยที่อยู่ที่วัดบางนมโค อยากถามว่า วิญญาณไม่กลัวพระเหรอครับ ?
    ตอบ : นั้นส่วนใหญ่เขามันเพื่อนเก่า ๆ แล้วก็ทั้งหมดเป็นเทวดาด้วย เพราะฉะนั้นของเขาเองจริง ๆ เทวดาหางแถวมันดีกว่ามนุษย์หัวแถว และโดยเฉพาะนักบวชด้วย เพราะถ้าหากว่าของเราเองทำไม่ดี ศีลไม่บริสุทธิ์บกพร่องอะไรนี่ เขาไม่ซ้อมอานนี่ก็นับว่าเกรงใจมากแล้ว กำลังเขาสูงกว่าอยู่แล้ว ลักษณะที่เขามา มาโดยเจตนาดี จะสร้างกำลังใจให้นะ ช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ของอาตมาเองพกพระเครื่องไว้เต็มกระเป๋าอังสะมานั่งทับบีบคอเฉยเลย (หัวเราะ) กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าทำไมมันถึงนั่งทับได้ บอกเอ็งอาราธนาพระบ้างหรือเปล่า บอกเปล่า เออ....สมน้ำหน้า (หัวเราะ) พระหรือเทวดาท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ไม่เรียกให้ช่วยท่านก็นั่งดู มันจะเก่งซักเท่าไหร่ ? (หัวเราะ) ใส่กระเป๋าไว้มันนั่งทับกระเป๋าเลย (หัวเราะ)
    ถาม : เวลาที่ใส่บาตรพระ จำเป็นมั้ยคะต้องถอดรองเท้า ถ้าไม่ถอดบาปมั้ย ?
    ตอบ : ก็จริง ๆ แล้วลักษณะของการให้ความเคารพ เขาบอกว่ายังไง ถ้ากั้นร่ม ให้ลดร่ม ถ้าใส่หมวกให้ถอดหมวก ใส่รองเท้าให้ถอดรองเท้าแล้วถามว่าเป็นบาปมั้ย ? มันก็เป็นอยู่แสดงว่ากำลังใจเขาหยาบอยู่ ในเมื่อกำลังใจเขาหยาบ สิ่งที่คิดว่าเล็กน้อย เขามองข้ามไปเป็นโทษ
    อย่างพระเจ้าพิมพิสารโดนพระเจ้าอชาติศัตรูที่เป็นลูก สั่งให้พวกผู้คุมนักโทษเอามีดโกนกรีดฝ่าเท้าซะไม่ให้ท่านเดินจงกรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นโทษในอดีตที่ใส่รองเท้าเดินเข้าไปในลานเจดีย์ ลักษณะอันเดียวกันคือสถานที่ ๆ ควรแก่การเคารพแล้วไม่แสดงออกซึ่งความเคารพอันนั้น โทษมันมีอยู่แต่ว่ามันก็นานเต็มที่กว่าจะไล่ทัน มาไล่ทันเอาชาติสุดท้ายที่ท่านมาเป็นพระเจ้าพิมพิสารนี่
    ถาม : เราเรารักษาศีลครบโดยที่เราไม่รู้ว่าศีลเราครบหรือเปล่า แล้วอานิสงส์ของการรักษาศีลครบได้รึเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าตั้งใจรักษาได้ครบ ถ้าเจตนาไม่มีในการงดเว้นนั้น บังเอิญว่าครบเองอย่างนั้นถือว่า เจตนา คือตัวกระทำไม่มี พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>

    ถาม : ยังมีงานอีกเหรอ ?
    ตอบ : งานท่วมหัวเลย
    ถาม : งานอะไรครับ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่ก็งานเพื่อพระศาสนา เพื่อกำลังใจของคนหมู่มาก เพื่อส่วนรวม
    ถาม : จริง ๆ ถ้าไม่รู้ก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องเลยซิครับ ?
    ตอบ : หมดเรื่องไปเลย ประเภทที่เดินมาจะเหยียบอยู่แล้วยังไม่รู้คุณสุดเฉลียวใช่มั้ย ? ท่านเดินมาบิณฑบาต แล้วคุณสุดเฉลียวก็อาย เพราะว่ากับข้าวไม่ดี เลยไปบอกท่านบอกว่า อีฉันเป็นคริสต์ค่ะ ท่านก็เลยเดินไป พอท่านเดินไปจนกระทั่งลับไปแล้วเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าผิดปกติ....ตรงไหนรู้มั้ย ? ผิดปกติตรงที่ว่าท่านสูง หัวนี่ค้ำเพดานเลย แต่ตอนนั้นไม่ได้สังเกตไม่ทันนึก มันคงจะเป็นเรื่องบุญมีแต่กรรมบัง ก็เลยวิ่งออกไป จะวิ่งตามออกไป ปรากฏว่าไม่เจอ ตัวเองจะเป็นห้องที่ ๓ อยู่ซ้ายมือมันมีอยู่ ๒ ห้องขวามือมันมีอยู่ ๓-๔ ห้อง มันเป็นห้องแถว ถามทางด้านไหนก็ไม่มีใครเห็นพระลักษณะอย่างนั้นเดินออกมาสักองค์หนึ่ง ไม่ทันกินแล้ว.....บุญมีแต่กรรมมันบังไปหน่อย ไปบอกว่าอีฉันเป็นคริสต์เจ้าค่ะ
    ถาม : เอ้า เขาเองก็ตั้งใจดีนี่นะ คือกลัวกับข้าวไม่ดีก็ไม่ถวาย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ามันไม่มีจริง ๆ ที่กินแล้วใช้แล้วก็ได้ เขาเรียก
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วตกลงเรื่องนี้เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ?
    ตอบ : เรื่องแต่ง น่ารักมั้ย ?
    ถาม : ที่จริงก็รู้เรื่องหมดแล้ว จับไม่ได้แม้สักนิดเดียว
    ตอบ : เมื่อวานนี้ที่ติดไว้เรื่องอะไร แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์นะเป็นสมัยที่ขุนวรวงศาธิราชก่อนพระเธียรราชานิดหนึ่ง ผู้ที่ทำการปฏิวัติคือพระเธียรราชา ซึ่งตอนหลังเป็นพระมหาจักรพรรดิ์
    ถาม : ใครคะ ..........?
    ตอบ : ขออภัย บางตอนมันเดี้ยงนึกไม่ออก ตอนนี้นึกออกแล้วนะ แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แม่อยู่หัวเมืองก็คือผู้หญิงที่เหมือนกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวครองเมือง คราวนี้พอเรียกเร็ว ๆ ก็เป็น
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : กรุงศรีอยุธยา สภาพบ้านเมืองที่ถูกเผามันเหมือนกับสภาพบ้านเมืองของสุโขทัย ทีนี้ไม่แน่ใจว่าสุโขทัยนี่จะโดนเผาเหมือนกับกรุงศรีอยุธยาหรือเปล่า ?
    ตอบ : สุโขทัยสมัยนั้นจะเป็นเมืองหน้าด่าน จากสุโขทัยเมืองหลักลงมาก็จะเป็นพิษณุโลก สุโขทัย สมัยนั้นจะเป็นเมืองชะเลียง เมืองศรีสัชชนาลัย เมื่อทางหัวเมืองทางเหนือเวลาโดนตีไล่มา จากเชียงใหม่ลงมาเลย จากเชียงใหม่ไล่เลาะลงมา ถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ก็ทิ้งเมืองหนี ไอ้ทิ้งเมืองหนีถึงเขาไม่เผา มันก็กลายเป็นเมืองร้างมันก็ปรักหักพังพอ ๆ กันนั่นแหละ
    สมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านถึงได้ชะลอพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือลงมาตั้งพันกว่าองค์ เอามากรุงเทพพันกว่าองค์ องค์ไหนที่สำคัญหรือมีลักษณะงดงามก็แจกจ่าย ให้วัดโน้นวัดนี้ เป็นพระประจำพระอุโบสถบ้างประจำวิหารบ้าง ที่เหลือทั้งหมดก็ระเบียงไปวัดโพธิ์เข้าไปดูเถอะหลายร้อยองค์เรียงเป็นแถวเลย บางทีเห็นรูปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เขาถ่ายรูปพระพุทธรูปเป็นแถวยาวเหยียด นั่นแหละระเบียงวัดโพธิ์ เพราะวัดโพธิ์เขาถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑
    พระที่สำคัญ ๆ ที่เอามาสมัยนั้นที่มีอยู่ก็อย่าง
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ไปเที่ยวเมืองกาญจน์ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ ?
    ตอบ : ถ้ามุดเข้าไปในนั้นน่ะน่ากลัว ถ้าไม่เข้าไปไม่เป็นไร
    ถาม : แล้วอย่างนี้วิญญาณคนที่ตายหมู่ จะเป็นลักษณะแบบที่เจออย่างนี้หรือเปล่า ?
    ตอบ : พวกตายหมู่ ต้องดูด้วยถ้าหมดอายุขัยก็ไปตามบุญตามกรรมตัวเอง ถ้าไม่หมดอายุขัยมีคนเขาทำบุญให้ รับได้โมทนาได้ก็สบายหน่อย มีบ้างพวกเขาเรียกว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว จะมีพวกหนึ่งที่มันจะติดอยู่กับที่ไปไหนไม่ได้ เป็นแรงกรรมของเขาโดยเฉพาะพวกนี้ถ้าไม่มีคนใหม่มาตายตรงนั้นเขาจะไปไม่ได้
    มีอยู่ประเภทหนึ่งเหมือนกันแต่น้อยหน่อยแล้วที่คนเขาไปตายตรงนั้นแล้วเขาไปได้ ก็ไม่ใช่เพราะว่าอำนาจของเขาดึงให้ไปตายนะกรรมของคนใหม่พาไปตาย มันพอดีกันเขาจะพ้นแล้วรายนี้ก็ลงไปแทน
    ถาม : ตอนนั้น....มันมีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ เคยไปทีพระปรางค์สามยอด พอไปถึงแล้วถูกผลักออกมา แบบลมมันแบบเหมือนจะวูบ แล้วผลักอก จะพยายามเดินเข้าไปประมาณ ๔
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : กำลังนึกอยู่เลยครับว่า ไหว้พระหลวงพ่ออย่างนี้ จริง ๆ ก็น่าจะคุ้มไหมครับ ?
    ตอบ : ก็ถ้าหากว่าอาราธนาประจำนะ โดยเฉพาะเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ เข้าไปในพิธีของเขาเจ๊งหมดเลย เขาจะทำพิธีต่อไม่ได้เลย เจอมาหลายรายแล้ว ไม่ได้เจตนาเลย แต่ว่าอยากรู้อยากเห็น เขาบอกว่าเขาทรงพระยายมราช เพื่อนก็เมตตาไปเหอะไปดูหน่อย เอ้า ! ไปก็ไป พอไปถึงความเคยชินของเราก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อ นึกถึงพระ ภาวนาพุทโธเป็นปกติอยู่แล้วใช่มั้ย ? ปรากฎว่ามันทรงให้ตาย ก็ทรงไม่ได้ (หัวเราะ)
    ถาม : อ้าว....ไม่มาเลย
    ตอบ : ก็มาแว๊บหนึ่ง เห็นเขาจุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้งเหมือนกัน นั่ง ๆ ลักษณะเหมือนจะเริ่มสั่น ๆ แล้วก็หงายหลังฟาดพื้นโครมเข้าให้ แล้วลุกขึ้้นมาบอกว่าทรงไม่ได้ท่านมาแป๊บเดียวก็ไป สงสัยมาแต่เท้า (หัวเราะ) หงายหลังฟาดพื้นไปเลย ลักษณะนั้นแหละ ส่วนอีกทีหนึ่งก็เขาชวนไปเล่นผีถ้วยแก้ว เราพอได้ยินว่าผีก็กลัวเราก็ภาวนาพุทโธ มันเชิญแทบตายไม่ลงซักที พอเลยเที่ยงคืนไปแล้วไปนอนกันดีกว่า (หัวเราะ) ลืมไปคือด้วยความเคยชินของเราถึงเวลาเราก็ภาวนานึกถึงพระไว้ แล้วผีที่ไหนมันจะมาได้ล่ะ เล่นเอาเจ้าพิธีนี่หน้าเสียเลย ก็เขาเคยทำได้ผลทุกที ชวนพวกไปตั้ง ๔ คน ๕ คน กลายเป็นว่าทำแล้วไม่สำเร็จตามที่คุยเอาไว้ เสียหน้าหมด
    ถาม : แสดงว่าของผีมาจริง ๆ หรือไงครับ ผีถ้วยแก้ว ?
    ตอบ : ผีมาจริง ๆ แต่ต้องระวังขนาดเราระบุว่าเชิญใคร มันยังมาก่อนได้เลย เพราะว่าเรื่องของผี เรื่องของเทวดา เขาถือมารยาทตัวที่มาก่อนก็รับไป
    ถาม : อ้าว ......อย่างนี้แต่เขาก็รู้เหมือนกัน
    ตอบ : ใช่แต่ว่าบางสิ่งที่เขาต้องการรู้ ถ้าหากว่าถามปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่มีความรู้เขาตอบไม่ได้ หรือไม่ก็บางทีจากเป๋เข้าป่าเข้าดงไปเลย
    ถาม : พูดถึงผี ตอนนั้นไปงานศพเจ้าค่ะ พอไปงานศพ ผีเอ่อ.....วิญญาณของคนที่เสียชีวิตนี่เขาเดินอยู่รอบศพ คือเขาเสียชีวิตแล้ว แบบเขายังไม่ได้สั่งเสียเจ้าค่ะ เราก็เห็นเราก็มองตามเขา เขาก็เห็นว่าเรามองเขาเห็น เขาก็มาเดินอยู่รอบตัวเราแทนที่จะวนศพเขา เขาก็บอกว่า ขอหน่อย ขอเข้าหน่อย ทีนี้ไม่ทราบ เราก็แบบสวด ๓ จบแล้วเจ้าค่ะ พอ ๓ จบเราก็ยังไม่ให้ ไม่ให้เข้า มีความรู้สึกว่ากลิ่นธูป กลิ่นน้ำอบเข้ามาที่ปากค่ะ พอเข้ามาปุ๊บเข้าได้เท่าเนี้ยะค่ะ แล้วเขาก็พูดออกมาเป็นภาษาจีน ทำไมเขาถึงเข้ามาได้ ขณะที่เราไม่ได้อนุญาตเลยเจ้าคะ ?
    ตอบ : ของเราเองตอนนั้นเผลอไง อย่าลืมตรงคำว่า เผลอนะ ระหว่างที่กินอยู่ ระหว่างที่เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม ระหว่างที่เคลิ้มใกล้จะหลับ จังหวะนั้นถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จ หลวงพ่อท่านถึงได้สอนให้เราภาวนาหรืออาราธนาพระให้เป็นประจำไว้ เพราะว่าถ้าหากว่าถึงระดับนั้นแล้วตัวเราถึงเผลอ แต่ว่าพระหรือเทวดาที่ท่านรักษาอยู่ท่านจะไม่เผลอ ท่านก็จะช่วยให้ ของเรานี่เขาเข้าได้แค่นั้นนับว่าเก่งมากแล้วจ้ะ ถ้าหากมันเข้าได้มากกว่านั้น ดีไม่ดีแสดงอาการพิลึกพิลั่น กลายเป็นเจ้าแม่ไปแล้ว
    ถาม : พูดอย่างเดียวเจ้าคะ ถ้าอย่างนี้คือถ้าเราเผลอหรืออะไรก็ตามได้เลย
    ตอบ : เผลอเมื่อไหร่โดนแน่จ้ะ ถ้าเป็นความต้องการของเขา ก็บอกแล้วว่าอย่างที่เปรียบเทียบว่าของเราต้องกิน ต้องนอน ของเขาไม่ต้อง ดังนั้นเขารอจังหวะของเขาอยู่ เผลอเมื่อไหร่ก็โดน
    ถาม : อันนี้ก็เคยโดนอีกรอบหนึ่งเจ้าค่ะ เผลอเหมือนกันตอนเข้าห้องน้ำเจ้าค่ะ ตอนเข้าไปนะเจ้าคะ ตอนแรกยังไม่มีอะไร พอเข้าไปสักพักกลิ่นเริ่มมาแล้วเจ้าค่ะ พอกลิ่นเริ่มมา เราทำธุระ ก็ เอ๊ะ !ทำไมกลิ่นมันแรงขึ้นเรื่อย ๆ พอเข้าไปประตูมันเปิดไม่ได้เจ้าค่ะ พอเปิดไม่ได้ปุ๊บทำไงล่ะ กลิ่นมันมา ๆ พอภาวนาถึงพุทธองค์ ขอบารมีปุ๊บ กุญแจเปิดได้ พอเปิดได้วิ่งออกมาบอกคนข้างนอก บอกว่าบ้านนี้มีผีมีคนตาย พอเราอ้าปากเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ เข้ามาอีกแล้วเจ้าค่ะ โอ้โห ! กินน้ำมนต์ อาเจียน ๆ เจ้าค่ะ แล้วทำไมพวกนี้ถึงได้ตามตลอดเลย ?
    ตอบ : มันคล้าย ๆ เบอร์โทรของเรามันต่อได้อยู่เบอร์เดียว มันไปต่อเครื่องอื่นมันเสียหมด มันติดต่อไม่ได้มันก็ต้องตามใช้เบอร์นี้แหละ (หัวเราะ)
    ถาม : ตามตลอดเลยเจ้าค่ะ ก็มีความรู้สึก เราจะมีวิธีอย่างไรที่ไม่ให้พวกนี้เข้ามา ?
    ตอบ : ก็อย่าเผลอจ้ะ อย่าเผลอ
    ถาม : ไม่เผลอนี่มันลำบากนะเจ้าคะ ?
    ตอบ : หาน้ำมันชาตรีหลวงพ่อก็ได้ ก่อนจะไปไหนเจิมหัวซะก่อน หรือไม่ก็กินไปสักอึกหนึ่งเลย นั่นแหละ คราวนี้มีัปัญญาก็มุดเข้ามาซิ มุดเข้าไปก็ชนพระหงายท้องออกมาก่อน
    ถาม : แล้วถ้าเราพกพระติดตัว แล้วอาราธนาบอกท่านน่าจะกันได้นะเจ้าคะ ?
    ตอบ : บอกท่าน บอกว่าทุกเวลาเลยนะเจ้าคะ ถึงอีฉันเผลอ แต่ท่านห้ามเผลอเด็ดขาด
    ถาม : ไม่ค่อยได้อธิษฐานบอกท่านน่ะเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : คราวนี้ก็จะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วที่หลวงพ่อพูดน่ะมันตรงทุกอย่าง ท่านบอกแล้วว่าเวลากิน เวลาเข้าห้องน้ำ ห้องส้วมหรือเวลาเคลิ้มใกล้หลับ มันเป็นเวลาที่เราพลาดได้ง่ายที่สุด ต้องระวังกันตลอดเวลา บางคนน่ะ เข้าส้วมแล้วว่าภาวนาไม่ได้....บาป ระวังไว้เหอะ เดี๋ยวมันบีบคอตายคาส้วมนั่นแหละ (หัวเราะ) ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามภาวนาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเกิดปุ๊บปั๊บเป็นอะไรไปตอนนั้นกำลังใจเราไม่มีที่เกาะ ถ้าเผลอไปมันจะลงที่ลำบาก เพราะฉะนั้นต้องเกาะพระไว้ให้เป็นประจำนะ ยิ่งเข้าส้วมยิ่งดีภาวนาให้หนัก พระท่านไม่เหม็นหรอกไม่ต้องกลัว
    ถาม : (หัวเราะ) แล้วก็มีเหตุการณ์อยู่เหตุการณ์หนึ่งที่พึ่งจะผ่านมา ๒-๓ อาิทิตย์นี้เจ้าค่ะ พอดีอยู่ดี ๆ ตัวเองก็เกิดสภาวะเศร้า ๆ แบบไร้เหตุผลเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรเหตุที่จะเศร้า พอดีเกิดอาการเศร้า ๆ แล้วก็เห็นหน้าเพื่อนอยู่ ๒ คน เธอก็เศร้า ๆ ทีนี้ก็มีเพื่อนเขาบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเขา เราก็เลยไม่ยุ่ง เราก็นั่งเศร้าแต่ก็เห็นหน้าสองคนนี่ลอยมา ก็นั่้งเศร้า ทีนี้พอผ่านจากช่วงนั้นมาก็ไปติดต่อเพื่อนคนนั้นว่าเป็นอย่างไร เขาเจออุบัติเหตุน่ะค่ะ เขาบอกว่าทำไมไม่บอกเขาล่วงหน้า ก็บอกว่ามีคนบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทำไมเราถึงได้รับทราบตรงจุดนั้นได้ยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็เบอร์โทรดีไง มันติดต่อได้ง่าย ถึงเวลาขึ้นมานึกเลย แหมจริง ๆ มันน่าจะบอกเราตั้งแต่แรก ก็ไม่ยอมบอก เล่นเอาเรานอนเป๋ แล้วมันค่อยมา (หัวเราะ) ตอนที่เขานึกถึงน่ะ กำลังใจประเภทนั้นน่ะจ้ะ ของเรามันรับได้ไวรับได้ง่ายกว่าก็เลยรับเอาความรู้สึกนั้นมา เพื่อนก็คงประเภททั้งโกรธ ทั้งน้อยใจเรานี่รู้แน่ ๆ เลยไม่ยอมบอกเราไง ในเมื่อทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจอารมณ์ใจของเขามาในลักษณะนั้นก็อาการเดียวกับของเขาเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : อันนี้คือเรารับอาการของเขามาเลย แล้วก็มีแบบว่าหน้าคนลอยมาเจ้าค่ะ ลอยไปก็ลอยมา สักพักหนึ่งก็โทรมาหาค่ะ แล้วเราก็รู้เขาจะโทรมาเรื่องนี้ ๆ เราก็เตรียมรอนั่งหน้าโทรศัพท์ หลวงพี่ทีนี้เอาเทปเข้าตลับก็เหมือนกันใช่ไหมเจ้าคะ ? (หัวเราะ)
    ตอบ : (หัวเราะ) ไม่รู้ไม่ชี้จ้ะ อันนี้ห้ามยืนยัน ถ้ายืนยันเดี๋ยวมันจะมีประเภทขี้เกียจ เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์วัดและพระนี่ต้องไล่เตะมัน มันจะพูดจะถามอะไร...ไม่หรอก มันใช้วิธีคิดแทน มันขี้เกียจพูด จนกระทั่งบางทีต้องบอกมันว่าถ้าขืนทำอย่างนี้อีกแล้วจะถีบมันแทน แล้วมันถึงจะยอมพูดนะ เป็นซะอย่างนั้น อะไรก็ตามที่ยังใช้สังขารร่างกายของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปทำได้น่ะทำเสียก่อน ไม่ใช่เล่นวิธีลัดประจำ ตอนนี้พระที่วัดมีอยู่องค์หนึ่ง ถ้าเราอยู่มุมนี้ของวัด เขาก็หนีไปมุมโน้น เราตามไปมุมโน้นมันหนีไปอีกมุมหนึ่ง กลัว....
    ถาม : กลัวไปนั่งรู้เขาหรือครับ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ คือว่ามันมีบางทีเขาวางอารมณ์ผิด ตั้งอารมณ์ผิดแล้วก็บอกเขา เขาก็เลยพานกลัวไปเลย
    ถาม : อ้อ ! ผมนึกออกแล้ว ที่หลวงปู่มั่นท่านเคยดูหลวงตาอะไรก็ไม่รู้ พอหลวงปู่มั่นลงไปบอก ย้ายวัดหนีเลย
    ตอบ : ก็ประเภทนั้นน่ะ ...(ไม่ชัด)....มันคิดชั่ว ๆ ข้าไม่ดูหรอก มันก็ไม่ฟัง (หัวเราะ)
    ถาม : กลัวเรารู้ใช่มั้ยเจ้าคะ ?
    ตอบ : อืม ! เขากลัว
    ถาม : มันแปลกเจ้าค่ะ บางทีเรานั่งใกล้บางคนนี่นะเจ้าคะ เขาด่าเราอยู่ในใจ เราได้ยินเสียงชัดมากเลยเจ้าค่ะ แล้วเราก็พูดคำด่านั้นออกไปช้า ๆ ให้เขาได้ยินชัด ๆ เจ้าค่ะ แล้วเขาก็หันมามองหน้าเราตั้งแต่นั้นมา เขาไม่เคยนั่งใกล้เราเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : ก็ประเภทเดียวกันล่ะจ้ะ
    ถาม : ทำไมได้ยินอย่างไรเจ้าคะ ยังงงเลย ทำไมเราได้ยินเสียงเขาคิดได้อย่างไร ?
    ตอบ : ความรู้สึกเขาถ้ายิ่งต่ำเท่าไหร่เรายิ่งรับได้ง่ายเท่านั้นนะ แต่ว่าจะไม่เกินจากเสมอกัน ถ้าเกินจากนั้นขึ้นไปจนถึงสูงกว่าต้องขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้ คนที่เสมอกันกับต่ำกว่าเราจะรู้ได้ง่าย ยิ่งอารมณ์เขาต่ำมากเท่าไหร่ยิ่งรู้ง่ายเท่านั้น เหมือนกับเราอยู่ในที่สูงแล้วมองลงไปมันจะเห็นชัดตา
    ถาม : แต่เราจะไม่มองคนที่สูงกว่าใช่มั้ยเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็มองได้จ้ะ แต่ต้องขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ถ้าหากว่าตั้งใจดูเอง อาศัยกำลังของเราเองไม่ขอพระท่านช่วยนี่จะไม่รูู้็เรื่องเลย
    ถาม : ถ้าอย่างนี้การที่เราได้ยินพวกสัมภเวสี พวกเทพมาคุยกับเราได้ ?
    ตอบ : ก็เรื่องปกติจ้ะ ที่เขา (หมายถึงพระที่วัด) กลัวมากที่สุดเขากลัวตอนไหนรู้มั้ย ? เขาจะกินขนมคือตอนเช้านี่มีของหวานไง แล้วก็ขนมกับผลไม้ คราวนี้ขนมนั่นมันใหม่เอี่ยมยังไม่ได้แกะถุง พี่แกก็นั่งอมลิ้นกลืนน้ำลายเชียว...อยากกิน แต่ไม่กล้าแกะ เราก็เลยบอก เฮ้อ ! ก็แกะไปซิหรือจะให้อาจารย์แกะให้กินถึงจะกล้า (หัวเราะ) คว้าได้ก็รีบแกะ หลังจากนั้นมันก็เดินหนีไปเลย (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วก็เจอเจ้าค่ะ ศาล เขาตั้งศาล พอตั้งศาลเขาก็ตั้งไว้อย่างนั้น แล้วเขาก็ไม่ได้จุดธูปเชิญซะที เจ้าที่ต้องมาบอกว่าช่วย ๆ เอาเขาขึ้นไปซะทีเถอะ ทีนี้เจ้าที่นี่เขามีสิทธิเข้ามาบอก เข้าฝันได้เหรอคะ ?
    ตอบ : ได้ซิ ก็เจ้าเขาสูงกว่านี่ ถ้าหากว่าเขาติดต่อเราได้อาศัยผ่านเราได้ก็ขอยืมใช้หน่อย เต็มใจสงเคราะห์เขา ถ้าไม่เกินความสามารถก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่เต็มใจสงเคราะห์็บอกกับเขา บอกว่าเดี๋ยวจะบอกให้แต่เอา ๒ ตัวมาก่อน
    ถาม : (หัวเราะ) อย่างนี้นี่เจ้าที่ท่านสงเคราะห์ได้อยู่แล้วใช่มั้ยครับ ถ้าโชคของเรา ?
    ตอบ : ได้อยู่ แต่ระวังไว้นะ เรื่องของเทวดา เรื่องของผีเขาตรงไปตรงมา บอกเอา ๒ ตัว มันให้น่ะ ๒๐ งวดยังไม่ออกเลย ไม่ได้บอกว่างวดไหน เจอมาเยอะแล้ว
    ถาม : (หัวเราะ) แต่สงสัยค่ะ เจ้าที่นี่เขาเป็นศาลดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว แล้วเขาก็เอาของเก่าออก แล้วก็เอาของใหม่ไปตั้งไว้ที่เดิม เขาก็น่าจะอยู่ได้ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาได้อยู่หรอก แต่ว่าลักษณะของคนมาใหม่หรือว่าคนที่ทำใหม่น่ะ ต้องอัญเชิญเขาให้ถูกวิธี ถ้าหากว่าไม่เชิญเขาให้ถูกวิธีเขาก็ไม่ให้ความคุ้มครองไม่ให้ความดูแล คราวนี้ว่าเขาเอง เขาก็อยากจะช่วย แต่คราวนี้เมื่อไม่ได้บอกกล่าวไม่ได้เชิญอย่างถูกวิธี เขาเองไม่สามารถจะช่วยได้ เขาก็เลยหาทางที่จะติดต่อ เพื่อจะให้บอกว่าให้ทำให้ถูกซะทีอย่างนั้น
    ถาม : คนนี้เขาโดนญาติเขาเองเล่นของ เล่นของในลักษณะที่ของที่ส่งมานี่มันเป็นลักษณะเลือด แล้วก็มาปาที่บ้านเขา แล้วพอเราไปช่วยเอาน้ำมนต์หลวงพ่อไปเจ้าค่ะ พอเขาดื่มปุ๊บมีความรู้สึกว่าขันน้ำมนต์เป็นเลือด พอดื่มเข้าไปปุ๊บ ยังไม่ทันจะกลืนก็อาเจียนออกค่ะ ถ้าอย่างนี้นี่เราจะช่วยเขาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : ได้อยู่ ให้เขาดื่มบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หมด พวกนี้บางอย่างถ้ากินเข้าไปนี่ลำบาก ถ้าหากว่าไม่ได้กินเข้าไปนี่แก้ง่าย ถ้ากินเขาไปมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเลือดเนื้อร่างกายแล้วแก้ลำบาก ลักษณะนั้นก็คือลักษณะของว่าพุทธคุณกับของมันต้านกันอยู่ ในเมื่อของเขาเองไม่ได้ มันก็จะแสดงออกในลักษณะเหมือนว่าอาเจียนออกมา ให้มันกินไปเยอะ ๆ เลย จับอาบเสียด้วยยิ่งดี
    ถาม : ไม่เป็นไรเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ซ้ำให้ตายไปเลย
    ถาม : ที่กินออกมาไม่เหลือเลยค่ะ ?
    ตอบ : ถ้าอาเจียนออกมาได้ก็เริ่มเบาแล้ว ต่อไปบอกเขาว่า เอาที่ต้มเสร็จมาแล้วนะ
    ถาม : ต้มหรือคะ ?
    ตอบ : เลือด (หัวเราะ) เอาที่ต้มเสร็จมาแล้วน่ะ
    ถาม : แล้วเขาเลี้ยงผีด้วยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : เลี้ยงผีไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่อยากบอกเดี๋ยวพวกเราไปทำกัน เพราะว่าพวกอดอยากมันเยอะ คราวนี้ของพวกนี้ถ้าเราเผลอมันจะเล่นเราเอง คือถ้าเวลาเราเผลอทิ้งให้เขาอด บางทีเขาก็เล่นเราเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งอยู่ที่วัดท่าซุง มีแม่ชีคนหนึ่งเขามา โอ้โห ! พามาเป็นฝูงเลย เราเองก็ถามเขาว่าเลี้ยงผีใช่ไหม ? เขาบอกว่าท่านรู้หรือเจ้าคะ ก็บอกว่า รู้ไม่รู้น่ะ ไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าโยมเลี้ยงใช่มั้ย ? เขาบอกใช่ ก็บอกว่าเลี้ยงยังไงมันถึงเยอะขนาดนั้น เขาก็เลยบอกวิธีให้วิธีมันก็ง่ายนะ แต่ว่าลักษณะนั้นเราเผลอเมื่อไหร่ตัวเองโดน
    ถาม : เขาทำอย่างไงเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไม่กล้าบอก เดี๋ยวคนเอาไปใช้กัน
    ถาม : แสดงว่ามันก็ต้องมีคุณด้วยซิครับ ?
    ตอบ : มันก็มีอยู่ คือว่าบางอย่างของเขาเองอยู่ในลักษณะของความเป็นทิพย์ไงมันก็ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกินกำลังเขา เรื่องที่ไม่หนักนักเขาก็ช่วยได้ แต่ว่าเขาก็จะช่วยในลักษณะว่าบีบบังคับคนอื่นเขา
    ถาม : นึกว่าช่วยง่าย ๆ เอามาเป็นคนงานก่อสร้างซะเลย ? (หัวเราะ)
    ตอบ : เอาอย่างพวกวูดู หมอผีวูดูที่ไฮติ ใครตายนี่เจ้าของ...ต้องเรียกว่าญาติพี่น้องนะ ฝังศพแล้วต้องนั่งเฝ้าจนมันเน่าไปเลย ถ้าหากว่าไม่เฝ้าอยู่จนมันเน่า เขาเรียกเอาไปใช้หมด
    ถาม : เขาไม่เผาไปเลยล่ะครับ ?
    ตอบ : ก็ประเพณีเขาฝัง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เอาศพไปใช้เหรอครับ ?
    ตอบ : เอาศพไปใช้ เอาไปเป็นคนงาน ส่วนใหญ่พวกที่ไฮติคนงานในไร่อ้อยนี่สมัยก่อนนี่ร้อยละเกินเก้าสิบจะเป็นพวกผีดิบวูดู
    ถาม : เอาอย่างงั้นเลยเหรอครับ ?
    ตอบ : มันเอาอย่างงั้นเลยแหละ มันต้อนไปเป็นฝูง ๆ เลย
    ถาม : ไม่ต้องเสียค่าข้าว
    ตอบ : เสียแต่ค่าอาหารหน่อยหนึ่ง ให้กินข้าวเปล่า อย่าให้กินเกลือ ถ้ากินเกลือเมื่อไหร่มันจะรู้ตัวว่ามันตายแล้วมันจะกลับหลุมมัน เพราะฉะนั้นต้องให้กินแต่ข้าวเปล่าเพื่อที่ร่างกายมันจะได้อยู่ได้ อย่างน้อยมีสารอาหารอยู่
    ถาม : อย่างนี้เขาเรียกว่าผีดิบหรือเปล่าเจ้าคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นผีดิบ เขาทำมาจากวิชาของเขา ไปปลุกมันขึ้นมาใหม่
    ถาม : อย่างนี้ทรมานมั้ยคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ มันก็ทรมาน แต่ว่าผีก็คือผี
    ถาม : ดวงจิตถูกครอบไว้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ดวงจิตนี่อาจจะเป็นของคนอื่นก็ได้ อาจจะเป็นของตัวเองก็ได ้เพราะว่าเพียงแต่อาศัยเพื่อบังคับให้ร่างนั้นทำงานเท่านั้น
    ถาม : นึกว่าถ้าไม่อาศัยดวงจิตได้ด้วยนี่ก็โอ้โห !
    ตอบ : โอ้โห ! ยอดเยี่ยมสุริโยทัย ส่วนใหญ่มันต้องมีเค้าโครงของมัน
    ถาม : ที่เขาสะกดจิต การใช้พลังจิตที่ไปช่วยบังคับจิตให้เขาทำตามถือว่าการทำในลักษณะอย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : อันนั้นลักษณะจริง ๆ ก็เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขาเลย และถ้าหากว่ายิ่งให้เขาไปทำสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมตัวเองก็ได้รับโทษหนักขึ้นไปด้วย แต่ตัวของคนทำนั้นไม่มีโทษนะ เพราะว่ามันไม่ใช่เจตนาของเขา และที่เขาทำ เขาทำในลักษณะไม่รู้ตัวโดนบังคับให้ทำ
    ถาม : อยากทราบ อานิสงส์ของการพนมมือคุยกับพระครับ ?
    ตอบ : อานิสงส์ของการพนมมือคุยกับพระ แต่ขัดสมาธินี่หักลบลบล้างเหลือศูนย์ (หัวเราะ) พนมมือเป็นการเคารพ แต่ขัดสมาธิมันไม่เคารพ หักกลบลบล้างเหลือศูนย์พอดี (หัวเราะ)
    ถาม : คือว่าร่างกายมันไม่ไหวครับ ?
    ตอบ : จริง ๆ ก็ดูว่าใจของเราเคารพมั้ยนะ ถ้าหากพนมมือด้วยความเคารพอานิสงส์มันก็ได้อยู่ ใช่มั้ย ? เราเคารพในพระรัตนตรัย เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาจัดเป็นอนุสสติ แต่ว่าขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราสัก ๆ แต่พนมมือไปมันก็น้อยหน่อย คืออย่างน้อย ๆ มันก็อยู่ในลักษณะกตัตตากรรม คือกรรมที่ทำโดยไม่ได้ตั้งเจตนาให้มันมั่นคง
    ถาม : ได้ยินมาว่า ถ้าเกิดคนที่ได้สรรเสริญบุคคลอื่น เกิดมาชาติหน้าหน้าจะตัวสูงจริงมั้ยครับ ?
    ตอบ : พระพุทธเจ้ากล่าว ก็จริงตามนั้น ก็เห็นเขาบอกคนสูงต้องเกิดหน้าน้ำไม่ใช่เหรอ (หัวเราะ) เกิดข้างขึ้นใช่มั้ย ? ยิ่งฤดูน้ำหลากยิ่งสูง นั่นเขาพูดเล่นกัน ท่านว่าจะเกิดในตระกูลสูงต่างหาก
    ถาม : ผมคิดถึงลูกสาวเลย นั่นต้องสูงมากแน่เลย ฝนแบบไม่รู้มีมาก่อน ตกสุดจะหนัก
    ตอบ : อันนั้นเขาพูดเล่นกัน พระพุทธเจ้าท่านบอกอย่างไงก็อย่างงั้นล่ะจ้ะ ที่่ว่าทำไมคนถึงเกิดในตระกูลสูง ทำไมเกิดในตระกูลต่ำ ทำไมผิวพรรณดี ทำไมผิวพรรณทราม อะไรนั่น เป็นไปตามท่านว่าทั้งหมด ถ้าขี้โกรธก็ผิวพรรณทราม ถ้าหากว่ามีเมตตาจิตใจเยือกเย็นก็ผิวพรรณดี อย่างนี้ เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนก็เกิดในตระกูลสูง เป็นผู้ลบหลู่เขา เป็นผู้ที่ประเภทที่เรียกว่าทะเยอทะยาน ก็จะเกิดในตระกูลต่ำอย่างนี้
    ถาม : หนูใจร้อน ทำอย่างไงใจเราถึงจะเย็น ?
    ตอบ : ควักออกมาแช่น้ำ
    ถาม : โห ! มันควักไม่ได้เจ้าค่ะ ?
    ตอบ : รู้ตัวว่าใจร้อนต้องสร้างสติให้สมบูรณ์จ้ะ เมื่อสร้างสติสมบูรณ์มันรู้จักระมัดระวัง พอสติสมบูรณ์แล้วมันจะระวัง มันก็จะเป็นแค่ร้อนอยู่ข้างใน กาย วาจา มันไม่ได้ร้อนไปด้วย เพราะว่าเก็บอาการอยู่ แล้วพอนาน ๆ ไป เราเก็บมันอยู่นาน ๆ มันเหมือนอยา่งกับเอาหินทับหญ้า เดี๋ยวหญ้ามันตายไปใจมันก็เย็นเอง
    ถาม : พอจะมีคาถาเรียกเงิน เรียกทองแล้วก็โชคลาภบ้างมั้ยเจ้าคะ ?
    ตอบ : มีจ้ะ เขาเรียกคาถาเงินล้านรู้จักมั้ยจ๊ะ ? ถ้าไม่รู้จักถามคุณเทพฤทธิ์ นั่นแหละใช้ได้ เขามีจริง ๆ จ้ะ เขาเรียกคาถาเงินล้าน เอาคาถาบทนั้นแหละไปใช้ อย่างของเราสมาธิดี ๆ นี่ได้ผลเร็วจ้ะ
    ถาม : จำเป็นต้องเท่า กันทุกวันเหรอครับ ?
    ตอบ : ความสม่ำเสมอ สำคัญที่สุด
    ถาม : ผมอาศัยแบบขับรถไป นึกได้ก็ท่อง ๆ ไปเรื่อย ๆ
    ตอบ : คืออย่างน้อย ๆ ให้มันกำหนดไว้ว่าแค่นี้เราต้องได้ ส่วนได้มากกว่านี้ ได้เท่าไหร่ก็เอา
    ถาม : อย่างนี้ต้องนึกน้อย ๆ ไว้ก่อน (หัวเราะ)
    ตอบ : มันจะได้มีรองรับไว้เสมอ คือแน่นอนว่าจำนวนนี้ต้องได้อย่างนี้
    ถาม : พอดีคุณพ่อท่านเป็นอาจารย์ฝึกสมาธิ คนรู้สึกว่าจะเป็นพันนะคะ แล้วทีนี้พอท่านฝึกสมาธิ ท่านก็นั่งสมาธิประมาณตอนตีสี่ ตีห้าท่านก็บอกว่าเจอแหละมีเทวดามานั่งสมาธิด้วยทุกเช้าเลย ก็เลยสงสัยว่า เอ๊ะ ! พวกเทวดานี่เขามานั่งสมาธิกับคุณพ่อนี่ เขาได้บุญกุศลจากการทำสมาธิตรงนี้ด้วยหรือคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ ได้ เพราะว่าอย่างเทวดาชั้นยามา เขาจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิเป็นปกติเลยนะ ท่านที่มานี่อาจจะเป็นเทวดาประจำตัวที่รักษาท่านเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนฝูงเก่าก็ได้ เห็นเพื่อนทำขอแจมหน่อยหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ขอได้บุญบ้าง
    ถาม : สมาธิคือ มีสติใช่มั้ยครับ ไม่ใช่การจับลมหายใจ
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันต้องอาศัยลมหายใจก่อน เพื่อที่่ว่าสติมันตามทันลมหายใจที่เป็นของหยาบก่อน แล้วมันถึงจะตามทันความคิดของตัวเองที่เป็นของละเอียดกว่า
    ถาม : แต่เทวดาไม่มีขันธ์ห้านี่ครับ ?
    ตอบ : ก็เขามีขันธ์ทิพย์จ้ะ ขันธ์ของเขาก็ห้าเหมือนกับเรานี่แหละ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในสภาพของความเป็นทิพย์
    ถาม : แล้วจับลมหายใจได้เหมือนเราเลยหรือครับ ?
    ตอบ : ของเขาเองเขาไม่ได้ว่าจับแบบของเรานี่ ของเขาจิตเขาถ้าหากว่าทรงเป็นสมาธิอยู่เขาจะดำเนินตามอาการของสมาธิไปเลย สิ่งนี้มันเป็นความละเอียด พูดกันยาก ต้องไปเกิดเป็นเทวดาใหม่แล้วทวนความจำดู (หัวเราะ) สภาพจิตของเขาพอทรงตัวเป็นสมาธิอยู่มันก็จะดิ่งต่อไปในลักษณะที่เขาเพิ่มความระมัดระวัง ประคับประคองมันอยู่ อธิบายเป็นคำพูดยากจัง
    ถาม : เข้าใจครับ
    ถาม : ทีนี้ท่านก็บอกว่าท่านทำสมาธิตรงนู้นแล้วเราก็นอนอยู่ปลายเท้าท่าน เราก็เลยรับขอรับส่วนของท่านเลย (หัวเราะ)
    ตอบ : ง่ายดีเนอะ เขาเรียกตัวดูด (หัวเราะ) อ้าว ! ได้นะ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราดี ๆ รับได้จริง ๆ จ้ะ
    ถาม : เราก็รู้สึกว่าพอใกล้ท่านจิตเราก็เป็นสมาธิเจ้าค่ะ ก็เลยสงสัยว่ามันถ่ายเทกันได้หรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วกำลังใจของคนนะ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามมันจะส่งพลังงานออกมา ในเมื่อมันส่งพลังงานออกมาคนที่อยู่ใกล้จะได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ว่า่จะกระทบในด้านดี หรือกระทบในด้านร้ายก็ตาม จะสังเกตว่าถ้าในสถานที่เขาทำเป็นบุญเป็นกุศลสมาธิ เราจะทรงตัวได้ง่ายมาก เพราะว่ากระแสจิตมันจะไปทางดีเหมือนกันหมด
    แต่ขณะเดียวกันว่า ถ้าหากว่าเราเข้าไปในสถานที่อย่างเมืองใหญ่ ๆ หรือว่าสถานที่ที่มันแออัด จอแจ มีแต่รัก โลภ โกรธ หลง นี่เราจะรู้สึกว่าโดนกดดันและเครียดมากเลย เพราะว่าของเขามันสวนกระแสกับเราจ้ะ ก็ในเมื่อของเราเองมันมีผลอย่างนั้นก็ดูดไว้เยอะ ๆ (หัวเราะ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พอดีดูดแล้วถ่ายได้ด้วยเจ้าค่ะ มีพี่อยู่คนหนึ่งเขาจะเดินทางไปกับเรา พอเราเจออะไรก็นึกอยู่ในใจ เธอจะพูดแทนเลย ไม่ทราบว่าทำไมส่งสัญญาณได้อย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ?
    ตอบ : โทรศัพท์เบอร์เดียวกันจ้ะ ถ้าต่อผิดคลื่นก็ไม่ติด
    ถาม : อันนี้ก็สงสัยว่าทำไมพี่เขารักได้ พอเราจะพูดอะไรเธอก็พูด ?
    ตอบ : ไม่ต้องสงสัยจ้ะ ทีเรายังรับได้เลย
    ถาม : แล้วมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งน่ะคะ เขาก็มานั่งใกล้ ๆ เรา พอนั่งไปนั่งมา เธอจะเห็นภาพล่วงหน้าเหมืือนกับที่เราเห็น ทำไมไม่ทราบไปถ่ายทอดกันอีท่าไหนเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็บางทีของเขาเองกำลังใจเขาก็เหมือนกัน แล้วก็อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ก็สามารถเห็นได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันอาจจะเป็นตัวเจโตปริยญาณก็ได้ เรานึก เรารู้ เราเห็นอะไร เขาเองเขาอ่านใจเรากำหนดความรู้สึกของเรา เขาก็นึกได้เห็นได้ รู้ได้เหมือนกัน
    ถาม : อย่างนี้ก็สื่อกันได้ใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อย่างไง ๆ ก็หมุนโทรศัพท์หน่อยนะ ไม่งั้นนายกจะเจ๊งซะก่อน ไม่มีใครใช้เลย
    ถาม : แล้วมีคาถาอะไรที่จะแนะนำมั้ยคะ ?
    ตอบ : จะแนะนำเยอะเลย เจ็ดตำนานทั้งเล่มน่ะ ท่องไปเหอะ ใช้ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ
    ถาม : เอาสั้น ๆ กระทัดรัดน่ะเจ้าค่ะ เอาแบบครอบจักรวาล ?
    ตอบ : พุทโธจ้ะ คาถาทุกบทเป็นเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ แล้วพอจิตเป็นสมาธิ กำลังของมันมี เราตั้งใจให้เป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาธิระดับของเราแล้วอะไรก็ได้จ้ะ
    แบบเดียวกับสมัยเด็ก ๆ หลวงพ่อสมชายวัดเขาสุกิมไปวัดใช่มั้ย ? แล้วโยมพ่อก็มัวแต่ไปคุยกับเจ้าอาวาสอยู่ ทิ้งลูกให้อยู่ที่ศาลาคนเดียว มันก็มืดลงทุกที ๆ ท่านก็กลัวหลับหูหลับตานั่งกอดเข่า กลัวแล้วไม่เอาแล้ว ๆ ถอดจิตไปได้เฉยเลย ลักษณะเดียวกันแหละจ้ะ คือพอกำลังใจมันมั่นใจเป็นหนึ่งเดียวแล้วมันก็ใช้งานได้เลย
    ถาม : ยาว ๆ อย่างอิติปิโส ?
    ตอบ : เอาเหอะ ยิ่งยาวยิ่งดี ชินบัณชรก็ได้ ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกก็ดี หรือไม่ก็มหาสติปัฏฐานสูตร (หัวเราะ)
    ถาม : อ่านเจอใน ........(ไม่ชัด)..........หลวงพ่อท่านพูดถึงเรื่องของการก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม ว่าต้องมีมุมให้ถูกต้อง มุมมหาทุกขตะ มุม........(ไม่ชัด).........มุมมหาเศรษฐี ขอถามเป็นอย่างไงครับ ?
    ตอบ : พอรู้อยู่ ก็เอาโบสถ์เป็นหลักตามตำราของหลวงพ่อ แล้วโบสถ์ต้องหันหน้าทิศตะวันออก จะมีแต่ละทิศอย่างเช่นว่า ทิศด้านตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นมุมของพระโมคคัลลาน์ ตะวันออกเฉียงใต้เป็นมุมของพระสารีบุตร แล้วก็ตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นมุมของมหาเศรษฐี ตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นมุมมหาทุกขตะ
    ก็จำแค่ ๓ ทิศน่ะ ถ้าหากว่าหันเหนือปุ๊บ หน้าตรงก็คือตะวันออก มุมทะแยงคือตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ตะวันตกเฉียงเหนือนะใช้ได้ มุมเหลือนอกนั้นใช้ไม่ได้เท่านั้น เพราะว่าจะเป็นมุมโจร มุมมหาทุกขตะ มุมกาลกิณี มุมมรณะ มุมปาราชิก
    ถาม : คือว่าสถานปฏิบัติธรรมที่ต้องสร้าง หรือว่าเป็นบ้านก็ได้ ?
    ตอบ : จำเพาะวัด แล้วก็ที่มีผลก็คือมีผลต่อตัวเจ้าอาวาสไม่ได้มีผลต่อพระลูกวัด มีผลต่อเจ้าอาวาส อย่างเช่นว่าถ้าอยู่มุมมหาทุกขตะจนตายชักเลย เงินทองไม่เข้าวัด และขณะดียวกันถ้าหากอยู่มุมปาราชิกก็มีสิทธิเจ๊งได้เลย อยู่มุมมรณะก็ตายเร็ว อยู่มุมโจรนี่โจรเข้าวัดแน่นอน
    ถาม : อย่างนี้ถ้าจะสร้างสถานปฏิบัติธรรมก็ต้อง .....?
    ตอบ : ก็กำหนดเอาเลยว่า เราคิดจะสร้างโบสถ์ตรงจุดไหน แล้วตัวคนเป็นเจ้าอาวาสก็เตรียมกุฏิเอาไว้ด้านที่ดี ๆ เอาไว้ อย่างถ้าตำราหลวงพ่อส่วนใหญ่ท่านนิยมมุมมหาเศรษฐี
    ถาม : ตะวันตกเฉียงเหนือ
    ตอบ : ก็จะเป็นตะวันตกเฉียงเหนือ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าจะไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมในบ้านต้องสนใจหน่อยมั้ยครับ ?
    ตอบ : ก็สนใจในเรื่องของการตั้งหิ้งบูชาพระให้หันเหนือหรือว่าตะวันออก ถ้าหากว่าหันทิศอื่นก็หมดเร็ว
    ถาม : ด้านหน้าโบสถ์นี่คือพระประธานหันหน้าไปทางตะวันออกนั่นคือหน้าโบสถ์ ?
    ตอบ : ด้านหน้าโบสถ์เลยจ้า ด้านหน้าโบสถ์นั่นมุมโจร หลังโบสถ์เป็นปาราชิก คือว่าตะวันออกเป็นโจร ตะวันตกเป็นปาราชิก ถ้าหากว่าใต้เป็นกาลกิณี เหนือเป็นมรณะ ที่เหลือบอกไปแล้ว
    ถาม : พระโมคคัลลาน์ แปลว่าไงครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าอยู่ก็ฝึกฤทธิ์ ฝึกอภิญญาได้ง่ายมุมพระสารีบุตรก็เข้าถึงธรรมได้ง่ายอย่างนี้
    ถาม : แล้วถ้าอยากได้ทั้งสองอย่าง สร้างตรงไหนดี ?
    ตอบ : ก็สลับกันอยู่ (หัวเราะ) อยู่ตรงนี้ ๓ เดือน แล้วย้ายไปอยู่นู้น ๓ เดือน
    ถาม : วัดจากกึ่งกลางที่ดินหรือวัดจากกึ่งกลางโบสถ์ครับ ?
    ตอบ : เอาโบสถ์เป็นหลัก ให้อยู่ทิศนั้น ๙๐ องศา ทิศนั้น ถ้าอยู่ในเขต ๙๐ องศานั้นก็ใช้ได้เลย
    ถาม : แต่ต้องเป็นเจ้าอาวาส ?
    ตอบ : ตัวเจ้าอาวาสจ้ะ สำคัญ นี่เขาไม่รู้ตำราแล้วก็อยู่ผิดอยู่อะไรนี่ อย่างของอาตมาตอนนี้ถ้าย้ายไปอยู่ท่าขนุน มันก็จะเป็นมุมมหาทุกขตะ แต่ว่าบังเอิญว่าเราไม่ใช่เจ้าอาวาส
    ถาม : คือว่าตอนนี้กำลังศึกษาพลังจักระอยู่น่ะค่ะ แล้วทดสอบแล้วว่ามันสามารถได้ผลจริง คือ มีพี่คนหนึ่งเขาปวดท้องมากแล้วไม่รู้จะทำยังไง ทำยังไงก็ไม่หาย ก็เลยเอาหินไปวางที่ท้อง พอวางแล้วหินมันแผ่พลังยังไงไม่ทราบค่ะพี่เขาหายปวด แล้วเอาพลังของหินที่มันผลิตรังสีบางอย่างเพื่อปรับสภาพรักษาโรคก็มีคนรักษาหายหลายรายแล้ว ทีนี้สงสัยว่าหินนี่ทำไมมันมีพลังช่วยปรับสภาพได้ ?
    ตอบ : วัตถุธาตุทุกอย่างเขามีพลังงานของเขาอยู่โดยเฉพาะพวกหินก็คือ ธาตุดินแน่นอนอยู่แล้วใช้ได้ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ส่วนใหญ่มันเกิดจากธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง เพราะฉะนั้นะถ้าหากว่ามีธาตุนั้นเสริมเข้าไปก็จะหายจากอาการป่วยอันนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักษาได้ทุกคน
    โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา คือเนื้อบางชนิดต้องใช้ยาบางอย่าง ไม่ใช่ว่าป่วยแบบเดียวกันรักษาแบบเดียวกัน แล้วอีกอย่างก็คือว่าการรักษาคนป่วย โรคบางอย่างต้องรักษาถึงหายถ้าไม่รักษาจะตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเจอประเภทรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย ขนหินลงไปสักคันรถหนึ่งจะได้กลบไปเลย (หัวเราะ)
    ถาม : แสดงว่าพลังของหินมีจริงใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : มีจริง ๆ วัตถุทุกอย่างมีพลังอยู่แล้ว อย่าลืมตำราวิทยาศาสตร์ไอสไตน์เขาบอกว่าแกนกลางของวัตถุทุกอย่างเป็นพลังงาน พวกวิทยาศาสตร์เขาก็ตามทันในจุดนี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็เชื่อเขาไว้หน่อยหนึ่ง
    คาถาขอลาภมันเป็นคำแปลก ๆ หน่อยนะฟังทันมั้ย ? จดก็ได้นะ คาถาขอลาภเขาว่าอย่างนี้ ให้กลั้นใจท่องคาถาในใจว่า ฮัดนิกุดกัดกา กากิกูสูจิ กลั้นใจว่า ๙ จบ คาถานี้เป็นของหลวงพ่อซ่วน เขาใช้แล้วได้ผลอัศจรรย์ดีก็เห็นคนเอาไปใช้กันหลายคน ส่วนคาถาป้องกันภัยหรือว่าคาถาขับมารของหลวงปู่ชุ่มนั้น ท่านให้ว่าคาถาพร้อมทั้งโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศเพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือว่าเวลาจะเจิรญกรรมฐานท่านให้ว่าคาถานี้แล้วโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศ ท่านบอกว่าป้องกันมารเข้ามาแทรกทำให้เราไขว้เขว เสียผลในการปฏิบัติ
    เพราะฉะนั้นถ้าใครใช้คาถาก็มีผลป้องกันอันตรายและก็ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีที่จะเข้ามาก่อกวนเราด้วย คาถาว่า ตะรังเมยาจามิ ว่าเสร็จก็โบกมือไปทีหนึ่งจนครบ ๔ ทิศ คำว่าทิศไม่จำเป็นต้องเหนือ ใต้ ออก ตก แต่ให้ใช้ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ของเราเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : มีคนเสนอให้ยกเลิกการประหารชีวิตของนักโทษโดยให้เหตุผลว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีข้อคิดเห็นเป็นยังไง ?
    ตอบ : มีข้อคิดเห็นเป็นยังไง ? จริง ๆ มันต้องประหารให้หนักกว่าเดิม สังเกตุมั้ยสมัยโบราณเวลาประหารชีวิต อย่างเช่นว่า ตัดหัวนักโทษ เขาจะไปแห่ประจานก่อนแล้วก็ไปประหารในที่สาธารณะให้คนจำนวนมากเห็น เพื่อที่มันจะได้เกรงกลัว ทีนี้คนเราจิตสำนึกมันไม่มีความเกรงกลัว ไม่ละอายชั่ว กลัวบาป มันก็จะทำชั่วมากขึ้นไปเรื่อยแบบเดียวกับนักโทษค้ายาบ้า เขาบอกว่าสองพันเม็ดขึ้นไปโทษประหาร แล้วมันไม่ประหารซะทีมันก็ค้าหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ระยะหลังจับได้เป็นล้าน ๆ เม็ดเลย พอโดนประหารไป ๔-๕ รายมันก็จะซาไปแต่พอโดนโทษประหารไปที ๑๕ ราย ๑๗ รายมันก็ชักจะเงียบไป
    เพราะฉะนั้นโทษเหล่านี้ความจริงม้ันจำเป็นต้องมีอยู่ การจัดระเบียบของสังคมบางทีผู้นำก็จเป็นต้องเสียสละ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้นำท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อความสุขของส่วนรวมตัวท่านเองจะตกนรกท่านก็ยอม เพราะฉะนั้นถามว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธสมควรจะยกเลิกโทษประหารชีวิตมั้ย ? คนอื่นว่าอย่างไรไม่รู้ อาตมาทั้ง ๆ ที่เป็นพระเห็นว่าไม่สมควรยกเลิก แล้วมันต้องประหารให้หนักขึ้นด้วย โทษยาเสพติด โทษข่มขืนแล้วฆ่าอะไรพวกนี้ว่ามันให้หนัก ๆ ไปเลย มันเข็ดไปเอง
    สมัยจอมพลสฤษดิ์ ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เห็นมั้ย....จับได้ตรงไหนยิงทิ้งตรงนั้นไม่กี่รายเ่ท่านั้น กระทั่งไฟยังไม่กล้าไหม้ไม่กล้าช็อต ไฟยังกลัวเลย ไม่งั้นเดี๋ยวตรงนั้นก็ไฟช็อตตรงนี้ก็ไฟช็อต
    ถาม : การค้ายาบ้าหรือการเสพมีโทษและอานิสงส์อย่างไร เมื่อตกนรกแล้วต้องรับกรรมอย่างไรแล้ว เกิดมาชาติหน้าจะมีลักษณะอย่างไร ?
    ตอบ : เอาทีละประเด็นนะ อานิสงส์หายากหน่อย ถ้ามันพอดีมันเป็นตัวกระตุ้น แต่ว่าการกระตุ้นในร่างกายมันจะทำงานเกินปกติ พอหมดฤทธิ์ยามันจะประเภทนอนแผ่ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้
    สมัยอยู่วัดท่าซุงเวลามีงานของหลวงพ่อ พระบางองค์ท่านก็จะเล่นกาแฟ บางองค์ก็กระทิงแดงผสมกาแฟ ถ้าพวกอยู่เวรยามฆราวาสบางคนถ้าไม่ไหวจริง ๆ มันก็เรียกหายาม้าเลย สมัยนั้นยาบ้ามันไม่มีมันมีแต่ยาม้า ปรากฏว่าพอเลิกงานของเราเองไม่ได้กินอย่างเขาอาศัยกำลังตัวเองเฉย ๆ พอนอนพักคืนหนึ่งรุ่งขึ้นเราออกบิณฑบาตได้ แต่ว่าคนอื่นแผ่หราหมด
    เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่ามีอานิสงส์ยังไงก็คือ ว่ามันช่วยให้มีกำลังงานขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้นและการมีกำลังของมันนั้นมันไปกระตุ้นเอากำลังงานสำรองออกมาหมด ในเมื่อกระตุ้นออกมาหมดถึงเวลากำลังสำรองไม่มีเหลือเลยอย่างนี้มันก็จะทำให้ร่างกายแย่ ส่วนโทษมันมีสารพันอย่างที่เราเห็น เกิดคลุ้มคลั่งประสาทหลอนบ้างจับโน่นจับนี่เป็นตัวประกันให้ยุ่งไปหมด หรือไม่ก็เสพเข้าไปแล้วเกิดคึกขึ้นมาเที่ยวข่มขืนเที่ยวฆ่าเขาโทษมันก็จะมี คราวนี้ว่าตัวโทษตรงนี้จริง ๆ แล้วในศีล ๕ ก็มีบัญญัติไว้พระพุทธเจ้าว่า สุราเมรยะมัชชะปมา สุราก็คือน้ำเมาที่เกิดจากการกลั่น เมรัยน้ำเมาที่เกิดจากการหมักดอง มัชชะของมึนเมาทั้งปวงทำให้ขาดสติ
    เพราะฉะนั้น พวกยาเสพติดต่าง ๆ มันน่าจะอยู่ในประเภทมัชชะคือของมึนเมาทำให้ขาดสติ ตายแล้วจะตกนรกยังไงล่ะ ก็คงไปขุมพวกยมโลกีย์นรก เพราะยมโลกีย์นรกนี่เขาก็จะแยกละเอียดว่าจะลงโทษเกี่ยวกับอะไร ๆ พวกนี้มันลักษณะของมันใช้เสพอะไรก็คงเจอตามโพทกนรก เอาน้ำทองแดงกรอกปากอยากมากใช่มั้ยใสลงไปเลย (หัวเราะ) ตามโพทกนรก-นรากน้ำทองแดง ตามพะ-ทองแดง
    ถาม : ......................
    ตอบ : มันสงเคราะห์เข้ากับของเก่าได้ พระพุทธเจ้าท่านอ้างเอาไว้ในมหาปเทส ๔ สิ่งที่ไม่สมควรสงเคราะห์แล้วเข้ากับสิ่งไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร ท่านจะมีข้ออ้างใหญ่ให้อ้างอยู่ได้ ๔ ข้อ สิ่งที่เห็นว่าไม่สมควรแต่สงเคราะห์แล้วเข้าสิ่งที่สมควร สิ่งนั้นก็สมควรทั้ง ๆ ที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นว่าไม่ควรแต่ว่ามันเหมาะมันสมมัุนใช้ได้อย่างนี้ สิ่งนั้นก็สมควร
    ถาม : ถ้าเราได้ไปนิพพานในชาตินี้ ก่อนตายเราจะอธิษฐานให้กระดูกของเราเป็นไปได้ตามที่เราต้องการ ?
    ตอบ : ได้ คือการที่กระดูกเป็นพระธาตุมันเกิดอยู่ได้ ๒ สถานด้วยกัน สถานแรกคือ เจ้าของกระดูกอธิษฐานไว้เองให้เป็น สถานที่ ๒ เพื่อกำลังใจของคนหมู่มากลูกศิษย์ลูกหานับถือ พระท่านจะทำให้เป็น ถ้าพ้นจาก ๒ สถานนี้ไปแล้วยังไม่พบว่ามีใครที่ทำให้เป็นได้ หลวงปู่มั่นท่านมรณภาพไปแล้ว ๓๐ กว่าปีแล้วกระดูกถึงเป็นพระธาตุเพราะลูกศิษย์ลูกหาเคารพท่านมาก พระท่านก็เลยสงเคราะห์ให้เป็นไม่งั้นเดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อว่าอาจารย์เขาดีจริง
    ถาม : การทำกรรมฐานแบบพิจารณา เช่น การเดินจงกรม การกินข้าวในทุกอิริยาบทแบบช้า ๆ สโลโมชั่น แบบนั้นตรงตามความต้องการตามคำสอนแบบพระพุทธเจ้าหรือไม่ ?
    ตอบ : กล่าวว่าตรงก็ได้แต่ไม่หมด เพราะว่าคนที่แรกฝึกหัดกำลังใจยังไม่ละเอียด ถ้าหากว่าทำอะไรเร็ว ๆ อย่างเช่นว่า เดินเร็ว กินเร็ว บางทีจะพิจารณาไม่ทัน เขาจึงต้องเริ่มจากช้าไปก่อน แต่พอมีความคล่องตัวแล้วก็ทำได้ดีขึ้นเร็วขึ้น
    อย่างหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงท่านบอกว่า ครูบาอาจารย์บอกว่าสอนผมว่าให้ผมฉันช้า ๆ ค่อย ๆ พิจารณาไป แต่พอไปร่วมวงฉันกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ฉันเร็วมาก เสร็จแล้วท่านก็เลยนึกตำหนิท่านอาจารย์ในใจ ปรากฏว่าท่านอาจารย์หยุดฉัน หันมามองหน้าท่านแล้วบอกว่า คนที่ขับรถเร็วแล้วปลอดภัยน่ะมีอยู่ แต่ของท่านเพิ่งหัดขับเพราะฉะนั้นท่านต้องไปช้า ๆ ก่อน (หัวเราะ)
    ดังนั้นว่าที่ถ้าถามว่าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้ามั้ย ? ระยะแรกที่ยังไม่คล่องตัวก็ถือว่าตรงแต่มันยังตรงไม่หมด พอถึงเวลาคล่องตัวแล้ว เราอยู่อริยาบทไหนมันมีสติรู้อยู่พิจารณาได้ถ้าอย่างนั้นก็เร็วเท่าไหร่ก็ได้
    ถาม : อย่างนี้ถ้าใครทำอย่างนี้อย่าเพิ่งไปตำหนิเขา ?
    ตอบ : อย่าเพิ่งไปติเขา เรารู้สึกว่ามันช้าเกินไปไม่เหมาะใจเรา ๆ ก็หลีกไปซะ
    ถาม : ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าตากสินได้ไปฝึกทำกรรมฐานจนเ้พ้อว่าตัวเองเหาะได้ เป็นบ้าแล้วได้ถูกประหารในที่สุดจริง ๆ แล้วทำกรรมฐานเป็นบ้าได้หรือไม่ ? ท่านเป็นบ้าจริงหรือไม่ ?
    ตอบ : อันนี้แยกเป็น ๒ ประเด็น ทำกรรมฐานแล้วเป็นบ้าได้หรือไม่ ? ถ้าทำถูกไม่เป็นแน่นอน ถ้าทำผิดนั่นเป็น ที่ผิดคือทำหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมพักไม่ยอมผ่อนร่างกายมันทนไม่ไหว ประสาทมันเครียดก็เลยออกอาการวิปลาสไป อันนี้ส่วนใหญ่มันจะเป็นคนที่ทำถึงระดับปีติ พอปีติมันเกิดนี่ ทีนี้มันไม่รู้จักอิ่งไม่รู้จักเหนื่อยในการปฏิบัติ ขาดสติไม่รู้จักพักผ่อน พอร่างกายทนไม่ไหวก็พัง
    เพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่าถ้าใครทำกรรมฐานแล้วบ้ามาให้ข้ารักษาข้าไล่ส่ง เพราะว่าข้าสอนใครไม่เคยบอกให้ใครบ้า เพราะฉะนั้นมันไปทำแล้วบ้าแปลว่ามันไปทำผิดที่ข้าสอน ส่วนพระเจ้าตากสินบ้าจริงหรือไม่ ? บ้าจริงตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ แต่ว่าบ้าปลอมในความเป็นจริง เพราะว่าท่านเองท่านตัองการจะผลัดแผ่นดิน ถ้าไม่มีข้ออ้างแล้วรัชกาลที่ ๑ ไปผลัดแผ่นดินคน คนจะไม่ยอมรับนับถือ ท่านก็เลยต้องเสียสละตัวท่านเอง
    ถาม : ทำไมบางคนนอนถึง ๑๐ ถึง ๑๒ ชั่วโมงยังไม่รู้สึกอิ่ม บางคนรู้สึกว่านอน ๓-๔ ชั่วโมงเพียงพอแล้ว แพทย์บอกว่านอนวันละ ๘-๑๐ ชั่วโมง จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร ?
    ตอบ : พอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ตัวนี้โยมเข้ามาถึงมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าได้ ตัวพอดีมันไม่ใช่ขีดเส้นเป๊ะ ๕๐% มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ได้รับได้ฝึกมา พระที่ได้รับการฝึกอบรมทางจิตมาดีนอนพักสัก ๒-๓ ชั่วโมงเท่ากับคนทั่ว ๆ ไป พัก ๘-๑๐ ชั่วโมงเพราะว่ากำลังใจท่านละเอียดถึงเวลาแล้วร่างกายมันได้พักผ่อนจริง ๆ ถ้ายิ่งท่านเข้าฌาน ๔ ก็เท่ากับว่าอวัยวะภายในท่านได้พักไปด้วย พวกที่ทำงานอัตโนมัติอย่างพวกกระเพาะ พวกปอด พวกหัวใจได้พักไปด้วย
    เพราะฉะนั้นพักน้อยก็เหมือนกับได้พักเยอะ ถามว่าอันไหนถึงจะพอเหมาะพอควร มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ได้ฝึกมาจะมากจะน้อยต่างกันอย่างไร แต่ว่าถึงเป็นพระปฏิบัติมาก็ตามถ้าว่าขาดการพิจารณา อย่างเช่นว่า ฉันอาหารโดยไม่บันยะบันยังหรือว่าฉันอาหารที่ก่อให้เกิดโทษ ทำให้มันมึนง่วงซึมอะไรอย่างนี้ บางทีก็ว่ายาวเป็น ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน
    ฉะนั้นอยู่ที่วัดจะเตือนท่านบ่อยเรื่องนี้บอกพวกคุณพิจารณาอาหารเรปฏิกูลสัญญา คุณพิจารณาจนช่ำชองแล้ว คุณเชื่อมั่นแน่นอนแล้วว่าอาหารทุกอย่างสกปรก หลังจากนี้ไปคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาแล้ว เพราะว่าคุณรู้จนขึ้นใจช่ำใจแล้ว ก็พิจารณาแค่ว่าอาหารที่คุณจะฉันเข้าไปอันไหนมันจะเกิดโทษกับตัวคุณ อย่างเช่น มันเย็นเกินไปจนทำให้คุณเป็นไข้หรือเปล่า ? หรือว่าร้อนเกินไปมันจะทำให้คุณเสียงแหบแห้งจนสวดมนต์ไม่ได้หรือเปล่า ? หรือว่าฉันเข้าไปมันจะทำให้คุณเกิดกำหนัดหรือเปล่า ? คุณพิจารณาตรงนี้แล้วอันไหนเป็นโทษกับเรา ๆ ก็งดเว้นตรงนี้ซะ
    ถาม : ปราสาทนครวัดนครธมและปิระมิด คนสร้างได้จริงหรือไม่ เพราะมีขนาดใหญ่โตมากหรือใช้ฤทธิ์อย่างอื่นสร้างครับ ?
    ตอบ : ก็มันมีหลายอย่างรวมกันนะ ถ้าหากถามว่าคนสร้างจริงได้หรือไม่ ? ได้จริง ๆ ถามว่าใช้ฤทธิ์หรือเปล่า ? มันเป็นฤทธิ์อยู่อย่างหนึ่งคือ ฐานาฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะสูง บรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์ หรือว่าพระเจ้าจักรพรรดิราชท่านบัญชาลงไป เป็นตายยังไงคนมันก็ต้องทำให้ได้
    ส่วนลักษณะที่ว่าใช้ฤทธิ์หรือเปล่า....บางทีก็บอกว่าใช้ฤทธิ์ เขาเรียกว่า วิชชามัยฤทธิ์ อย่างพวกเครื่องกล เครื่องผ่อนแรง พวกรอก พวกคาน คานดีด คานงัด อย่างนี้มันก็ใช่อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกนี้มันมีหลายอย่่างอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งถึงอันสุดท้ายใช้พลังจิต อย่างพวกวาโยกสิณ ของหนักอธิษฐานให้เบา ลักษณะนั้นก็ทำได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : การบรรลุธรรมนั้นจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องบรรลุธรรมในวัดหรือในป่า บรรลุธรรมในบ้านได้หรือไม่ ?
    ตอบ : สถานที่ไหนก็ได้ถ้ามันเหมาะมันสม อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ว่าสถานที่สัปปายะ คือสถานที่มันเหมาะ หมายถึงอยู่ในที่สงัดไม่เกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน อาหารสัปปายะ หมายความว่า อาหารมันเหมาะกับธาตุขันธ์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าคนแพ้ข้าวเหนียวแล้วไปอยู่ภาคอีสานอย่างนี้มันก็แย่ อากาศสัปปายะ ก็คือว่าไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปเป็นที่พอดีสบาย
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีส่วนมากสำหรับผู้ฝึกในระยะแรกเริ่ม แต่ว่าผู้ที่กำลังใจทรงตัวแล้วสถานที่ไหนก็เหมาะสำหรับท่าน ตรงจุดไหนก็ตามก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ เพียงแต่ว่าความพยายามในการใช้มันมากน้อยต่างกัน ถ้าในสถานที่ ๆ เคยมีพระที่บรรลุมรรคผลอยู่ก่อนแล้วพลังงานของท่านจะหลงเหลืออยู่ พอเราไปตรงจุดนั้นพลังงานของท่านจะหนุนเสริม ทำให้กำลังใจของเรามันเข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ว่าถ้าไม่มีที่ในสถานที่นั้นต้องตะเกียกตะกายเอง เหมือนกับว่าสถานที่หนึ่งมีหนทางให้เราอาศัยขึ้นภูเขาได้ ได้รับการหักล้างถางพอมาดีแล้วมันก็จะสะดวกสำหรับเรา
    แต่ถ้าหากว่าเราต้องไปบุกป่าฝ่าหนามปีนเขาปีนห้วยเองมันก็ลำบากหน่อยแต่มันถึงเหมือนกัน ถ้าถามว่าสถานที่ไหนเหมาะ ทุกที่ก็ได้นะ แต่ถ้าหากว่าได้ที่ ๆ เป็นสัปปายะจริง ๆ ก็เป็นอันว่าอันนั้นน่ะวิเศษเลย
    ถาม : คนในอดีตที่มาเกิดในชาติปัจจุบัน ถ้าเป็นคน ๆ เดียวกันมาเกิดแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะต้องมีหน้าเหมือนหรือคล้ายกัน ?
    ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะว่าเรื่องรูปร่างหน้าตานี่รูปร่างไม่เปลี่ยนจะมีรูปร่างคล้ายคลึงชาติเดิม แต่ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำ อย่างเช่นว่า ถ้าเจ้าโทสะก็จะขี้เหร่หน่อย ถ้าหากประกอบไปด้วยเมตตาหรือศีลนี่หน้าตาก็จะสวยงามเป็นที่ต้องตาต้องใจคนอื่นเขา แต่ว่าสิ่งที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยน ต้องใช้คำว่าไม่ค่อยจะเปลี่ยนคือ
    ๑. ลักษณะรูปร่าง อาตมาเองเคยเห็นคนบางคนพอเห็นปุ๊บนี่สะดุดใจเลย พอนึกย้อนไปอ๋อ....ที่แท้เราเคยเห็นมาก่อน แต่ว่ามันไม่ใช่ชาตินี้ เคยสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน รูปร่างเขาเหมือนเดิมทุกอย่าง
    ๒. ลักษณะนิสัย เคยชอบอย่างไงก็จะเป็นอย่างนั้น กินอาหารแบบไหนถนัดเกิดมาชาตินี้มันก็จะกินแบบนั้น เพราะฉะนั้นลักษณะรูปร่างลักษณะนิสัยนี่มันไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ลักษณะหน้าตานี่เปลี่ยนแน่
    ถาม : ถ้าหน้าเหมือนกับชาติที่แล้ว ?
    ตอบ : เป็นไปได้เหมือนกันก็แสดงว่าความดีเขาสม่ำเสมอ
    ถาม : การที่ผู้ปกครองมีค่านิยมให้ลูกหลานให้เรียนถึงปริญญาตรีใช้เวลาเรียนถึง ๑๖ ปี ค่านิยมนี้บางครั้งเวลาจบออกมาก็ไม่มีงานทำ ขณะที่คนไม่ได้เรียนหรือเรียนน้อยกับประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อย่างนี้ควรตั้งอารมณ์ความคิดไว้อย่างไร หรือถ้าเรียนทางโลกนั้นควรจะยึดถืออยู่ระดับใด ?
    ตอบ : โบราณท่านบอกว่า รู้จริงแล้วสิ่งเดียวอาจมีมั่ง เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อยชั่วลื้อเหลนหลาน ขอให้ชำนาญจริง ๆ อย่างเดียวก็เป็นอันว่าคุณเอาตัวรอดได้แน่นอน การเรียนมากส่วนใหญ่มันจะตกลักษณะความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะว่าความชำนาญจริง ๆ มันไม่มีอย่างหนึ่ง
    แล้วในขณะเดียวกันว่าอาจจะไปเรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้ชอบเลย แต่ว่าโดนผู้ปกครองฝืนใจให้เรียน แล้วถามว่ารู้สึกอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับอันนี้ ใครก็ตามที่สามารถเอาตัวรอดได้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เรียน แต่ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยของโลก เขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยของทางราชการ มหาวิทยาลัยของโลกประสบการณ์มันเยอะ ของสหรัฐเขาจัดโครงการไอสไตน์น้อย เขาจะเอาเด็กที่มีไอคิวสูงเกิน ๑๒๐ ขึ้นไปมาศึกษาเรียนรวมกัน ปรากฏว่าพังบรรลัยหมดเลย
    เพราะว่าเด็กพวกนี้มันมีแต่ไอคิว คือสมองในด้านกำหนดจดจำของเขา มันไม่มีอีคิว คือการรักษาอารมณ์ เขาเรียกว่าวุฒิภาวะ ในเมื่อวุฒิภาวะไม่พอเอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองฉลาด ก็เลยเข้าสังคมกับเขาไม่ได้ พอเอาไปรวมกันก็แตกกันบรรลัยหมด
    เพราะฉะนั้นในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียนมากฉลาดมากไม่ใช่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ว่าคนที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง เอาตัวรอดได้ในสังคมในโลกกว้างนี่ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จน่าสรรเสริญ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าสมมุตเรามีลูกก็ไม่จำเป็นจะต้องตั้งเป้าว่าจะต้องจบปริญญาตรี ?
    ตอบ : ไม่จำเป็น นั่นเป็นการบีบคั้นกดดันลูกมากเกินไป อย่างเช่น ตอนนี้อาตมาส่งเด็ก ๆ เรียนอยู่ก็บอกเขาว่าให้เรียนเต็มที่ ถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น หลวงพ่อไม่เคยตั้งความหวังอะไรกัีบหนูหรอก
    ถาม : ถ้าฆราวาสได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ได้บวช ในวันรุ่้งขึ้นก็จะตาย ในปัจจุบันนี้ที่ผ่านมาไม่นานมีหรือไม่ครัึบ ?
    ตอบ : มันน่าจะมีอยู่้ แต่ว่าของเราเองนี่เนื่องจากการพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็เลยไม่มีใครที่จะไปชี้ว่าคนนั้นเป็นพระอรหันต์ คนนี้บรรลุมรรคแล้วตาย แต่ขอยืนยันว่ายังมีอยู่ มีเป็นปกติด้วย ทำถึงเมื่อไหร่ถ้าหากว่าเป็นฆราวาสอยู่ก็ตายเมื่อนั้น
    ถาม : การที่เราจะรู้ว่าของเก่าทุนเดิมของเราได้ฝึกในวิชชา ๓ หรือฝึกอภิญญามาอันนี้เราจะสังเกตดูได้จากไหน ?
    ตอบ : อันนี้ดูจากจริต นิสัยเฉพาะตนโบราณใช้คำว่า อัชฌาสัย คือความรักชอบเป็นส่วนตัว ตัวเองชอบแบบไหน อย่างเช่น หลวงพ่อท่านเปรียบเทียบว่า เขาเอาของวางไว้ เราอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นอะไรแล้วเราเปิดดู นี่ก็เป็นลักษณะของวิชชา ๓ ของเขา แต่ถ้าเปิดดูยังไม่พอเอาของเขามารื้อด้วยอย่างนี้เป็นอภิญญา ๖ ไอ้รื้อด้วยไม่พอมันจับวิจัยแยกธาตุเลยว่ามีสารประกอบอะไรบ้างพวกนี้ปฏิสัมภิทาญาณ
    เพราะฉะนั้นจริตของแต่ละคนดูออกได้เลยโบราณเรียกว่าอัชฌาสัย ถ้าพวกประเภทวางลงไปแล้วเขาบอกว่าเออแก้วน้ำนะอยู่ในกล่องนี้ เขาก็เชื่อว่าแก้ว แล้ววางลงไปที่เดิมนี่สุกขวิปัสสโกแน่นอน
    ถาม : คนกล่าวกันว่าคนสมัยนี้อายุยืนขึ้นเพราะว่าการแพทย์สารธารณสุขดี จริง ๆ แล้วมีส่วนหรือไม่ หรือเป็นการทำปาณาติบาตน้อย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าอายุยืนขึ้นนี่อานิสงส์ของการเว้นจากปาณาติบาตแน่นอน พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เคยเป็น ๒ สิ่งที่ท่านพูดต้องถูกต้องแน่นอน อย่าลืมว่าการแพทย์สมัยนี้ถึงมันจะเจริญขึ้นก็จริง แต่ถ้าบุญคนมันไม่เหมาะสมมันก็จะไม่ได้มาเกิด ในเมื่อเขามาแล้วอายุเขายืนขึ้น สามารถอยู่ต่อได้นานขึ้นก็แปลว่าตัวบุญที่เขาทำมามันส่งให้มาตอนช่วงนี้
    ถาม : ก็ไม่เกี่ยวเรื่องแพทย์น่ะซิ ?
    ตอบ : มันมีส่วนเกี่ยวอยู่ เรื่องการแพทย์ที่มันช่วยได้เพราะบุญเก่ามันเสริม มันต่างคนต่างเสริมกัน ถ้าไม่มีบุญเก่าก็ไม่มีโอกาสมาเกิดในยุคที่การแพทย์มันดี ๆ
    ถาม : อ๋อ เขามาสรุปที่ว่าอายุยืนขึ้น......
    ตอบ : ใช่ นั่นมันสรุปแค่ที่มันเห็นไง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : การจัดงานฉลองวันเกิดจริง ๆ แล้วจัดได้หรือไม่ เพราะว่ามีคนเขาบอกว่าจัดงานวันเกิดแล้วเป่าเค้กไม่มีผล ?
    ตอบ : อันนั้นมันแล้วแต่เขา ถ้าเขาชอบอย่างนั้นแล้วสบายใจก็ให้เขาทำไป จริง ๆ แล้วลักษณะของงานวันเกิดนี่ของอาตมาเอง วันเกิดตัวเองนี่มันน่าจะนึกถึงพ่อแม่ของตัวเอง โดยเฉพาะแม่วันที่เราเกิดนั่นเป็นวันที่แม่เกือบจะตายใช่มั้ย ? บุญคุณของพ่อแม่ที่ทำให้เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาได้ปฏิบัติธรรมได้ถึงทุกวันนี้ พ่อแม่ให้ร่างกายเรามาแล้ว เรามาพบพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดใหม่ทางใจอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
    ในแต่ละชาติที่เกิดมาบางชาติเราได้พบพระพุทธเจ้า บางชาติเราได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าทีเป็นแสนองค์ บางชาิติเราได้พบพระอรหันต์ทีละหลาย ๆ องค์ แต่ว่าไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราก็มีพ่อหนึ่งองค์แม่หนึ่งองค์ เพราะฉะนั้นพ่อแม่น่ะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์ในเรือน เป็นพระอรหันต์ในบ้านของตัวเอง
    เพราะฉะนั้นวันเกิดของตัวเองควรจะเป็นวันที่นึกถึงพ่อนึกถึงแม่ เป็นวันที่ควรจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพ่อกราบแม่ขอพรจะดีกว่า เสร็จแล้วเราจะทำบุญตักบาตรสร้างความดีในจิตใจของเราก็ทำไป แต่ว่าถ้าโดยในจริง ๆ แล้วสมัยนี้มันเฝือเกินไป โบราณเขานิยมทำบุญอายุครบ ๖๐ ปี ครั้งเดียวหลังจากนั้นแล้วก็จะทำลักษณะว่าครบ ๑๐ ปีทำทีหนึ่ง หรือครบรอบ ๑๒ ปีทำทีหนึ่ง จากนั้นก็จะเป็นครบ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ๙๐ หรือไม่ก็จะเป็นครบ ๖๐ ๗๒ ๘๔ ๙๖ เขาจะไม่ทำกันพร่ำเพรื่อเหมือนสมัยนี้
    เพราะว่าสมัยโบราณเขาถือกันเหมือนกัน ยิ่งถ้าหากว่าคนที่เป็นคนที่นับถือของคนจำนวนมากแล้ว เวลาจัดงานลักษณะอย่างนั้้นคนก็จะแห่กันไปเอาของไปช่วยเอาเงินไปช่วยอะไรอย่างนี้ เขากลัวว่าการจัดงานมันจะเป็นการเบียดเบียนคนอื่นเขา ทำให้คนอื่นเขาลำบากเขาก็เลยไม่พยายามจัด แต่สมัยนี้ยิ่งพวกข้าราชการบิ๊ก ๆ นี่ขยันจัดกันทุกปี เพราะจัดแล้วได้ตังค์แน่ ๆ
    ถาม : เขาเป่าเค้กก็ไม่บาปนะครับ ?
    ตอบ : ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไปเถอะ
    ถาม : .........(ไม่ชัด)............. ๗๙% การใช้พลังจิตคือการนำจิตใต้สำนึกของคนมาใช้ การสะกดจิตคนที่นอนหลับให้พูดหรือทำสิ่งต่าง ๆ หรือการใช้พลังจิต เช่น การใช้กระดาษตัดตะเกียบหรือการสะกดจิตให้คนสามารถยกของหนัก ๆ ได้ อย่างนี้เป็นอารมณ์ของสมาธิหรือไม่ และอยู่ในการใช้อารมณ์ของฌานหรือไม่ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอารมณ์ของสมาธิหรือไม่ มันเป็นสมาธิที่โดนชักจูงด้วยพลังงานภายนอก อย่างเช่นว่า พลังจิตของคนที่เขาสะกดนี่แล้ว ก็ไปดึงเอาพลังงานแฝงในร่างกายของเขาออกมา ทำให้เขาสามารถทำในสิ่งที่ปกติแล้วทำไม่ได้ออกมา แล้วถามว่าเป็นสมาธิหรือไม่ เป็นเหมือนกัน แต่ว่าเป็นโดยลักษณะชักจูงของเขาโดยเกิดการกระตุ้นจากภายนอก การกระตุ้นจากภายนอกนี่พวกสารเสพติดต่าง ๆ ก็จะกระตุ้นได้ อย่างเช่น กินยาม้าเข้าไปแล้วก็แข็งแรงผิดปกติอย่างนี้ เป็นต้น
    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาบอกมามันใช่ของเขาตามหลักการค้นคว้าของเขา แต่ว่าสภาพของมันจริง ๆ แล้วจิตมีพลังงานมากกว่านั้นมากอย่างมหาศาลเลย พวกที่วิทยาศาสตร์เขาสามารถทำได้นั่นมันแค่ผิว ๆ อยากจะเรียกว่ายังไม่เข้าสู่หมายเลขหนึ่งซะด้วยซ้ำ ขณะที่จริง ๆ มีเป็นพันล้าน
    ถาม : มันแค่เปลือก ๆ
    ตอบ : แค่สะเก็ดด้วยซ้ำ ไม่ถึงเปลือกเลย อย่าว่าแต่กระพี้หรือแก่นเลย
    ถาม : หลวงพ่อท่านเล่าว่าตอนที่ไปเทวสภาพบเทวดาเป็นสิบล้าน จริง ๆ แล้วเทวดาที่อยู่บนสวรรค์มีมากกว่านี้หรือไม่ และถ้ามากกว่าสิบล้านทำไมท่านถึงไม่ได้มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หรือว่าท่่านมีภารกิจอย่างอื่นด้วย ?
    ตอบ : สวรรค์ชั้นเดียวเทวดาก็เกินสิบล้านแล้ว มีตั้ง ๑๖ ชั้น แล้วเหตุที่ไม่มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าทั้งหมดก็เพราะว่า อันดับแรกที่ติดภารกิจ อย่างเช่นว่าต้องดูแลรักษาสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา หรือว่าสิ่งที่เป็นทรัพย์ในแผ่นดินเป็นอะไร หรือไม่ก็อีกอย่างหนึ่งก็คือมัวแต่เพลินเพลินกับกามสุขจนไม่ได้้ใส่ใจกับการปฏิบัิติเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง
    ส่วนหลังนี่มากนะ เพลินอย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร อากาศจารีเทพบุตร ไปแงะออกจากวิมานยังไม่ค่อยอยากจะมา กว่าจะรู้ว่าตัวเองหมดอายุแล้วมีอายุขัยแค่ ๗ วัน ตกใจซะเหงื่อโทรมเลย นั่นน่ะขนาดนั้นยังเพลินยังไม่รู้ตัว
    ถาม : ท่านพระโสดาบันที่ต้องมาเกิดอีก ถ้าเกิดมาในชาติต่อไปท่านจะเป็นพระโสดาบันโดยกำเนิดเลยหรือไม่ หรือต้องมาบรรลุธรรมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ?
    ตอบ : มันเป็นโดยกำเนิด สภาพจิตที่เป็นพระอริยะ อริยะแปลว่า มีแต่เจริญขึ้นไม่มีการเสื่อมถอย ของท่าน ๆ จะรักษาความเป็นโสดาบันโดยอัตโนมัติเลย แต่ว่าท่านก็ไม่รู้ตัวเองเป็นโสดาบัน ไม่รู้....แต่ว่ารักษาคุณสมบัติได้ครบถ้วนจนกว่าจะมีผู้รู้มาบอกว่าลักษณะอย่าง ๆ เป็นคุณสมบัติของโสดาบัน ท่านก็อ๋อ....ความจริงเราก็ทำได้นี่นา (หัวเราะ) เหมือนกับคนที่มีเงินอยู่ในกระเป๋า โห....เงินเต็มไปหมดถึงเวลาเอาเงินเอาทองออกมาตรวจมานับอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าไอ้นั่นน่ะเป็นเงินเป็นทองของตัวเอง จนกระทั่งเขาบอกว่า เฮ้ย ! ไอ้ลักษณะนี้มันเป็นเงินเป็นทองนะ เอาไปใช้ได้ ก็ โถ....เรามีอยู่เยอะแยะไป

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    พระชำระหนี้สงฆ์


    รายชื่อต่อไปนี้คือผู้จองพระชำระหนี้สงฆ์ไว้ กรุณาตรวจทานรายชื่อ และจำนวนเงินให้ถูกต้อง หากมีผิดพลาดกรุณาแจ้งขอเปลี่ยนแปลงด่วน เนื่องจากทางช่างเตรียมแกะสลักป้ายชื่อหินอ่อนแล้ว

    คณะพระอาจารย์สมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโต และคุณกุลวดี ตั้งคารวคุณ
    สร้างถวาย ๑๘๑,๕๐๐ บาท

    คุณกมลา
     
  16. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    งานวันวิสาขบูชา ณ. วัดพระธาตุห้าดวง


    วัดพระธาตุห้าดวง ต.ลี้ อ. ลี้ จ.ลำพูน ได้จัดงานเนื่องในวันวิสาขบูชา ระหว่าง วันที่ ๒๑-๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ดังนี้

    - จัดให้มีการบวชเนกขัมมะ ปฏิบัติธรรม ตลอดช่วง ๓ วัน กล่าวคือ ผู้ถือบวชต้องถือศีลแปด ปักกลดและแต่งกายด้วยชุดขาว (ผู้ประสงค์จะถือบวชให้ติดต่อแจ้งความประสงค์ไปที่วัด, ให้นำกลัดไปด้วย ส่วนเสื่อ-หมอน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...