ฉบับที่ ๑๙ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 13 กันยายน 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : ใช้คำที่ว่าสมเด็จพระประทีปแก้วบ้าง สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ สมเด็จพระอะไรอย่างนี้ไป....?
    ตอบ : หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์เดียว คืออันนั้นความเคยชินของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อท่านจะเป็นพระนักเทศน์ พระนักเทศน์ส่วนใหญ่แล้วสำนวนเทศน์มันมีอยู่ ถ้าสังเกตดูถ้าเราอ่าน ๆ ไปจะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่คล้องจองกับคำหน้า ในเมื่อถ้าหากว่าคล้องจองกับคำหน้า ท่านก็จะใช้คำที่มันคล้องกันไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นมันเหมือนอย่างกับว่าเป็นโคลงเป็นกลอนอะไรบางอย่างเลยล่ะ เพียงแต่ว่าเราต้องฟังจากหลวงพ่อเองถ้าหากว่าอ่านจากในหนังสือมันขาดตัวจิตวิญญาณหรือความรู้สึกไปเยอะเลย
    ถาม : ........(ไม่ชัด)........อย่างเขาได้รับต้องมีกำลังมาก.....(ไม่ชัด).....(ถามเกี่ยวเรื่องกันมาร)?
    ตอบ : ก็อาจจะมีนะ อาจจะมีแต่ให้เขาขวางไปเถอะ การที่เขาขวางจริง ๆ เขาไม่ใช่ศัตรู เขาเป็นครูที่ดีที่สุดที่เราพึงหาได้ จำไว้นะ.... ครูคนนั้นขยันทดสอบมากทุกเวลา ทุกวินาที เราเปิดช่องเมื่อไหร่เอาทันทีออกข้อสอบเดี๋ยวนั้นเลย ข้อสอบก็ ๔ หัวข้อใหญ่ รัก โลภ โกรธ หลง แค่นั้นแหละแต่ว่าสามารถจะแตกกระจายออกได้เป็นล้าน ๆ ข้อ งั้นเผลอเมื่อไหร่เสร็จ! แต่ว่าอันไหนที่เราสามารถทำได้ก้าวผ่านไปแล้วกำลังใจเราไม่ตกต่ำอีก ดังนั้นท่านไม่ใช่ศัตรูแต่ท่านเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเราสอบตกก้าวไม่ผ่านท่านกลายเป็นมาร คือผู้ขวางความดีของเราไใช่มั้ย ? อันนั้นเป็นความผิดของเราเองไม่ใช่ความผิดของท่านเราผิดเพราะเราสอบตก
    ถาม : อย่างนี้เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นนี่แสดงว่าเราต้องข้ามให้ได้ ?
    ตอบ : ใช่ อุปสรรคสร้างความแข็งแกร่ง ถึงเวลาก้าวข้ามได้แล้ว กำลังใจในระดับนั้นมันจะไม่ถอยลงมาอีก ยกเว้นจะเจอที่ละเอียดกว่านั้น ต่อไปเปลี่ยนความคิดนะ มารไม่ใช่ศรัตรูเป็นครูที่ดีมาก ถ้าทำ ๆ ไปถึงมันเหมือนกับว่าโลกทัศน์มันพลิกกลับ มันจะเห็นความดีในทุกสิ่งทุกอย่างเลยไม่มีใครเป็นศัตรู...?ต่อไปก็ทำกำลังใจในลักษณะที่ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ท่านมีหน้าที่ขวางท่านก็ขวางไป เรามีหน้าที่หนีท่านให้พ้นเราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเราเอง ไม่มีใครเป็นข้าศึกเป็นศรัตรูต่อกันทุกฝ่ายต่างกำลังเป็นไปตามกรรม คือการกระทำของตน?ฟังดูแล้วเหนื่อยน้อยลงเยอะเลย
    ถาม : อย่างนี้เป็นพรหมวิหาร ๔ รึเปล่าคะ ?
    ตอบ : เป็นพรหมวิหาร ๔ ด้วย เป็นปัญญาด้วย?ตอนนี้ฉลาดขึ้นมาหน่อย ไม่ได้มีข้าศึกศัตรูสักหน่อยแล้วเราก็ไปเที่ยวไล่ตีกับเขา จับมือดีกันไม่ต้องทะเลาะกับเขาไม่ดีเหรอ
    ถาม : พอดีดูละคร เขาให้....(ถามเกี่ยวกับลุงพุฒ) ?
    ตอบ : พวกนั้นเข้าใจผิดกันเยอะเลย บางคนเข้าใจว่าพระยายมราช คือ ท้าวเวสสุวรรณซะด้วยซ้ำ เขาจะเข้าใจผิดกันเยอะมาก?ลุงพุฒ จริง ๆ ก็คือพระยายมราช ท่าน พระยาวสวัตตีมาราธิราชองค์ก่อนคือท่านท้าวมาลัยซึ่งเคยปราถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าและจะตรัสรู้ในกัปเดียวกับ พระราม แต่ว่าปัจจุบันนี้ท่านลาพุทธภูมิขอไปนิพพานแทนแล้ว ไม่เอาแล้วเหนื่อย วสวัตตีมาราธิราชนี่เหมือนกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พอนายกคนหนึ่งพ้นตำแหน่งไปอีกคนหนึ่งก็ขึ้นมาแทนไปเรื่อย ๆ เพราะว่าฝ่ายมารก็เยอะ ถามว่าทำไมถึงเกิดเป็นมาร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นปกติแล้วมีจิตเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แต่ว่าได้ทำบุญใหญ่ไว้ ผลบุญนั้นก็เลยส่งผลให้ไปอยู่สวรรค์ชั้นสูงสุด กามาวจรสวรรค์ชั้นสูงสุด คือชั้น ปรนิมมิตวสวัตตีจะแบ่งเขตกับเทวดาคนละครึ่ง มารอยู่ครึ่งหนึ่งเทวดาอยู่ครึ่งหนึ่ง
    ถาม : เคยบอกว่าให้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกแล้วจะไม่เป็น ทำแล้วคือยังเป็นอยู่ (อาการวูบ) ?
    ตอบ : ถ้ายังเป็นอยู่แสดงว่า สติมันตามไม่ทัน อาการลักษณะเหมือนตกจากที่สูงเขาเรียกว่าพลัดจากฌาน ?คือกำลังใจหลุดจากฌานลงสู่อารมณ์ปกติ ขณะที่เราภาวนาแล้วกำลังใจมันเริ่มเข้าสู่ ปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าสติมันตามไม่ทันมันขาด พอขาดปั๊บ!มันก็หลุดออกมา พอหลุดออกมา อาการหลุดออกมาน่ะมันก็คือตกลงมา เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้มันแน่นอนกว่าเดิม
    ถาม : กำหนดลมหายใจเข้าออก ?
    ตอบ : คือเอาสติจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกให้มันหนักแน่นมั่นคงกว่าเดิม พยายามค่อย ๆ ตามมันไปเรื่อย ถ้าหากว่ามันก้าวข้ามเป็นฌานมันจะทรงตัวไปเลย ลักษณะนั้นบางทีบางคนที่จิตหยาบมากกว่านั้นเข้าสู่ปฐมฌานหยาบจริง ๆ นี่ บางทีมันเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้หลับ นะถ้าตัวนั่งก็นั่งตรงแหนว! อยู่อย่างนั้นแหละ แต่สติมันขาดในเมื่อมันขาดมันไม่สามารถจะรับรู้อาการอื่น ๆ ได้ มันเหมือนกับหลับไป แล้วบางที่ก็วูบมาทั้ง ๆ ที่รู้สึกตัวว่าหลับไปแล้ว ก็คือมันพลัดกลับมาสู่อารมณ์ปกติเพราะมันไปต่อไม่เป็น ไปต่อไม่เป็นมันก็ถอยหลังลงมา แต่มันถอยเร็วเกินไป มันก็เลยรู้สึกวูบเหมือนตกลงจากที่สูงนั่นแหละ
    ถาม : แล้วมันก็ต่อไม่ติดล่ะคะ ?
    ตอบ : ก็เริ่มต้นใหม่
    ถาม : ต้องเริ่มต้นใหม่ ?
    ตอบ : จ้ะ เริ่มต้นจับลมหายใจเข้า-ออกใหม่แล้วเอาสติตามดูมันไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอมันละเอียดขึ้นมันก็จับติดเอง ตอนนี้เริ่มดีแล้วเพราะว่ามันเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานแล้ว ปฐมฌานจะมีหยาบ กลาง ละเอียด ๓ ขั้นตอน อันนี้มันหยาบไปหน่อย จิตมันตามไม่ทันถึงเวลามันก็หลุดออกมา
    ถาม : ทำยังไงจะทราบได้ว่าเป็นฌานขึ้นต้น เป็นปฐมฌาน เป็นฌานขั้นที่เท่าไหร่ จะทราบได้ยังไง ?
    ตอบ : เรื่องนี้ต้องศึกษาขั้นตอนของมัน เอา คู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมาอ่านดู จะบอกรายละเอียดเอาไว้ว่าแต่ละขั้นตอนของฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ นี้มันจะมีอะไรบ้าง ต้องศึกษาขั้นตอนนั้นละเอียดดีแล้ว พอทำถึงมันก็รู้เลยว่าใช้... ต้องศึกษาขั้นตอนมันก่อน หลวงพ่อก่อนที่จะบวช หลวงปู่ปานส่งวิสุทธิมรรค ให้ทั้งเล่มเลย ท่องแล้วจำให้ได้ จะได้รู้ว่ากรรมฐานแต่ละกองมีลักษณะอาการยังไง ๆ นะจำให้หมด จำได้หมดแล้วพอถึงเวลาก็ไล่เข้าป่าช้าไปเลย
    ถาม : แล้วจากที่มีคนเขาบอกว่า การที่จะนั่งสมาธิจะต้องมีคนมาเปิดสมาธิ มาเดินสมาธิให้ ยังไงคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง ทำได้เลย เสียเวลาเปล่า ตั้งหน้าตั้งตาทำผลมันจะเกิดเลย มัวแต่รอคนอื่นช่วยถ้าเขาไม่ว่างชาตินี้ไม่ต้องนั่งสมาธิกันพอดี อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดของเขา
    ถาม : เขาบอกว่าเขาจะเปิดสมาธิให้ได้ให้เจริญสมาธิ คือเราต้องปฏิบัติเองใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ต้องเราปฏิบัติเอง คนอื่นช่วยอะไรไม่ได้เลยยกเว้นว่าเราได้กำลังใจ เรารู้สึกว่า เออ... ครูบาอาจารย์ที่เก่งที่มีความสามารถอยู่ใกล้เราจะมีกำลังใจทำความดี อารมณ์ใจมันทรงตัวได้เร็วได้ง่ายอย่างนั้นได้ แต่ว่าเรื่องของกระกระทำนี่เป็นของเราล้วน ๆ ครูบาอาจารย์ได้แต่แนะนำวิธี จะทำได้เท่าไหร่อยู่ที่เราเอง
    ถาม : แล้วทำไมบางคนมีญานวิเศษล่ะคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเคยทำมาก่อนจ้ะ ตัวนั้นเป็นทิพจักขุญาณ อย่างหนึ่งถ้าอย่างหยาบเขาจะเรียกว่าลางสังหรณ์ พวกนี้จะสังหารณ์แม่นเพราะว่าเคยได้ทิพจักขุญาณในชาติก่อน ถ้าหากว่าเขาพยายามซ้อมทวนความรู้จนกำลังเดิมคืนมาได้ก็จะคล่องตัวเหมือนกับชาติก่อนที่ตัวเองทำได้ ส่วนมันเป็นของแถม พอเริ่มปฏิบัติสมาธิ อารมณ์ใจเริ่มทรงตัวของเก่ามันคืนมา เราก็จะไปคิดว่าของเขาเองมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นเขา ความจริงไม่ได้พิเศษกว่าหรอกแต่เคยทำมาแล้ว ถ้าเราเคยทำมาเมื่อถึงเวลาเราทำถึงตรงจุดนั้นของเก่ามันก็จะคืนมาเหมือนกัน
    ถาม : ครูบาอาจารย์ที่ไม่... (ไม่ชัด)... ปิดญาณเขาปรารถนาเป็นญาณของเราเขาปิดได้เหรอคะ ?
    ตอบ : มันมีอยู่ ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ได้ โลกียอภิญญาและมีมิจฉาทิฐิ มีการกลั่นแกล้งคนอื่นเขาได้เหมือนกัน แต่ว่าลักษณะที่เรียกว่าปิดฌาน คำว่า ญาณ ก็คือเครื่องรู้ > วันนี้มันจะกลายเป็นว่าเราไปพบครูบาอาจารย์แบบนั้นแล้วขาดความก้าวหน้าเป็นเเพราะว่าท่านสอนผิดมากกว่า แต่ถ้าหากว่าท่านได้ อภิญญา ๕และเป็น มิจฉาทิฐินี่ความสามารถท่านสูง บางที่ท่านก็สามารถทำสิ่งที่เราคิดไม่ถึงได้เหมือนกัน
    ถาม : ...................
    ตอบ : คนละอย่างกัน พระยายม ท่านเป็นพรหมไปทำหน้าที่นั้น จริง ๆ ก็คือว่า ไปเพื่อช่วยเขา ไม่ได้ไปเอาใครลงนรกไปเพื่อช่วยคอยกันไม่ให้เขาลงนรกเนื่องจากว่าพรหมประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติอยู่แล้วท่านทำหน้าที่โดยยุติธรรม พยายามสอบถามทุกวิถีทางแล้ว ถ้าเรานึกความดีไม่ออกไปลงโทษตามความผิดที่ตนเองทำมา แต่ถ้าหากว่าเรานึกถึงความดีออกแม้แต่นิดเดียวท่านจะส่งเราขึ้นสวรรค์ไปก่อนเลย ไปรับความดีของเราก่อน
    ส่วนพระกาล ท่านเป็นเทวดาแต่ว่าในสมัยก่อนท่านชอบต้องการรู้เรื่องราววาระอะไรต่าง ๆ ของคนของสัตว์ทั้งหมดจนกระทั่งกลายเป็นว่าท่านสามารถรู้วาระและเวลาการเกิดการตายของคนด้วย ท่านจะเป็นผู้ที่กำหนดว่าจะส่งรถทิพย์ไปรับใคร ตอนไหนเมื่อไหร่ ในด้านของผู้ที่ะขาทำความดีกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นเขาเลยเรียกท่านว่าพระกาลกาล มันมาจากกาละ คือแปลว่าเวลาเป็นผู้รู้เวลาของคนอื่นเขา คนละอย่างกัน
    ถาม : ใช่พระกาลองค์นี้ที่ลพบุรีหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ที่<Bลพบุรี> </B>นั่นเขาเรียกเจ้าพ่อพระกาฬ เจ้าพ่อพระกาฬที่ลพบุรีนั่นก็คือพระพรหมที่ชื่อว่าท้าวมหาชมพู คนละองค์กันคนละคนละอย่างกันจ้ะ
    ถาม : ..........................
    ตอบ : การภาวนาคาถาจริง ๆ ต้องการผลก็คือโยงจิตให้เป็นสมาธิ ส่วนผลของคาถานั่นเป็นของแถมอีกทีหนึ่ง ดังนั้นถ้าเราภาวนา คาถาเงินล้านเพื่อให้จิตเป็นสมาธิเข้าสู่ระดับสูงขึ้น ๆ ไปจะท่องเร็วท่องช้าอยู่ที่ความถนัดของเรา ส่งนผลของคาถาจะเกิดขึ้นเมื่อใดอย่างไรก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
    ถาม : บอกว่าให้ท่องทีละคำ พยายามค่อย ๆ ท่องไปทีละคำ ท่องไม่ได้ ท่องแล้วมันจิตฟุ้งซ่าน ?
    ตอบ : เอาที่เราถนัดล่ะจ้ะ
    ถาม : .........................
    ตอบ : การดูหมอจะให้แม่น เคล็ดลับมันอยู่ที่ว่าเราต้องทำกำลังใจของเราให้เป็นกลาง อย่าให้ไปรัก , โลภ, โกรธ, หลง โดยอคติ ไม่ใช่คนนี้มาเห็นแล้วไม่ชอบหน้า ไม่อยากสงเคราะห์ ยายนี่ปากมากถามไม่รู้จักหมด ไม่พอใจอะไรอย่างนี้ นั่นไม่ได้ กำลังใจของเราต้องทำเพื่อการสงเคราะห์ในลักษณะของอัปปมัญญาพรหมวิหาร ก็คือไม่มีประมาณไม่ว่าเขาจะสวยงาม อัปลักษณ์ รวย จน อีท่าไหนก็ตาม เราจะให้การสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากัน ถ้าเราสามารถคุมกำลังใจเราอยู่ลักษณะนี้ได้จะดูหมอได้แม่นมากแต่ถ้าหากว่าปล่อยให้ตัวอคติมันกั้นเราเมื่อไหร่โอกาสเพี้ยนมันมีเยอะ ต้องระวังให้ดี อยากจะดูหมอมันต้องรู้เคล็ดของการดูหน่อย ถ้าไม่รู้เคล็ดก็เสียเวลาเปล่า
    ถาม : บางครั้งดูไปใจมันจะเหนื่อย เป็นแบบมันไม่นิ่ง ?
    ตอบ : คืออย่าไปคิดว่าเราจะทุ่มเทช่วยเหลือเขาให้ได้ เราเองเราช่วยเขา เราก็ช่วยแค่สิ่งที่ว่าสามารถสงเคราะห์ได้โดยไม่เกินกำลังความสามารถหรือว่าไม่เกินที่ครูบาอาจารย์ท่านให้?เพราะฉะนั้นเราช่วยแค่ไหนเราทำกำลังใจของเราแค่นั้น ไม่ใช่ไปแบกภาระของเขาเอาไว้ถ้าแบกอย่างนั้นมันหนักมันจะเหนื่อย บางทีหัวใจมันเต้นผิดปกติไปเลยล่ะ
    ถาม : บทอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่บอกว่าให้เจ้ากรรมนายเวรจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน อันนี้ผมก็สงสัยว่าเราท่องทุกครั้งเนี่ยเมื่อไหร่เจ้ากรรมนายเวรเขาจะอโหสิกรรมให้เรา ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเจ้ากรรมนายเวรตามความหมายของเรานั่นหมายความว่าคนหรือสัตว์ที่เราได้ฆ่าเขาไว้ ทำร้ายเขาไว้ใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าเราฆ่าเขาตายเขาไปรับบุญรับบาปตามกรรมของเขาอยู่แล้วที่จะมาคอยจองเราอยู่นี่มันน้อยมาก ยกเว้นพวกตายโหงที่ยังไม่หมดอายุขัยซึ่งมันน้อยเต็มที
    แล้ว ทำไมมันถึงมีการจองเวรใช้เวรกัน ? มันก็เป็นเรื่องกฏของกรรมว่าใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว เหมือนกับว่าเราฆ่าคนตายเขาไม่ได้มาล้างแค้นเราไม่ได้มาจัดการอะไรกับเราแต่ว่ากฏหมายจัดการเราเอง คราวนี้ว่า ทำถึงต้องอโหสิกรรม ? ลักษณะนี้เป็นการปลดใจของเราเองจากจุดยึนนั้นว่าเราได้ทำความชั่วอันนั้นไป?ถ้าจิตใจมันไปยึดอยู่ตรงนั้นมันจะหมองอยู่ตลอด ในเมื่อหมองอยู่ตลอดโอกาสจะไปดีมันไม่มี ก็เลยว่าเมื่อเราทำความดีแล้วเราตั้งใจอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรเป็นการทดแทนแล้วจิตของเราก็ปลดปล่อยออกจากจุดนั้นมาทำให้เราได้ดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นถามว่าเมื่อไหร่เขาจะอโหสิกรรมให้ ? ใจเราปลดออกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นหรือไม่อีกทีเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะเพราะการเป็นพระอรหันต์นี่กรรมทุกอย่างที่ทำมาจะเป็นอโหสิกรรมหมด ผลกรรมจริง ๆ ทำอันตรายท่านไม่ได้ ยกเว้นเศษกรรมเท่านั้น
    ดูอย่าง ท่านองคุลีมาลสิท่านเป็นพระอรหันต์แล้วผลกรรมที่ฆ่าคนมามากมานเอาท่านลงอบายภูมิไม่ได้ แต่ออกบิณฑบาตโดนชาวบ้านขว้างหัวร้างข้างแตกอยู่ตั้งหลายวัน
    ถาม : บางครั้งนี่ผมมีความรู้สึกว่าเมื่อเจอเหตุการณ์แล้วรู้สึกถึงในอดีตว่าเราได้เคยทำกรรมนี้ไว้ จะได้รับเหตุการณ์ที่เจอแบบนี้ แต่บางทีก็รู้สึกว่าท้อแท้ว่าเมื่อไหร่จะหมดเสียที ?
    ตอบ : อ๋อ ... เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ก็หมดยืนยันเลย เพราะเราเองเราก็ไม่ได้ทำความดีตลอดมันก็มีสิ่งที่ไม่ดีแทรกอยู่ตลอด แต่ว่าตัวยถากัมมุตาญาณดีอยู่อย่างหนึ่งคือเราทำเราก็รับ เมื่อเรารู้ว่าเราทำเราต้องรับผลอันนั้น แล้วสิ่งที่เราทำเองไม่ต้องตัดพ้อต่อว่าใครก็ก้มหน้ารับไป ถ้าจิตใจมันยอมรับอย่างนี้ได้เรียกว่ายอมรับกฏของกรรม เมื่อยอมรับกฏของกรรมนี่จิตใจจะมีความสุขมากเลย เพราะฉะนั้นยถากัมมุตาญาณจริง ๆ นี่ดีมาก ดีตรงที่ว่าเรายอมรับได้ ถ้าหากว่าเรายอมรับไม่ได้เมื่อรู้ เข้า แหม..ตูไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย แล้วก็มานั่งหมองต่อก็เสร็จ !
    ถาม : บางทีก็อยากจะหนีเลยล่ะครับ อย่างนี้ถูกหรือเปล่า ?
    ตอบ : หนีไปไหนก็ไม่พ้น พระพุทธเจ้าบอกแล้วจะหนีไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทราย ก้นมหาสมุทรหรือจะหนีไปในซอกเขาอันลึกล้ำหรือว่าจะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆ กรรมก็ตามถึง เพราะว่ามันเป็นผลของการกระทำของเราเอง มันเป็นเงาติดตัวของเราเองหนีไปไหนก็หนีไม่ได้หรอกยกเว้นว่ายอมรับเขา ยอมรับแล้วก็ชดใช้เขาไป ถ้าหากว่าชดใช้ได้หมด ถ้าไม่ได้หมดไปนิพพานซะก่อนคุณก็อดไป จำไว้ว่า พระอรหันต์ที่ไปนิพพานไม่มีใครใช้หนี้หมดซักองค์หนึ่ง
    ถาม : ถ้าเกิดเราคิดว่าการที่เราอยู่ทำให้เราต้องทำกรรมหนักต่อไปอีกการที่เราไปแล้วเราไม่ต้องทำกรรมหนัก อย่างไหนจะดีกว่ากันครับ ?
    ตอบ : กรรมหนักมันย่อมให้โทษหนัก ในเมื่อเราเองถ้าหากว่าไปเสียแล้วไม่ต้องทำกรรมอันนั้นก็รีบไปมันซะเลย ถ้าเราทำเราก็ต้องรับผลของมัน ถ้าคุณรู้จักกรรมจริง ๆ ว่าหน้าตาเป็นยังไง ? แล้วผลมันเป็นยังไง ? ไม่ต้องการอะไรมากหรอก แค่คุณฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตของคุณหมองอยู่ด้วยกรรมอันนั้น อันดับแรกลงนรกก่อนนะ มันก็ลงขุมที่เป็นมหานรกคือ สัญชีพนรก ก่อน พอหลุดจากสัญชีพนรกก็ลงมา อุสุทนรก จากอุสุทนรกมาก็มาลงยมโลกีนรก แยกตามขุมที่เราโดนลงโทษมาแล้ว เสร็จแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่เราฆ่า นี่แค่ตัวเดียวนะ แล้วถ้าเกิดเราทำทำไว้เยอะล่ะ พอรู้มันเข้านี่มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจริง ๆ ที่ท่านบอกว่าภยตูปัญฐานญาณ ท่านพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นโทษเป็นภัยเป็นของน่ากลัว ถ้าเรารู้ตรงจุดนี้ โอ้โห้... มันน่ากลัวมากอย่าว่าแต่กรรมใหญ่เลยกรรมเล็ก ๆ ยังกลัวขนาดนั้น ขึ้นชื่อว่าไฟแล้วไม่ร้อนน่ะไม่มี แค่ไฟบุหรี่จี้เราก็สะดุ้ง ๘ ตลบแล้ว ไฟนรกมันร้อนกว่าบุหรี่เป็นล้านเท่า
    ถาม : ผมมีความรู้สึกว่าจิตใจของผมเองยังรับกฏของกรรมไม่ได้ แล้วคิดว่าถ้าอยู่โดยไม่หลบหนีไปจะทำให้กรรมต่อกรรมไปอีก ?
    ตอบ : มันก็จะต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ มันจะไม่รู้จักจบ เราต้องหยุด ถ้าเรายังทำกรรม ก็คือ การกระทำ ถ้าเรายังทำมันก็ไม่มีวันจบ มันก็หมุนเวียนเป็นกงกรรมกงเกวียนตามไปเรื่อย รอยเกวียนตามรอยโคไปเรื่อยถึงเวลามันตามทันก็แย่ แต่ถ้าเราหยุดมันลงเมื่อไหร่กรรมอันนั้นเป็นอันว่าขาดลง มันจะตามแค่ช่วงที่มันส่งผลเท่านั้น พอหมดผลหมดวาระของมัน ตอนนี้เราก็เหลือแต่ความดีล้วน ๆ เราไปเสวยความดีของเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นท่านที่ตั้งใจทำจริงนี่ของเลวยังไม่ทันจะหมดหรอก ท่านดีถึงที่สุดซะก่อนก็เป็นอันว่าจบกันกลายเป็นอโหสิกรรมไป ดูเอาแล้วกันว่าวาระไหนที่มันเหมาะมันควรกับเราก็ว่าไปเลย.... ตราบใดที่เรายังอยู่กันมันตราบนั้นเราทีแต่สร้างทุกข์สร้างโทษมากขึ้นทุกที ยกเว้นอย่างเดียวว่าเราจะมีศีลเป็นเครื่องคุ้ม พอมีศีลเป็นเครื่องคุ้มเราก็สามารถที่จะควบคุมกายของเราไม่ให้ทำผิดพลาด ควบคุมวาจาของเราไม่ให้ทำผิดพลาดแต่มันก็เป็นแค่ขอบเขตหนึ่งเท่านั้นเผลอสติพลาดเมื่อไรโอกาสมันมีก็เท่ากับว่าเราเปิดช่องให้ลงนรกอีก
    ถาม : คือผมแก้ปัญหาด้วยการนั่งเฉย แต่ว่าการนั่งเฉยจิตใจมันกระเจิง ?
    ตอบ : จิตใจมันไม่นิ่งด้วย เพราะว่าเรารู้อยู่ตลอดว่าเราได้ทำอะไรลงไปผลที่เราได้รับเป็นยังไง เพราะฉะนั้นโอกาสที่ใจมันจะนิ่งด้วยนี่ยากเต็มที ค่อย ๆ ตัดสินใจเอาเหอะ มีโอกาสเมื่อไหร่จะเผ่นก็บอกแล้วกัน
    ถาม : เพราะว่ามันมีเหตุว่าในอดีตเคยทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ก็เลยยังเกี่ยวกับเรื่องเงินทุนยังไม่มี แต่มันก็พอมีช่องทางอยู่บ้าง ไม่ทราบผมจะดันทุรังทำไปหรือว่าทุนน้อย ๆ นี่ไม่ทราบจะดีมั้ย ?
    ตอบ : คือของอะไรนี่ถ้าหากว่าตามสมัยก่อนของคนจีนเขา ๆ เริ่มจากน้อยไปหาใหญ่ อาจจะค่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยไป แล้วจะสังเกตว่าคนจีนพอมีกิจการมั่นคงแล้วหลักฐานเขาจะแน่น ที่หลักฐานเขาแน่นเพราะเขาเริ่มจากจุดเล็กมาก่อน มันไม่เหมือนสมัยนี้ ส่วนใหญ่ทำแล้วจะเอารวยทีเดียวโดยที่ลืมไปว่าการทำจะรวยทีเดียวนี่มันต้องลงทุนมาก การลงทุนมากถ้าพลาดโอกาสพลิกฟื้นของเรามันยากแล้ว โอกาสแก้ตัวมันไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำมัน ควรจะทำตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ไปอย่างที่ตั้งใจนั่นและ จริง ๆ แล้วมันถูก ค่อย ๆ ทำไป

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : คือได้ฟังหลวงพ่อฤๅษีท่านพูดเกี่ยวกับเรื่อง....(ไม่ชัด)....ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงเป็นยอดเหนือครูอื่นใด แล้วท่านก็พูดว่าคนเรามันเป็นที่พึ่งแห่งตน ผมก็มาคิดดูว่าผมควรจะพึ่งตัวเองในการทำอะไร แต่ว่าการตัดสินใจพึ่งตนเองทำให้ผู้อื่นติว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปในตัวโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ?
    ตอบ : พึ่งตัวเองแล้วทำไมคนอื่นเดือดร้อน
    ถาม : เป็นความคิดของคนอื่นเขาล่ะครับ ?
    ตอบ : คุณไม่ต้องไปแคร์ความคิดเขาหรอก
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เป็นพระโพธิสัตว์อยู่แล้วท่านฆ่ารากษสที่มีอายุ ๘๐ ปีแล้ว ทำให้ท่านต้องมีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษาก็เลยสงสัยว่าทำไมถึงมีผลมากขนาดนั้นในการฆ่ารากษส ?
    ตอบ : อย่าลืมว่าการฆ่าที่ต้องใช้กำลังใจสูงมากเท่าไหร่ผลกรรมมันก็หนักเท่านั้น เขาถึงได้บอกว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ประเภทวัวทั้งตัวจะฆ่ามันให้ตายต้องใช้กำลังใจมากกว่าไก่ หรือใช้กำลังใจมากว่าปลาเล็ก ๆ อย่างนี้ นั่นมันกินคนมาเยอะแล้ว ถ้าหากว่ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง ๆ คิดจะไปฆ่านี่ประเภทได้ยินชื่อ ก็คงเดินถอยหลังแล้ว
    อันนั้นจริง ๆ ท่านเห็นแก่โยมแม่ คือว่าฐานะลำบากยากจนมากแม่ก็แก่แล้ว อยากให้แม่มีความสุขความสบายบ้างเลยไปรับอาสาเพราะว่าเขาบอกว่าใครทำได้จะให้ทองเท่าลูกฟัก อย่างน้อย ๆ ก็เลี้ยงแม่มีความสุขความสบายไป ถ้าหากว่าในยุคสมัยของเราอายุขัยมันร้อยปีสมัยพระพุทธเจ้าท่าน ก็มีหลายท่านที่อยู่ถึง ๑๒๐ ปี สมัยของเรานี่อายุ ๗๕ ปีเป็นอายุขัยแต่ว่าคนอยู่กันเก้าสิบร้อยกว่าก็มี เพราะฉะนั้นว่าถึงอยู่ต่อไปก็อยู่อย่างคนแก่ ถึงจะแก่อย่างพระพุทธเจ้าก็เถอะ ร่างกายของคนแก่นี่มันไม่ค่อยดีหรอกอยู่ต่อก็ทรมานมาก พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปในวาระนั้นไปในเวลานั้นก็ถือว่าพอเหมาะพอสมแล้ว
    ถาม : แล้วคนเราอยู่ ๆ จะไปเป็นยักษ์ได้ยังไง ?
    ตอบ : คงจะต้องทำกรรมอะไรไว้เยอะ พวกอสูรนี่ต้องทำบุญผสมความโกรธ ถ้าหากว่าเราตั้งใจไว้ว่าเราทำบุญอันนี้ขอเกิดเป็นยักษ์มันก็เป็นเหมือนกัน ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าเป็นผู้ืที่มีจิตใจดุร้ายฆ่าฟันเขาเป็นปกติหรือว่ามีกำลังใจที่เข้มแข็งสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้แต่กลายเป็นมิจฉาทิฐิพอถึงเวลาหลังจากตกนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นอะไรมา อาจจะต้องมาเกิดเป็นพวกเหล่านี้ได้ เพราะว่าวิสัยเดิมสัญชาติเดิมที่ตัวเองทำมามันทำให้ผลกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ไปเป็น ภาษาไทยมันฟังยากยักษ์ ยักษ์กลายเป็นเทวดา รากษสนี่เป็นอมนุษย์พวกหนึ่งที่กินเนื้อคนกินสัตว์เป็นอาหาร ผีเสื้อผีเสื้อในที่นี้มันไม่ใช่ผีเสื้อที่บินนะสิ มันมีผีเสื้อที่อยู่ในตระกูลประเภทพวกปีศาจ พวกยักษ์ พวกอสุรกายเหมือนกัน
    ถาม : การปลุกเสกนี่ใครปลุกเสก ? (ถามเรื่องพระกริ่งพิชัยสงคราม)
    ตอบ : ใครปลุกเสก ? ถ้าหากว่าตามสายหลวงพ่อก็เป็นหน้าที่ของพระท่าน แล้วแต่ว่าท่านจะบัญชาการหรือว่าแล้วแต่ท่านจะทำ ของเราเองนี่มีหน้าที่อยู่อย่างเดียวคือนั่งมองแล้วก็คอยทำตามที่ท่านสั่งแค่นั้น สายหลวงพ่อนี่ปลุกพระไม่เป็นหรอกมีแต่พระปลุกถึงเวลาพระจะมาบอกให้ทำโน่นทำนี่
    ถาม : อย่างเวลาที่วัดอื่น ๆ เขานิมนต์พระมาหลาย ๆ องค์มานั่งปลุกเห็นท่านหลับตาแล้วท่านไปไหน ?
    ตอบ : อันนั้นต้องถามท่าน บางองค์ก็นั่งหลับ หลวงพ่อเคยเล่าใหฟังว่ามีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่งเวลาไปนั่งปลุกท่านก็ค่อย ๆ ทรุดลง ๆ จนกระทั่งเกือบถึงพื้นแล้วค่อยยืดขึ้นมาใหม่อย่างนั้นอยู่ตลอดเป็นชั่วโมง จนกระทั่งคนไปสะกิดท่านว่าหมดเวลาหมดพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ท่านก็เลิกบรรดาญาติโยมก็เลื่อมใสมาก กี่งานกี่งานก็นิมนต์ไปปลุกเสก แล้ววันหนึ่งลูกศิษย์ลูกหาที่เห็นมีบางคนที่เขาำกล้า เขาก็ถามว่าหลวงพ่อเรียนวิชาอะไรมาครับถึงปลุกท่านั้น ถามว่าท่าไหน ? ก็อธิบายให้ฟังหลวงพ่อจะค่อย ๆ ลงแล้วก็ขึ้น ๆ ท่านบอกกูหลับ บอกตรง ๆ เลยกูหลับ เพราะฉะนั้นอยากรู็ว่าท่านทำอะไรท่านไปไหนก็ต้องถามท่าน
    แต่ถ้าเป็นายหลวงพ่อนี่ถึงเวลาตั้งใจอาราธานาพระ พระท่านสั่งให้ทำยังไงก็กำหนดใจตามไปภาวนาตามไป
    ถาม : แล้วแต่บางองค์ ?
    ตอบ : ก็แล้วแต่วิชาการที่ท่านได้รับมา ที่หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องพิธีพุทธาภิเษกน่าจะเป็นที่วัดระฆังมั้ง ? สมัยเจ้าคุณเทพประสิทธินายกอยู่หลวงปู่นาควัดระฆัง พอเริ่มพิธีพุทธาภิเษกหลวงพ่อกำหนดเจโตปริยญาณแอบดูใจเขา บอกว่าแต่ละองค์กำลังใจไม่เหมือนกันบางองค์พุ่งแหลมเปี๊ยบเป็ฯเข็มพุ่งใส่กองวัตถุมงคล บางคนก็เป็นแสงสว่างจ้าแผ่คลุมทั่วเลยกำลังจะดูต่อไปหลวงปู่นาคด่ามาบอกเฮ้ยไอ้ขี้ขโมยแอบดูเขา...(หัวเราะ)...รู้ไปหมดทำอะไรก็รู้
    ถาม : พระมหากษัตริย์ไทยที่ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วมาเกิดแล้วอย่างนี้ครับ ถ้ามาเกิดแล้วเวลาไปจุดธูปไหว้นี่ไหว้ใคร ?
    ตอบ : บุคคลที่มีคนเคารพนับถืออยู่ เมื่อท่านสิ้นชีวิตไปแล้วเขากราบไหว้บูชาอยู่ ถ้าหากว่าท่านมาเกิดใหม่จะมีเทวดาหรือพรหมที่มีบารมีใกล้เคียงกับท่านรับหน้าที่นั้นแทน อย่างสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่คนไปกราบไหว้บูชาท้าวสัจจะพรหมจะรับหน้าที่แทน เขาจะมีการแทนกันเพราะว่าอย่างน้อย ๆ การระลึกถึงผู้ที่มีคุณมีความดีอะไรมันก็ยังเป็นอปจายนมัย ถ้าหากว่าท่านเป็นเทวดาก็เป็นเทวตานุสติ ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นสังฆานุสติไป
    ถาม : ไหว้ท่านก็ไม่สูญเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ไปไหนหรอก ดีไม่ดีองค์ที่มาถ้าบารมีสูงกว่าซะหน่อยได้เยอะกว่าอีก
    ถาม : เล่าเรื่องหลวงปู่ปานท่านสอนบอกว่าเวลาพระมาที่วัด ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายพระไปที่ตั้งหลวงพ่อก็คิดว่าสามารถเคลื่อนย้ายได้เลย หลวงปู่ปานท่านบอกว่าต้องให้ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า ต้องจุดธูปทำพิธีก่อน แล้วอย่างนี้เวลาพระที่บ้านเราจุดธูปก่อนอย่างนี้ดีมั้ย ?
    ตอบ : ควรจะทำเลยเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพจริง ๆ คือจุดธูปบอกกล่าวท่าน ขออนุญาตเลยว่าเราจะโยกย้ายยังไง เพราะว่าพระ โดยเฉพาะ พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาจะผ่านพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ผ่านก็ตามจะมีเทวดารักษาอยู่แล้ว การพุทธาภิเษกเป็นการจับตัววางตายว่าใครเป็นผู้รักษาเท่านั้น นั่นเฉพาะเจาะจงว่าหน้าที่คุณแต่ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไำปใครก็ช่วยรักษาได้เพราะฉะนั้นก็ควรให้ความเคารพท่าน โดยเฉพาะเราเคารพก็คือเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอย่างแท้จริงนี่เป็นกติกาเริ่มต้นของพระโสดาบัน
    ถาม : ถ้าเราถือวิสาสะย้ายทันทีอย่างนี้ถือว่าปรามาสมั้ย ?
    ตอบ : ก็ขอขมาทีหลังสิ เหมือนกับผู้ใหญ่ถึงเวลาลากท่านเดินต๊อก ๆ ไปอย่างนี้มันงามมั้ยล่ะ ?
    ถาม : ญาณ ๘ นี่เหมือนกับว่าเราคิดไปเองรึเปล่า ?
    ตอบ : ลักษณะของการฝึกญาณ ๘ เราได้ทิพจักขุญาณก่อน คราวนี้ทิพจักขุญาณถ้าไม่ชัดเจนแจ่มใส บางทีเหมือนยังกับเราคิดเองเออเอง วิธีทดสอบง่าย ๆ ก็คือว่าให้ถามปัญหาที่พิสูจน์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างเช่นว่าถ้าพรุ่งนี้เราอกจากบ้านเราจะเจอใครเป็นคนแรก ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรอย่างนี้ พอตอนเช้าก็โผล่หน้าออกไปดูเลย ถ้ามันตรงก็ใช้ได้
    สมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านสอนให้นั่งข้างถนนหลับตาทำใจสบาย ๆ วางอารมณ์อยู่ในทิพจักขุญาณของมโนมยิทธิ เสียงรถยนต์แล่นมาให้ถามว่ารถยนต์มาสีอะไร พอคำตอบเกิดขึ้นก็ลืมตาดู มันได้คำตอบในระยะสัน ๆ เลย ถ้าหากว่าผิดไม่ต้องจำ แต่ถ้าถูกให้จำว่าเราวางอารมณ์ไว้ยังไง แล้วก็กำหนดใจอย่างนั้นรถมาสีอะไร ต่อไปพอถูกสักแปดคันในสิบคันเริ่ิมความมั่นใจเริ่มมี เพิ่มไปว่ารถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน พอมันถูกมาก ๆ เข้าสักแปดในสิบว่ารถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน ผู้หญิงเท่าไหร่ผู้ชายเท่าไหร่ ต่อไปรถมาสีอะไรคนั่งมากี่คนผู้หญิงเท่าไหร่ผู้ชายเท่าไหร่ แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ท้าย ๆ กระทั่งเลขทะเบียนรถก็บอกถูก ให้พิสูจน์กับสิ่งที่พิสูจน์ได้ระยะสั้น ๆ เพื่อที่เราจะได้มั่นใจว่าความรู้นี้ถูกต้องจริง ๆ
    ถาม : ทีนี้จะต้องฝึกทุกวัน ?
    ตอบ : ฝึกทุกวันต้องซ้อมไว้ทุกวันไม่งั้นสนิมขึ้น จะใช้งานแต่ละทีชักดาบไม่ออกสนิมกินติดกระบอกไปแล้ว
    ถาม : มันมีอยู่ช่วงหนึ่งค่ะ ที่แบบว่าเป็นความรู้สึกมากกว่า แล้วก็ไม่เกินห้านาทีมันก็เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ เหมือนกับว่าติดต่อกันหลายครั้งเหมือนกันและพอมาช่วงหลังนี่รู้สึกมันความรู้สึกนี้หายไปแล้ว
    ตอบ : เราทิ้งมัน ลองย้อนกลับไปทบทวนดูว่าตอนช่วงนั้นเรารักษาอารมณ์ยังไง ? ทาน ศีล ภาวนาของเราทรงตัวแค่ไหน ? อารมณ์ใจนั้นถึงอยู่กับเรา เราปฏิบัติวันละเท่าไหร่ ? เช้ากี่ครั้งเย็นกี่ครั้ง ? รักษาอารมณ์ได้นานเท่าไหร่อย่างนั้น แล้วตอนนี้เราได้ทำอย่างนั้นมั้ย ? ถ้าเรายังทำอย่างนั้นผลอย่างนั้นก็ยังเกิดอยู่ แต่ถ้าเราเลิกทำเมื่อไหร่ผลอย่างนั้นก็หายไป
    ถาม : หลังจากที่เรียกว่าเหมือนกับว่าเคยได้อย่างนี้คะ แล้วหนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยอยากจะทำแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะสวดมนต์ ไม่ค่อยอยากจะไหว้พระ ?
    ตอบ : มันก็ไม่ค่อยอยากจะเกิดเหมือนกัน ....(หัวเราะ) .....เราไม่สร้างเหตุแลผลจะเกิดได้อย่างไร ? เราก็ต้องทำเหตุอันนั้นใหม่ คนที่เคยทำได้แล้วไม่ยาก ถ้าเคยทำได้แล้วจะไม่ยากไปทบทวนอารมณ์เดิมของเรา พอถึงตรงจุดนั้นเมื่อไหร่ตัวรู้นี่ก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ แรก ๆ มันเป็นความรู้สึกพอนานไป ๆ ความมั่นใจมันมากเข้า ๆ อยู่มันจะเหมือนกับปรากฏภาพวาบขึ้นมาเฉย ๆ ตอนนั้นก็จะลำบากอยู่อีกช่วงหนึ่ง พอภาพมันปรากฏขึ้นมาความเคยชินจะไปใช้สายตาเพ่งอยู่ เราต้องส่งจิตออกไปนะไปถึงสถานที่นั้น ๆ ถึงจะรับรู็ภาพอย่างนั้น ๆ ได้
    การที่เราใช้สายตาเพ่งก็คือเรานึกถึงตา นึกถึงตาก็คือนึกถึงตัวมันเป็นการดึงจิตกลับภาพจะหายไป ก็จะต้องไปปล้ำกับภาพที่มา ๆ หาย ๆ อีกยกใหญ่ บางคนเป็นปี ๆ เลยกว่าจะทำใจได้ว่าก่อนหน้านี้แค่ความรู็สึกเราก็รู็ได้ถูกต้องดีแ้ล้ว ถึงภาพจะปรากฏไม่ปรากฏก็ช่างมันเถอะ ยังไง ๆ ความรู้สึกนี้ถูกต้องเราพอใจ ถ้าทำอย่างนั้นได้ภาพจะปรากฏอยู่แล้วอยู่ได้นาน
    ไปหัดใหม่ไม่ยากแล้ว
    ถาม : แล้วหนูเคยแบบว่าฝันแล้วพอตื่นขึ้นมาจำไม่ได้เป็นอย่างนี้ประมาณสามสี่รอบแล้วค่ะ แล้วปรากฏว่าเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นมา แล้วก็จะนึกได้ว่าอันนี้เราเคยฝัน ?
    ตอบ : ลักษณะนั้นถ้าเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อนมันจะเหมือนกับฝันหรือว่าเกิดความรู้สึก อย่างเช่นว่ารู้สึกว่าเพื่อนน่าจะโทรมา พักเดียวโทรศัพท์กริ๊งแล้วอย่างนี้ โบราณเขาเรียกว่าคนอย่างนี้ลางสังหรณ์ดี แต่ความจริงมันเป็นทิพจักขุญาณ เพียงแต่มันขาดการฝึกฝนต่อเนื่ง มันก็เลยไม่ชัดเจนแจ่มใส
    ถาม : หนูฟังเทปหลวงพ่อคะ ที่เป็นแบบว่าวิชชาสามกับอภิญญาหก หนูมีความสงสัยว่าวิชชาสามนี่อยู่ในระดับล่างของอภิญญาหก ?
    ตอบ : ต่ำกว่า อภิญญาหกมันจะมีอยู่จุดหนึ่งก็คือ อิทธิฤทธิ์ ตัวนี้จะแสดงฤทธิ์ผาดแผลงได้ทุกอย่างเลยเนื่องจากว่าพื้นฐานของอิทธิฤทธิ์มาจากกสิณสิบ แต่ว่าวิชชาสามนี่พื้นฐานมาจากกสิณกองใดกองหนึ่งกองเดียวคือจะเป็นเตโชกสิณกสิณไฟ โอทาตกสิณกสิณสีขาว อาโลกกสิณกสิณแสงสว่าง กสิณสามกองนี้กองใดกองหนึ่งนี่ทำให้เกิดทิพจักขุญาณได้ พอเกิดทิพจักขุญาณแล้วก็นำไปใช้ในปุพเพนิวาสนุสสติญาณคือระลึกชาตินะวิชาที่หนึ่ง วิชาที่สองจุตูปปาตาญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน และตัวสุดท้ายคืออาสวักขยญาณคือทำกิเลสให้สิ้นไปสามอย่างนี้เขาเรียกว่าวิชชาสาม
    แต่อภิญญาหกนี่ครอบวิชชาสามอยู่หมัดเลย มีอิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง ทิพยโสตหูทิพย์ ทิพจักขุอะไรอย่างนี้แล้วก็ปุพเพนิวาสานุสสติญาณระลึกชาติ จุตูปปาตญาณรู้ว่าคนสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน แล้วอาสวักขยญาณทำให้กิเลสสิ้นไปมากกว่าตั้งสาม
    ถาม : หนูมีความรู้สึกว่ายากมากเลยหนูคงทำ...คงต้องเป็นนักบวชอย่างเดียวคงจะทำได้
    ตอบ : ไม่หรอกคนทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ฆราวาสทำได้ง่ายกว่าเพราะว่าศีลน้อยกว่า คนที่รักษาของห้าชิ้นกับคนที่รักษาของสองร้อยกว่าชิ้นนี่ใครดูแลง่ายกว่ากัน ฆราวาสรักษาศีลแค่ห้าข้อทำได้ง่ายกว่า มันอยู่ที่ว่าเราเอาจริงมั้ย ? เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องของคนจริงคนจัง ของคนมีสัจจะทำต้องทำจริง ๆ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากว่าเราทำอย่างนั้นได้มันได้ทุกคนไม่ใช่นักบวชหรอก นักบวชปัจจุบันนี้สามแสนกว่านี่ทำได้ไม่ถึงพันหรอก
    ถาม : ฟังแล้วหนูมีความรู้สึกว่ายากมากสำหรับชาตินี้ของหนู
    ตอบ : เอาเถอะ....ไม่เป็นไรถ้าเกิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ง่ายไปเอง
    ถาม : มีความสงสัยว่าถ้าเอาลูกไปรับยันต์เกราะเพชรนี่เด็กไม่ได้นั่งสมาธินี่....
    ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้าหากว่าเราอยู่ในพิธีด้วยความตั้งใจ ถึงยังไงพระท่านก็สงเคราะห์ให้ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในพิธีถ้าหากว่าติดงานติดการแล้วเราอยู่ที่บ้านตั้งใจรับด้วยความเคารพในเวลานั้นก็ได้เหมือนกัน
    ถาม : อยากจะเปลี่ยนชื่อ หนูเกิดวันพฤหัสค่ะ ?
    ตอบ : แล้วทำไมจะเปลี่ยน เป็นอะไรเขาก็เรียกชื่อเดิมนั่นล่ะ เชื่อเถอะมันแทบจะไม่มีใครเขาเรียกชื่อใหม่ของเราหรอก ยกเว้นคนที่เพิ่งรู้จักกัน คนที่รู้จักมาแล้วเปลี่ยนเป็ฯอะไรมันก็เรียกชื่อเดิม จริง ๆ ชื่อเสียงเรียงนามนี่มันมาทีหลังคน ตำราการตั้งชื่อมันมาทีหลัง ถ้ามันมีผลต่อคนมากถึงขนาดนั้นบรรพบุรุษของเราก็คงตายหมดแล้ว ไม่เหลือมาถึงเราหรอก อุตส่าห์สืบเผ่าสืบพันธุ์มาถึงเราจนปัจจุบันตั้งห้าหกพันล้านคนแล้ว เพราะฉะนั้นชอบชื่ออะไรก็เอาชื่อนั้นเถอะ ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ถือว่าเป็นมงคลที่สุดแล้่ว
    อาตมาอยู่มาจนป่านนี้ก็เพิ่งจะเจออยู่รายเดียวที่ชื่อมีอิทธิพล เป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอายุก็คงราว ๆ ซักสิบห้าสิบหกปี เชื่อมั้ยนว่าตัวเขาเบาจนขนาดเราหิ้วแขนเดียวลอยเลย ผอมกะหร่องมีแต่กระดูก ตอนนั้นหลวงปู่ครูบาธรรมชัยยังอยู่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นพระดีองค์หนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้ลูก ๆ ไปหาไปกราบไปไหว้ไปทำบุญกับท่าน หลวงปู่ธรรมชัยท่่านรักษาโรควิธีรักษาโรคท่านตรวจด้วยทิพจักขุญาณคือโรคที่หมอทั่ว ๆ ไปรักษาไม่ได้มักจะไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจะมีสายสิญจน์วางอยู่ในพานพาดมาแล้ว ท่านก็จะจับไว้ พอคนป่วยเข้ามาแตะสายสิญจน์หลวงปู่จะบอกว่าป่วยด้วยโรคอะไร เป็นมากี่ปีกี่เดือนกี่วันต้องรักษาด้วยยาอะไร
    สมัยนั้นถ้าหลวงปู่มาไม่ตรงกับหลวงพ่อก็จะไปหาหลวงปู่เพื่อทดสอบทิพจักขุญาณของตัวเอง ไปถึงโยมเขาแตะก็กำหนดใจจะรู้ว่าเขาป่วยมากี่ปี แต่พอเดือนนี่ชักจะผิดพอวันนี่ไปไกลลิบเลย หลวงปู่ท่านบอกรายละเอียดได้แต่ของเรามันละเอียดขนาดนั้นไม่ได้ มาตอนหลังหลวงพ่อท่านบอกว่าทิพจักขุญาณของหลวงปู่ธรมชัยเยี่ยมที่สุดในยุคนั้น เพราะว่าท่านเกิดมาเพื่อเป็นหมอ เป็นหมอถ้ารู้ไม่ละเอียดรักษาโรคไม่ได้ ในเมื่่อท่านมาเพื่อเป็นหมอ ทิพจักขุญาณต้องเยี่ยมที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราผิดแล้วผิดอีกไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไปลองกับใครไม่ลองไปลองระดับ (หัวเราะ) ปรมาจารย์เลย
    คราวนี้พอเด็กคนนั้นแตะสายสิญจน์ปั๊บหลวงปู่ลืมตาขึ้นมาบอกอีหนูไม่ต้องรักษาหรอกลูกไปเปลี่ยนชื่อซะก็หายเอง ท่านบอกว่าชื่อปัจจุบันนี้ไปตรงกับบรรพบุรุษคนหนึ่งที่ตายมานานแล้ว ผีมันหวงชื่อตายมานานขนาดนั้นแล้วยังไม่ยอมเลิกหวงชื่อตัวเองว่าลูกหลานเอาชื่อมาตั้งตรงกับมัน โกรธ มันก็เลยแกล้งซะจนเป็นอย่างนั้น หมอรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ นั่นแหละในชีิวิตที่อยู่มาจนป่านนี้สี่สิบกว่าปีแล้ว เพิ่งเห็นมีคนเดียวที่ชื่อมีอิทธิพลกับตัว เพราะฉะนั้นของเราอะไรก็ได้ ถ้าอยากได้ชื่อเพราะ ๆ ไปวัดดอนเดินดูทีละป้าย ๆ เดี๋ยวก็ได้เอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : คือแม่หนูเขาชอบสวดมนต์ตอนเช้าแต่เขาสวดแบบเสียงดัง เวลาที่หนูอยู่ข้างบนนี่พอได้ยินเสียงแม่สวดมนต์จะมีความรู้สึกว่าหนูรำคาญเสียงแม่ แต่เพียงที่จะทำใจให้สบาย ๆ คือก่อนที่เขาจะเอาข้าวมาถวายพระภูมิจะรู้สึกว่ามันเกะกะรำคาญตายังไงก็ไม่ทราบค่ะ แต่หนูพยายามปลดอารมณ์ใจว่าไม่ ๆ ๆ ๆ
    ตอบ : อันนั้นมันเป็นตัวทดสอบอารมณ์อย่างหนึ่งเขาเรียกว่า กิเลสมารมันจะทำให้เราเป๋ไปจากความดี ทั้ง ๆ ที่เห็นคนอื่นทำความดีแต่ไม่ได้ยินดีและโมทนาด้วย มันจะกลายเป็นประเภทนึกคิดเบียดเบียนเขาซะด้วยซ้ำไป จิตมันแทนที่จะประกอบไปด้วย อนุโมทนาจิต มันกลายเป็น วิหิงสาวิตก คือคิดเบียดเบียนคนอื่นเขาแทน อารมณ์ใจอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี บอกกับมันบอกว่า ข้ารู้จักหน้าเองแล้วไม่ต้องมาแกล้งซะให้ยากหรอ พวกมารนี่ขี้อายพอเรารู้ทันเขาก็เลิก
    ถาม : แล้วหนูเห็นอย่างนี้หนูก็ต้องโมทนากับเขา ?
    ตอบ : จริง ๆ คือว่าในส่วนนั้นเราไม่ได้ทำ แล้วแม่ทำเราก็พลอยยินดีและโมทนาไปกับความดีที่แม่ทำด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายพยายามกลั้นเอาไว้อย่าให้เข้าในใจ ถ้าเข้าในใจปุ๊บมันจะเกิดอันตรายกับเรา เพราะว่ามันจะเริ่มชอบหรือไม่ชอบ พอชอบหรือไม่ชอบปุ๊บถ้าเรามาคิดต่อนี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ถ้าไม่ชอบก็พลอยจะพาลโกรธพาลเกลียดไปเลย ถ้าหากว่าชอบก็อยากมีอยากได้ขึ้นมา มันไม่ได้เรื่องทั้งสองฝ่ายพยายามทำใจให้เป็นกลาง ๆ ไว้
    ถาม : ตามที่เคยได้ยินมาเขาบอกว่าถ้ามีคู่ครอง.....
    ตอบ : มีคู่นี่ยิ่งไปง่ายเลย คนจะไปนิพพานจะต้องเห็นทุกข์รู้ทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์รู้ทุกข์แล้วรู้สึกเข็ด ในเมื่อรู้สึกเข็ดนี่ก็หาทางหนีทุกข์ซึ่งมันจะไปนิพพานได้ ดีไม่ดีไปง่ายด้วยเพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่มีคู่ถ้าหากว่าจิตใจมัวแต่ไปกังวลกับการทำมาหากิน ห่วงลูกห่วงผัวห่วงเมียมันกังวลอยู่มันก็จะไปยาก แต่ถ้าหากว่าผู้ใดก็ตามที่มีคู่แล้วเห็นทุกข์โอกาสที่จะไปมันง่ายกว่าคือถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงเห็นทุกข์จริงจิตมันยอมรับได้ง่ายกว่า มันลำบากจริง ๆ แล้วนี่คนเดียวก็ทุกข์จะแย่แล้วใช่มั้ย ? จาก ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเองก็กลายเป็นขันธ์สิบของสามีอย่างนี้ กลายเป็นขันธ์สิบห้าของลูก มีซะสองคนก็ยี่สิบไปเลย มันทุกข์กว่าเดิมหลายเท่ามันน่าจะไปง่ายกว่า ใครบอกว่ามีคู่แล้วไปนิพพานไม่ได้อย่าไปเชื่อ พระพุทธเจ้าก็มีใช่มั้ย ? นั่นจะต้นตำรับนิพพานเลย
    ถาม : เราทำบุญอะไรละค่ะถึงจะได้รู้ว่าเนื้อคู่เราคือแบบว่าเรามีทำบุญหรือทำกรรมอะไรมาคือว่าต้องมาผิดหวังในเรื่องของคู่ครอง ?
    ตอบ : เรื่องนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสมัยก่อนไปแย่งของคนอื่นเขาไว้รึเปล่า ? จริง ๆ แล้วหลวงพ่อเขาบอกว่า
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : คำว่าอวดอุตริมนุสธรรมนี้หมายถึงอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ก็คือว่า กล่าวถึงธรรมอันยิ่งของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป คือว่าคนทั่วไปไม่สามารถจะมีได้ ว่าตัวเองมีตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จริงเรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าหากว่าเป็นพระเขาปรับอาบัติปาราชิก คือขาดความเป็นพระไปเลย ธรรมอันยิ่งนั้นเขากล่าวเอาไว้ชัดเลยว่าเรื่องของฌานสมาบัติ เรื่องของวิมุติ เรื่องของวิโมกข์ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าตัวเองไม่ทรงฌานจริงไม่หลุดพ้นจริง แล้วกล่าวว่าตัวเองเป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้หลุดพ้นแล้วอะไรอย่างนี้เขาจะปรับขาดจากความเป็นพระไปเลย ถ้าหากว่ามี ปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์ เพราะว่าไปบอกอุตริมนุสธรรมที่ตัวเองมีกับผู้อื่นเขา
    ถาม : คำว่าบอกนี่ขอบเขตแค่ไหนคะ ถึงเรียกว่าบอก ?
    ตอบ : ตั้งใจอวดเขาเพื่อให้คนเลื่อมใส แล้วลาภผลและชื่อเสียงทั้งหมดจะเกิดแก่ตัว ถ้าหากว่าในการสอนธรรมกัน อย่างเช่นว่ากล่าวถึงนรกสวรรค์โดยใช้มโนมยิทธิไปอะไรก็ดี เหล่านี้ไม่ถือว่าอวดเพราะว่าเป็นการสอนเป็นการบอกต่อ แต่ถ้าหากว่าตั้งใจจะอวดเขาเพราะว่าฉันทำได้เพื่อให้คนเขาเลื่อมใส อย่างนั้นเสร็จแหง ๆ เลย อุตริสมนุสธรรมก็คือธรรมอันยิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปไม่สามารถจะเข้าถึงไม่สามารถจะมีได้
    ถาม : ..........................
    ตอบ : แสดงว่าพวกเราไม่เข้าใจเลย พระกริ่งจริง ๆ ที่สร้างขึ้นมานั้น หมายถึงพระไภษัชยคุรุ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ จะเห็นว่าในมือของท่านจะถือหม้อน้ำมนต์หรือหม้อยาอยู่ พระไภษัชยคุรุนี่คนจีนเรียกว่าตี่จั๊งผู้สัก ท่านจะเป็นเลิศในการรักษาคน พระโพธิสัตว์นี่บางสิ่งบางอย่างที่พระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ท่านปล่อยวางเพราะยอมรับกฎของกรม พระโพธิสัตว์นี่เพราะความปรารถนาจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์เีพียงประการเดียวอาจฝืนกฎของกรรมบางอย่าง ตัวเองจะรับผลอย่างไรก็ยอมเพื่อให้คนอื่นมีความสุข
    คราวนี้พระชัยวัฒน์ สมัยโบราณเขาจะหล่อพระหล่ออะไร เขาจะมีการทดลองเบ้าทดลองเนื้อโลหะดูว่ามันได้ที่หรือยัง พร้อมหรือยัง เขาจะหล่อเป็นองค์เล็กขึ้นมาก่อนเป็นการทดสอบ แล้วถ้าหากว่าเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาก็ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จในอันนั้นแล้ว เลยใช้คำว่าชัยวัฒน์ คือถึงพร้อมแล้วทุกอย่าง ถ้าหากว่าแปลตามเนื้อหาก็คือว่า เจริญด้วยชัยชนะ เพราะฉะนั้นพระกริ่งกับพระชัยวัฒน์ต่างกันตรงไหน อาจเหมือนกันเปี๊ยบเลยก็ได้ ต่างกันที่องค์ใหญ่องค์เล็กแค่นั้นเอง พระชัยวัฒน์จะเป็นองค์เล็กที่เขาหล่อนำขึ้นมาก่อนเพื่อดูว่าทุกอย่างพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมสมบูรณ์แล้วถึงจะลององค์ใหญ่ ไม่เช่นั้นถ้าองค์ใหญ่เสียจะลำบากเพราะหมดเยอะ
    ถาม : เมื่อวานดูทีวีเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าสังขารมี ๒ ประเภท ประเภทมีใจครองกับไม่มีใจครอง ถ้ามีใจครองมันก็ต้องเสื่อม แล้วจิตล่ะคะ ?
    ตอบ : จิตกับใจนี่จริง ๆ มันตัวเดียวกัน คราวนี้บางคนเขาเรียกว่า จิต บางคนเขาเรียกว่า ใจ บางคนก็เอาอาการเคลื่อนไป เอาตัวปรุงแต่งไปเป็นจิต เอาตัวรู้เป็นใจ บางคนเอาตัวเคลื่อนไปนั้นเป็นใจ เอาตัวรู้เป็นจิต เรียกกันให้มั่วไปหมด บางตำราอย่างในอภิธรรมเขาแยกออกว่าจิตมีตั้งกี่ดวง ๆ ล่อไปเหอะ อ่านเสียจนประสาทจะกลับ
    ถาม : แล้วเรียกว่าอย่างไร ?
    ตอบ : จิตนะเหรอ เรียกจิตเป็นจิตซิง่ายดี จิตเป็นผู้รู้ ในเมื่อเป็นผู้รู้ ถ้าหากว่าปรุงแต่งก็จะเป็นตัวสังขาร ถ้าหากว่าหยุดการปรุงแต่งจิตก็คือจิต
    ถาม : อย่างนี้สังขารก็มีความหมายมากกว่าตัวปรุงแต่งใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ในความหมายของเรา เราจะหมายถึงตัวตนร่างกายนี้เสียด้วย แต่ในความหมายทางธรรมจริง ๆ ก็คือความนึกคิดปรุงแต่ง อวิชชา ปัจจะยา สังขารา ความไม่รู้หรือรู้ไม่ครบ ก็เลยทำให้นึกคิดปรุงแต่ง ถ้ารู้ครบรู้จบแล้วสมบูรณ์แล้่วอย่างที่เราสรุปอยู่ข้างในอธิศีลนี่มันก็ไม่ต้อง
    ถาม : อ่านแล้วเหรอ ?
    ตอบ : ก็จับอยู่ตั้งนาน (หัวเราะ) มีอยู่วันหนึ่งไปนั่งเฝ้าหลวงพ่ออยู่ ท่านหยิบหนังสือพิมพ์มาดูต้นฉบับแล้วก็วาง ดูพาดหัวแล้วก็วาง เราก็รับมา ท่านก็ว่าไปเรื่่อย ๆ ตามเนื้อหาข่าว ละเอียดกว่าที่เขาเขียนอีก บางเรื่องนี่เราดูพาดหัวอยู่ข้างในกว่าจะหาเจออยู่ในซุบซิบนิดเดียว หลวงพ่อไม่ได้เปิดดูหรอก ท่านหยิบแล้วก็โยนหยิบแล้วก็โยน มาตอนหลังท่านบอกว่าถ้าหากว่าใช้คาถามงกุฎพระพุทธเจ้าทำจนเป็นฌานแล้ว อยากรู้เรื่องอะไรอยากรู้หนังสือเล่มนั้นว่าอะไรแค่นึกก็รู้ได้ แต่อาตมาทำไม่ได้หรอก เมื่อกี้นี่เปิดดูจ้ะ (หัวเราะ)
    ถาม : คาถาหลวงพ่อว่ายังไงบ้างคะ ?
    ตอบ : อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ เคยใช้ทีหนึ่งตอนสอบนักธรรมเอก เพราะว่าตอนนั้นอ่านหนังสือไม่ทันเป็นไวรัสลงตับเลยใช้วิธีจับหนังสือแทน นักธรรมเอกนี่เขาตกกันแล้วตกกันอีก ถ้าไม่ช่วยกันจริง ๆ กองหนังสือเป็นตั้งเลย ตอนสมัยนั้นเขาออกเจ็ดข้อ ถ้าไม่อ่านมันอาจออก แต่อ่านมันอาจไม่ออก เจอมหาสติปัฏฐานสูตรไปเล่มเดียวเราก็จะเพี้ยนแล้ว ท่องเกือบตายมันไม่ออกสักข้อเดียว มันไปออกเรื่องอื่นแทน แล้วมหาสติปัฏฐานสูตรมันเล่มเดียวเท่านั้นในธรรมวิจารณ์จะมีวิสุทธิ ๗ มีอะไรไล่ไปเรื่อยให้เราอ่านไป ท่องกันจนตาเหล่ แล้วคิดดูหนังสือตั้งแค่นี้มันออกเจ็ดข้อ มันไม่ใช้วิธีนั้นมันอ่านไม่ทันหรอกคนป่วย
    ถาม : นักธรรมสอบเป็นบาลีด้วยเหรอคะ ?
    ตอบ : มันจะมีบาลีด้วยแปลไทยด้วย บางทีก็ให้ตอบเป็นภาษาไทย บางทีก็ให้ตอบเป็นบาลี เสร็จแล้วความที่เราไม่มั่นใจ ความที่ไม่ได้อ่านมันเคยผ่าน ๆ ตามาบ้างว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ก็เลยไปนั่งเถียงกับเขา ตอบผิดไปนิดเีดียว จะมีว่า นะหิ รุณเนนะ โสเกนะ สันติง ปัปโปติ เจตะโสของเราว่าท้ายมันไม่ใช่อย่างนี้ ก็เลยไปแก้ท้ายเขาเสีย แก้สามคำ ผิด อยากทะลึ่งไม่เชื่อดีนัก ข้างหน้าถูกหมด ผิดท้ายนิดเดียว
    ถาม : อย่างนี้ถ้าจะสอบได้ก็ต้องมาเรียนแต่งเป็นบาลีได้ถึงจะสอบได้ ?
    ตอบ : มันจะมีบาลีเสริมอยู่ ไม่ต้องเรียนก็ได้ แต่ว่านักธรรมเอกนี้เป็นหลักสูตรที่ว่า ถ้าคุณสอบนักธรรมเอกได้คุณถึงจะสิทธิสอบเปรียญเอก คือเปรียญเจ็ด,แปด,เก้า ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้สอบสักที ถ้าจบแค่นักธรรมตรีนี่มีสิทธิเรียนแค่เปรียญตรีคือแค่หนึ่ง, สอง, สาม จบนักธรรมโทเขาให้สิทธิเรียนเปรียญเอก ติดเหง็กอยู่แค่นั้นแหละ หลวงปู่มหาอำพันท่านจะเรียนเปรียญเจ็ดต่อ ท่านสอบนักธรรมเอกอยู่สิบสองปีเต็ม ๆ หลวงปู่รู้คาถาช้าไปหน่อย (หัวเราะ) ถ้าหลวงปู่รู้คาถาก่อนหน้านั้นป่านนี้สอบเปรียญไหนแล้วก็ไม่รู้
    ถาม : เคยได้ยินว่าคาถานี้ทำให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ทั้งที่มืืดที่สว่างรู้หมด ?
    ตอบ : ก็เพราะแจ่มใสนะซิ พอจับเลยรู้หมดว่าเขามีอะไรบ้าง รู้หมดรู้จริง ๆ เชื่อแน่ ๆ ว่ารู้จริง ๆ เพราะว่านั่งเฝ้าหลวงพ่ออยู่ ท่านเองท่านหยิบขึ้นมาดูพาดหัวแล้วก็โยนมา แล้วท่านพูดเนื้อหาของมันทั้งหมดให้เราฟัง
    ถาม : พระโพธิสัตว์ค่ะ .............(ไม่ชัด).............อย่างนี้ตอนเรียนท่านต้องเก่งกว่าคนอื่น ?
    ตอบ : พระโพธิสัตว์อยู่ที่ไหนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้นำเขาอยู่แล้ว ไม่เก่งกว่าจะเป็นได้ยังไงล่ะ ? ไม่ต้องห่วงหรอก ยิ่งถ้าหากว่าเป็นชาติที่เป็นปัญญาบารมีด้วยแล้วรับประกันซ่อมฟรี รับรองต้องหาเกรดห้าให้ท่านแน่ ๆ เลย เกรดสี่ไม่พอหรอก นึกถึงนายกิ๊น เวลาอาจารย์เขาอธิบายวิทยาศาสตร์ใช่ไหม ? นักเรียนต้องพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ ถอดสมการด้วยวิธีนี้นะ อาจารย์อธิบายถอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายกิ๊นยกมือผมว่ามีอีกวิธีหนึ่งครับ ว่าแล้วพี่ท่านก็อธิบายไปแล้วอาจารย์ก็ต้องยอมรับด้วย เพราะวิธีทำของเขาอกมาคำตอบเท่ากัน แล้วเพื่อนจะชอบมากเพราะมันคนเดียวล่อเสียหมดชั่วโมง (หัวเราะ) คนเดียวจบปริญญาและประกาศนียบัตรมาสิบเจ็ดวิชา เขาบอกว่าเขายังรู้สึกว่ายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่เพื่อนบ่นว่าร้องเพลงสวดภาษาละตินไม่เอาอ่าว มันก็ไปเรียนภาษาละตินเสียอีกหนึ่ง เสร็จแล้วเขาบอกว่าไม่มีเซ้นท์ทางดนตรีเลยร้องเพลงก็คร่อมจังหวะ มันก็ไปเรียนดนตรีเสียอีกหนึ่ง...........อย่างสุนทรภู่เขาว่า
    จะเรียนร่ำทำอะไรไม่ลำบาก มียอดยากอยู่อย่างเดียวเกี้ยวผู้หญิง
    ถ้าพระโพธิสัตว์มากปัญญาบารมีก็ไม่ลำบากสำหรับท่านหรอก
    ถาม : ....................
    ตอบ : เพราะว่าเราเคยชินที่จะอยู่กับมัน สภาพของจิตนี่มันคล้าย ๆ กับน้ำ คือมันไหลลงต่ำได้ง่าย คราวนี้เรานี่มันไหลลงต่ำมาตลอด มันต่ำเสียจนบอกไม่ถูกว่าระยะทางนี้มันยืดยาวแค่ไหน จะตะกายคืนมันก็ลำบาก ไม่ค่อยมีกำลังใจ ทำชั่วมาเป็นแสน ๆ กัป กว่าจะหันมาดีได้
    ถาม : (ถามเรื่องเด็ก) ?
    ตอบ : เด็กดื้อก็คือธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจเขาว่าธรรมชาติของเด็กมันต้องดื้อต้องซนเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าธรรมชาติก็คือธรรมดา ธรรมดาก็คือธรรมะ ธรรมะคือความเป็นจริง ที่ปรากฎอยู่ในโลกนี้ ถ้ารู้ว่าเด็กเขามีธรรมชาิติคือต้องดื้อและซนเป็นธรรมดาใจเราต้องปล่อยวางและให้อภัยเขาได้
    ถาม : (ถามเรื่องผลการปฏิบัติ) ?
    ตอบ : เราต้องย้อนกลับไปดูสิ่งแวดล้อมว่า ตอนที่เราทำได้อย่างนั้น สิ่งแวดล้อมรอบข้างเราเป็่นอย่างไร เราคิดอย่างไรพูดอย่างไรทำอย่างไร อยู่ในลักษณะสิ่งแวดล้อมแบบไหน ในวงสังคมแบบไหน เพื่อนฝูงแบบไหน ครอบครัวแบบไหน ถ้าสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมเก่าขึ้นมาได้เราก็กลับมาแบบเดิมอีก
    คือพระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ ถ้าเรามีอารมณ์ใจไม่ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรอยู่ในใจของเรา เราต้องรู้จักแยกแยะว่าเกิดจากเหตุอะไร ถ้ามันมีส่วนที่ดีก็สร้างเหตุนั้นขึ้นมาผลดีก็จะเกิดขึ้นแก่เราอีก ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ตัดเหตุที่ไม่ดีนั้นเสียสิ่งที่ไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้น มันต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ เพราะฉะนั้นคุณต้องนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น คุณทำอย่างไรมา แล้วก็ทำอย่างนั้นอีก เพราะว่าอารมณ์ใจของเราแต่ละวันมันจะไม่เท่ากัน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไป กำลังใจมันเปลี่ยนไป สถานการณ์มันเปลี่ยนไป
    ถาม : (ถามเรื่องผลการปฏิบัติ) ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าตอนนั้นกำลังใจของเรามันทรงอยู่ในฌานตัวรักโลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ มันโดนอำนาจของฌานมันกดอยู่ มันจะไม่ถือสาหาความกับใครมากนัก เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถจะกินใจเราได้ ถ้าหากว่าสมาธิของเราเคลื่อนออกจาฌานลงมาเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราทันที เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังอยู่เสมอว่าอย่าให้ใจของเราหลุดออกจากจุดนั้น
    แต่ว่ามันมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่้งว่ามันเป็นอำนาจของจิตแท้เรา หรือว่ามันเป็นอำนาจของฌาน ก็คือดูว่าเราต้องใช้กำลังใจข่มอารมณ์ไว้หรือเปล่า ?
    ถ้าหากว่าเราไม่ต้องใช้อารมณ์ใจข่มอารมณ์ไว้ เห็นทุกคนมีสภาพเสมอกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นผู้ที่สมควรแก่ความรักความเมตตาสมควรแก่การสงเคราะห์ของเราโดยไม่ต้องไปบังคับใจของเราให้คิดไปทำอย่างนั้นเลย อันนั้นอารมณ์จากใจแท้ของเรา แต่ถ้าหากว่าเรายังต้องบังคับใจของเราคือต้องอย่างน้อย ๆ มีฌานกดเอาไว้แล้วก็ปฏิบัติไปตามแนวนั้น ก็ถือว่าตอนนี้ยังจำเป็นจะต้องทำเพื่อความก้าวหน้าไปอีกระยะหนึ่งถึงจะใช้ได้
    ถาม : (ถามเรื่องผลการปฏิบัติ) ?
    ตอบ : อย่าลืมว่าพรหมวิหารสี่ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ใช่ว่าเมตตาเขาดะไป ดูว่าใครสมควร ใครไม่สมควร รู้จักเอ่ยคำว่าไม่ให้เป็นมั่ง เพราะว่าตัวอุเบกขา คือการยอมรับกฎของกรรมเราช่วยเขา แค่ว่าตัวเราไม่เดือดร้อน ถ้าตัวเราต้องเดือดร้อนเราก็ระงับการช่วยอันนั้นได้ไม่มีใครเขาตำหนิเราไม่มีใครเขาด่าว่าเรา ยกเว้นคนพาลเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น ถ้าหากว่าเรายกอุเบกขาขึ้นมาใช้ใครที่ไหนเขาจะมาเบียดเบียนเราได้ล่ะ
    ถาม : แล้วมันมีจุดหนึ่งครับในการทำสมาธิ อาการใจมันไม่เคลื่อนเลย มันไม่ต่ำลงไปแล้วก็ไม่สูงขึ้น ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นการทรงฌาน ถ้าหากว่าทรงฌานตอนแรก ๆ มันไม่เคยชิน มันเหมือนกับเราได้อะไรมหาศาลน่าตื่นเต้นมาก แต่หลังจากที่เราทำไป ๆ สิ่งที่เราคิดว่าได้มากมหาศาลแท้จริงมันมีนิดเดียว มันก็เลยกลายเป็นว่ามันชักเฉย ๆ เหมือนกับตายด้านกับมัน
    เพียงแต่ว่า ลักษณะนั้นจริง ๆ แล้วก็มีประโยชน์ สามารถรักษาใจของเราไม่ให้ฟุ้งซ่านไปกับรัก โลภ โกรธ หลงได้ นิวรณ์จะกินใจของเราไม่ได้ แต่ว่าให้มีสติอยู่เสมอว่า เราแค่อาศัยมันเท่านั้น มันไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา มันเพียงเพียงเครื่องมือที่จะส่งเราให้ไปถึงจุดหมายเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเราไม่มีสติไปยึดไปเกาะว่ามันเป็นิส่งที่ดีวิเศษเลิศแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยังก็ยึดติดอยู่ในรูปราคะอรูปราคะ เป็นสังโยชน์ใหญ่ที่ดึงให้เราอยู่กับวัฏฏะต่อไป
    ถาม : .......................
    ตอบ : จริงแล้วถ้าคิดว่าเราก็ตายเขาก็ตายมันก็จบแล้ว เราเองจะดีกว่าเขา จะเสมอเขา หรือจะเลวกว่าเขา เราก็ตาย เขาเองจะดีกว่าเรา จะเสมอเรา หรือจะเลวกว่าเรา เขาก็ตาย ต่างคนต่างเกิดขึ้นในเบื้องต้นเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและสลายไปในที่สุด ไม่ว่าเราจะยกตัวของเราสูงกว่าหรือกดตัวของเราต่ำกว่าหรือดึงตัวของเราเสมอเขา ในที่สุดต่างก็มีวาระสุดท้ายอย่างนี้ ในเมื่อพิจารณาอย่างนี้ไปใจมันก็ค่อย ๆ คลายอารมณ์นั้นลงเอง
    ถาม : ...........................
    ตอบ : ถ้าหากว่าตอนพิจารณาตัวกามฉันทะมันเกิดยาก ยกเว้นว่าเราจะไปฟุ้งซ่านปรุงแต่งอยู่เฉพาะเรื่องของมันมันถึงจะเกิดได้ อย่าลืมว่ากรรมฐานทุกกอง กรรมฐานทั้งสี่สิบกองบวกสติปัฏฐานสูตรด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนเลยว่ากองใดกองหนึ่งก็ไปนิพพานได้ ถ้ามันไม่สามารถตัดราคะ ตัดโทสะได้ไปนิพพานไม่ได้หรอก มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราทำถูกไหม จำเป็นต้องทำให้เคยชิน เพาะบ่มให้มันอยู่กับเราตลอดเวลาเพื่อให้จิตใจของเราอยู่กับความดีตลอดไป พอใจมันชินกับความดีถึงเวลาตายมันก็ไปที่ดี
    ถาม : เกี่ยวกับอารมณ์อนุสสติของใจที่มันเกิดขึ้นมีอารมณ์พิจารณาด้วย ทีนี้พอเกิดได้สองวันมันก็หายไป จะทำอย่างไรถึงจะเอามันอยู่ ?
    ตอบ : น่าเสียดายมากเลย คืออารมณ์ใจของเรามันดำเนินไม่ต่อเนื่องเพียงนิดเีดียวเท่านั้นเอง พอสติเผลอตัวนิวรณ์ก็เข้าแทรกแทน ทำให้อารมณ์ใจตรงนั้นมันขาดช่วงลง จริง ๆ แล้วก็คือพยายามรักษาสติให้มันต่อเนื่องตามกันไปตลอด ถ้าหากว่าทำไปถึงระดับหนึ่ง จนหลับกับตื่นอารมณ์ใจเราจะเสมอกัน หลับอยู่้ก็รู้ตลอด ตื่นอยู่ก็รู้ตลอด ถ้าอย่างนั้นการพิจารณาของจิตมันจะดำเนินไปเองเรื่อย ๆ โดยเรามีเพียงหน้าที่รับรู้และกำหนดตามไปเท่านั้น เพียงแต่ว่าอย่าเผลอให้สติมันไปสนใจเรื่องอื่น สิ่งที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อย่าให้มันเข้าสู่ใจ ปล่อยให้ใจทำหน้าที่เฉพาะของมันไป กลับไปทำให้ได้ใหม่ จวนจะดีแล้วนิดเดียวแค่นั้นเอง
    ถาม : แต่ว่าอารมณ์ใจมันเกิดขึ้นเอง ?
    ตอบ : มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นเอง เมื่อครู่บอกแล้วว่าเราทำสิ่งแวดล้อมแบบไหนมันถึงเกิดขึ้น ก็ให้ทำแบบนั้นอีก มันไม่มีอะไรที่มาเองไปเองหรอก ทุกอย่างเกิดจากเหตุทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราเองเผลอไปหน่อยหนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองทำดีอีท่าไหน โบราณเขาเรียกว่าขี้ตรงร่อง (หัวเราะ)
    สมัยโบราณเขาเจาะร่องกระดานไว้ เพราะเป็นใต้ถุนสูงใช่ไหม ? ถ้าลงจากบ้านกลางคืนบรรดาสัตว์ร้ายหรือคนร้ายอาจทำร้ายเอา ก็ใช้เวลาถ่ายลงร่องไป ของเราบังเอิญตรงร่อง เสียดายว่าไม่ได้ทำต่อไปเอาใหม่นะ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง
    ถาม : เวลาช่วงที่นั่งสมาธิ เวลาตัวชาเกิดขึ้น สามารถใช้ตรงนั้นให้เป็นประโยชน์ได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้ คือเรากำหนดรู้ไปเลยว่าสภาพที่แท้จริงของร่างกายของเราเป็นอย่างไร ? ถ้ามันถึงตรงจุดนั้นแสดงว่าประสาทร่างกายกับจิตใจคนละส่วนกันแล้ว อาการมันเหมือนยังกับว่าชาจากปลายมือปลายเท้าเข้ามา หรือไม่ก็เริ่มจากบริเวณปากหรือจมูกของเราออกไป อาการอย่างนั้นแสดงว่าประสาทร่างกายของเราเริ่มจะไม่รับรู้อาการภายนอก อาการที่จิตใจดำเนินอยู่ มันทำให้จิตกับประสาทแยกส่วนกันไม่สามารถรับรู้ถึงกันได้
    บางคนรู้สึกแข็งเป็นหินทั้งตัวก็มี เหมือนโดนปูมัดอยู่ตึงเป๋งเลยก็มี ถ้าหากว่าเราจับจุดนั้นขึ้นมาเป็นตัวพิจารณาว่า สภาพร่างกายนี้แท้่จริงแล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเลย เราอาศัยมันอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ร่างกายนี้มันเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง เราคือผู้ที่ขับเคลื่อนรถคันนั้นไป ตอนนี้เราเพียงแค่หยุดไม่ทำการขับเคลื่อนต่อเพียงแค่นี้ รถมันก็ทำท่าจะพังเสียแล้ว มันไม่ยอมไปกับเราเสียแล้ว ในเมื่อสภาพที่แท้จริงของมันเป็นอย่างนี้ เราเองยังต้องการมันอยู่อีกไหม ? ถ้าหากว่าเราจับจุดนี้ขึ้นมาพิจารณามันก็จะมีประโยชน์มาก ก็จะเห็นความจริงของร่างกายของเรา ตั้งใจทำต่อ ระวัง ๆ เอาไว้นิดหนึ่ง สมาธิมากเกินไปมันก็เครียด แต่ขณะเดียวกันพิจารณามากเกินไปบางทีมันเผลอมันก็หลุดออกไปฟุ้งซ่านได้เหมือนกัน จริง ๆ แล้วถ้าสติของเราสมบูรณ์ โอกาสพลาดมันน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วของพวกเราสติมันน้อยอยู่ ถึงเวลามันพลาดแล้วมันพลาดยาวเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ แล้วนาทีที่กำลังจะตายอารมณ์ทรงตัวมีร่างกายไปนิพพานมันกำลังจะตายอยู่แล้ว ถ้าตายตอนนั้นจะไปนิพพานมั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอารมณ์ของพุทธภูมิจริง ๆ มันจะไม่ตัดอารมณ์ใจของความดีเขาเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้แต่ไม่ได้ตัดนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าคิดว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์จริง ๆ ไปยากเต็มที ถีบไปยังไม่อยากจะไปเลย
    ถาม : อย่างนี้หมายความว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกจะเอาอารมณ์ตั้งไว้ที่ไหน ถ้าไม่ตั้งขึ้นไปนิพพาน ?
    ตอบ : ก็ตั้งไว้ที่ดุสิตหรือที่พรหมก็ได้ เพราะว่าที่อยู่ของพระโพธิสัตว์นี่ ถ้าไม่ประจำอยู่ดุสิตก็ไปพรหม จริง ๆ แล้วพระโพธิสัตว์ไม่ใช่ว่าไม่เกาะนิพพาน เกาะได้เต็มที่เลยเแต่เพียงแต่ว่าเกาะขนาดไหน อารมณ์ใจมันก็ไม่ตัดทีเดียว
    ถาม : ถ้างั้นก็คิด ตอนนั้นคิดไปแบบนั้นถ้าตายตอนนั้นมันก็ไม่นิพพาน ?
    ตอบ : ยกเว้นว่าเราเองเลิกแล้ว
    ถาม : แต่มันไม่เลิก ?
    ตอบ : ไม่เลิกก็เป็นต่อสิ กติกาพระโพธิสัตว์เขาเยอะ ถ้าเกิดเป็นคนหรือสัตว์อัตภาพร่างกายจะไม่โตกว่าช้างและไม่เล็กกว่านกกระจาบ ไดโนเสาร์เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ห้ามลงโลกันตนรก ที่เหลืออีก ๔๕๖ ขุมเชิญลงตามสบาย ห้ามเป็นอรูปพรหม บังคับเลยนะต่อให้เป็นสมาบัติแปดคลอ่งตัวขนาดไหนก็ตามถึงเวลาอารมณ์ใจมันจะเลื่ือนลงมามันจะไม่เกาะตัวอรูปฌาน เพราะว่ามันเป็นกติกาบังคับของพระโพธิสัตว์เขา โลกันตนรกไม่มีอายุนี่ กว่าจะได้โผล่ขึ้นมาอีกทีไม่รู้นานเท่าไหร่ มันเสียเวลาสร้างบารมี อรูปพรหมก็เหมือนกัน อรูปพรหมนี่ก็หนึ่งหมื่นมหากัปสองหมื่นมหากัป สี่หมื่นมหากัป แปดหมื่นมหากัป อยู่ไหวมั้ย ? ยิ่งไปเจอขั้นสุดท้าย แปดหมื่นมหากัปนี่อยู่กันลืมไปเลย เห็นเขาว่าหนึ่งมหากัปมี ๖๔ กัป เจริญมั้ย ? ลูบภูเขาสึกไป ๖๔ ลูก
    ถาม : ด้วยแพรเบาบาง ?
    ตอบ : ผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีลูบภูเขากว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ร้อยปีลูบครั้งหนึ่ง สึกเสมอพื้นเมื่อไหร่ก็ ๑ กัป ลูบไปได้ ๖๔ ลูก เพิ่งได้ ๑ มหากัป
    ถาม : แล้วกติกาของพระโพธิสัตว์นี่จะเริ่มตั้งแต่อธิษฐานชาติแรกเลยหรือเปล่า ?
    ตอบ : ตั้งใจเลยก็เป็นเอาว่าตามนั้นเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วชาติแรก ๆ มักจะลงนรกด้วยความที่ว่ากำลังใจของตัวเองเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นแล้วลำบากแค่ไหนก็ยอม เพราะฉะนั้นบางอย่างที่ต้องละเมิดศีลละเมิดธรรมเพื่อความสุขของผู้อื่นเขาก็ยอมทำก็ลงเท่านั้นเอง
    ถาม : เราได้กลิ่นน้ำมันจันทน์หอมนี่หมายถึงอะไร ?
    ตอบ : หมายถึงว่าเราได้กลิ่นจ้ะ
    ถาม : ไม่ได้มีนิมิตว่า ?
    ตอบ : ฆานะสัมผัสสะชา เวทะนา บางทีก็เป็นนิมิตให้รู้เหมือนกัน พวกกลิ่นน้ำมันจันทน์ส่วนใหญ่จะเป็นพรหมที่ท่านมา ลองกำหนดดูด้วยทิพจักขุญาณดูซิว่าใคร ใครเป็นเจ้าของกลิ่น ขอรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงด้วยก็แค่นั้นเอง
    ถาม : เพียงแต่สงสัยว่าก่อนที่เราได้กลิ่น เราก็ไม่ได้ทำความดีอะไรมากมาย ?
    ตอบ : บางทีท่านก็มาเตือนว่าตอนนี้ชั่วแล้วจ้ะ รีบตั้งหน้าตั้งตาทำความดีได้แล้ว
    ถาม : ตัด...คือเราไม่มีร่างกายมันรู้สึกเราปรารถนานิพพาน ตรงนั้นที่กำลังจะตายคิดอย่างนี้สรปุแล้วคือคิดผิดรึเปล่าคะ ?
    ตอบ : ยังผิดอยู่
    ถาม : ก็คือต้องตั้งอารมณ์ ?
    ตอบ : พอถึงระยะสุดท้ายแล้วมันจะปล่อยทุกอย่างหมด กระทั่้งนิพพานก็ไม่ต้องเกาะ มันจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ตอนนั้นไม่ต้องคิดไม่ต้องทำไม่ต้องอะไรหรอก อยู่เฉย ๆ มันก็ไปเอง
    ถาม : แต่การปรารถนาพุทธภูมิตั้งอารมณ์ไม่ถูก ?
    ตอบ : คนที่ปรารถนาพุึทธภูมินี่ถ้าไม่เลิกไม่ต้องคุยเรื่องนี้เลย (หัวเราะ) ยังคลำกันอีกนานยกเว้นว่าจะเป็นพุทธภูมิประเภทปรมัตถ์อารมณ์เทียบเท่าพระอรหันต์อย่างนั้นแล้วคุยได้แน่ เพราะท่านรู้ละเอียดกว่า คือขอยืนยันว่าถึงวาระสุดท้ายแล้วมันไม่ต้องเกาะอะไรเลย อารมณ์นิพพานมันจะเต็มอยู่ในใจเอง
    แรก ๆ เกาะขึ้นบันไดมาเกาะราวบันไดใช่มั้ย ? เดินเข้ามาถึงห้องแล้วราวบันไดแบกมาด้วยหรือเปล่า ? เปล่า....มันถึงเวลาไม่ต้องเกาะไม่ต้องแบกแล้ว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความดีนั่นเสียแล้วก็เลยไม่ต้องไปไขว่คว้า ไม่ต้องไปยึด ไม่ต้องไปเกาะอีก...ท่านเปรียบเหมือนยังกับว่า ตอนแรกสองแม่ลูกไปงมปลาด้วยกัน ลูกคว้างูมาได้ก็ดึงมันขึ้นมา แม่..ได้ปลาตัวเบ้อเร่อเลย ไม่รู้จักงู แม่เออ...ดีลูกกำให้แน่น ๆ นะ ระวังมันจะหลุดไป ลูกก็กำซะแน่นเชียว เสร็จแล้วพอแม่เขาเห็นว่าปลอดภัยจากงูแล้วก็บอกให้รู้ บอกว่าไอ้หนูอย่าตกใจนะลูก ไอ้นั่นมันงูไม่ใช่ปลา กำมันแน่น ๆ แล้วก็ดึงมันออกมา เสร็จแล้วก็เหวี่ยงมันไปไกล ๆ นะ ตอนแรกต้องเกาะก่อนเพื่อความปลอดภัย กำแน่น ๆ แล้ว หลังจากนั้นก็ทิ้งมันไป พอทิ้งมันแล้ว ปลอดภัยมั้ยล่ะ ? งูมันไม่กัดเราแล้วนี่ใช่มั้ย ? เออ....มันก็ปลอดภัยเหมือนกัน
    ถาม : ก็คือทำอย่างนี้ ถ้าเป็นพุทธภูมิทำอย่างนี้ก็ได้ใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : เหมือนกัน พุทธภูมินี่ต้องยิ่งต้องทำมากกว่านี้หลายเท่าเพราะว่าอย่างน้อย ๆ นี่ต้องรู้กว่าคนปกติ ๔ เท่า หรือจะรู้ ๑๖ เท่าก็เอา
    ถาม : ก็กลัวว่าจะตั้งอารมณ์ยังไง เวลาตาย ?
    ตอบ : นั่นแหละเกาะนิพพานให้แน่นไปเลย
    ถาม : ทำแบบนั้นก็ได้ ?
    ตอบ : เอาไว้ก่อน คือตราบใดที่ยังเกาะยังไม่ไปถึงหรอก ถ้าเลิกเกาะเมื่อไหร่ไปได้แน่
    ถาม : เวลาคนเราภาวนาอย่างนี้ในระหว่างภาวนาแบบที่ทรงญานกับภาวนาแบบที่ทรงฌานได้ ๒ อย่างนี้มารมาดลใจได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ได้ มันหลอกทั้ง ๆ ที่ทรงสมาบัติ ๘ นั่นแหละ
    ถาม : ทรงสมาบัติ ๘ นี่เกาะพระอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ?
    ตอบ : อยู่จ้ะอยู่
    ถาม : แล้วยังหลอกได้อีกเหรอ ?
    ตอบ : สบาย มันเป็นพระมาเลยให้เกาะด้วย (หัวเราะ) ยังไม่รู้ฝีมือเขาซะแล้ว
    ถาม : ปานนั้นเชียว ?
    ตอบ : ถ้าตราบใดทีคุณยังไม่เข้าพระนิพพาน มันหลอกสะบั้นหั่นแหลก มันหลอกกระทั่งพระอรหันต์น่ะ
    ถาม : พระอรหันต์ก็หลอกได้ ?
    ตอบ : มันได้หลอก ได้หลอกคือไม่ยอมเชื่อไง มันก็จะพยายามหลอก มันได้หลอก
    ถาม : บางทีที่เรารู้สึกว่ามีอะไรมาดลใจ นี่มันก็ต้องพิจารณาก่อนทุกครั้งใช่มั้ย ?
    ตอบ : พิจารณาก่อน อาจจะเป็นความขี้เกียจมาดลใจก็ได้
    ถาม : หรือไม่ขณะนั้นเราจะภาวนาแบบเกาะพระ....?
    ตอบ : บอกแล้วยังเกาะอยู่ มันยังไปไม่ได้ ในเมื่อมันยังเกาะอยู่นี่ มันก็ยังอยู่ให้เขาหลอกนั่นแหละ และก็ไม่ต้องไปเลิกเกาะนะ เลิกเกาะยิ่งลงนรกใหญ่เลย มันต้องเกาะไปก่อนจนกว่าเขาจะเลิกของเขาเองโดยอัตโนมัติเพราะรู้ว่าพอแล้วเต็มแล้ว พูดยากมันเลยไปไกล อาตมาเองยังคลำไม่ค่อยจะถูกเลย เดี๋ยวมันจะเบลอกันใหญ่เอาแค่นี้ ฟังแล้วง่วงมั้ย ?
    เราต้องดูว่าอารมณ์ใจตัวนั้นมันประกอบด้วยอารมณ์เบื่อหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ามันเบื่อมันจะเป็นนิพพิทาญาณ แต่ถ้าหากว่ามันรู้สึกว่าุสิ่งทุกอย่างมันจืดชืดไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรนี่มันเป็นสังขารุเบกขาญาณ
    ถาม : ถ้าตัวสังขารุเบกขาญาณจะต้องมีตัวนิพพิทาเกิดก่อนเสมอ ?
    ตอบ : นิพพิทามันจะมาก่อน ถ้าหากว่าก้าวข้ามนิพพิทาไม่ได้มันก็จะไม่เป็นสังขารุเบกขาญาณ
    ถาม : เข้าใจล่ะ
    ตอบ : ฉะนั้นคุณต้องเบื่อก่อน เบื่อให้เยอะ ๆ ไว้
    ถาม : เพราะฉะนั้นเราเบื่ออะไรมาก ๆ นี่เราอาจจะรีบพิจารณาใช่มั้ย ?
    ตอบ : ใช่.....ส่วนใหญ่มันเบื่อแล้วมันก็ไปหมองอยู่อย่างนั้น ตายลงไปละขาดทุนยับเยินเลย
    ถาม : แล้วถ้าเกิดเป็นเพราะ...(ไม่ชัด)...ขึ้เกียจ ?
    ตอบ : ก็ถือว่าขี้เกียจแล้วได้ดี คือมันไม่ได้อยากได้อะไรมันเลยขี้เกียจไม่ทำ ไม่รู้จะดิ้นรนไปทำไม จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นคนมีความสุข เพราะรู้จักพอตั้งแต่แรก โบราณเขาว่าขี้ตรงร่อง ไอ้ขี้ตรงร่องก็คือโบราณเขาจะประเภทที่เรียกว่าปลูกเรือนใต้ถุนสูง แล้วมันจะมีร่องกระดานอยู่ข้างล่างก็จะมีโอ่งรองเอาไว้ เพราะว่าถ้าหากลงจากบ้านเวลาค่ำคืนก็อาจจะมีอันตรายจากพวกสัตว์ร้าย ก็ใช้วิธีขึ้จากบนเรือนลงไป บังเอิญขี้ตรงร่องไม่ได้เจตนา เพราะฉะนั้นพอรู้แล้วว่าร่องอยู่ตรงนั้นก็รีบ ๆ ขี้ซะ
    ถาม : มันจะไปแน่ขนาดนั้นเชียวเหรอ ?
    ตอบ : บางคนนี่ง่ายขนาดนั้นจริง ๆ เป็นเราอ่าน ๆ ดูในพระไตรปิฎก บางทีอิจฉาพระอรหันต์หลายองค์เหลือเกิน ท่านไปของท่านง๊ายง่าย ดูอย่างพระพาหิยทารุจีริยะ ถึงเวลาพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป แค่นั้นเอง..บรรลุแล้ว
    แต่คราวนี้กว่าจะง่ายขนาดนั้นนี่ต้องดูด้วยว่าท่านเกิดมาเท่าไหร่ ? ถ้าเห็นชาตินั้นชาติเดียวก็ขาดทุน เกิดมาตั้งเท่าไหร่ เดินทางด้วยเท้าเปล่า ๑๒๐ โยชน์มันเท่าไหร่ โยชน์หนึ่ง ๑๖ กิโล ๑๐ โยชน์ ๑๖๐ กิโล ๑๐๐ โยชน์นี่ ๑,๖๐๐ กิโล เขาล่อไปซะตั้งเท่าไหร่เดินทางพันกว่ากิโลรวดเดียวเพื่อไปหาพระพุทธเจ้า เจอเสร็จกอดพระบาทไว้ไม่ยอมให้ไปไหนขอฟังธรรมเถอะ ถามว่าทำไม ? ท่านไม่ยอมประมาท ท่านกลัวว่าท่านจะตายซะก่อน รอพระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสร็จอาจจะตายก็ได้อย่างนี้
    ถาม : เพราะท่านเดินมาไม่หยุด ?
    ตอบ : เสร็จแล้วก็ตายจริง ๆ ฟังธรรมเสร็จบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าท่านไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระศาสนาเลย จีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ไม่มี พระพุทธเจ้าก็เลยให้ไปหาบาตรหาจีวรก่อน ไปโดนวัวขวิดตาย
    ถาม : แล้วอย่างนี้พ่อแม่ท่านได้บุญมั้ยคะ บุญจากการบวช ?
    ตอบ : ได้อยู่แล้ว
    ถาม : เป็นพระอรหันต์ก็ได้เลยใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาไปบวชแล้ว เพียงแต่ว่ารอให้รูปแบบมันถูกต้องก็เลยให้ไปหาบาตรหาจีวรก่อน
    ถาม : ถ้าเรื่องการพิจารณานี่ก็คือว่า เวลาดำรงชีวิตประจำวันนี่ บางครั้งพอเจอเหตุการณ์เจอเรื่องราวอะไรแล้วทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ แบบว่าพอคิดแล้วก็จะรู้สึกว่าคิดได้อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งแต่พอไปทำอย่างอื่นพอผ่านเวลาผ่านไปวันต่อ ๆ มาก็เละ ?
    ตอบ : นี่จิตของเรามันไม่ได้มุ่งอยู่เฉพาะเรื่องเดียว ฉะนั้นปกติของมันจะเป็นอย่างนั้น ยกเว้นว่าเราตั้งหน้าตั้งตาจะทำจริง ๆ อันนั้นจิตของเราต้องมุ่งอยู่เฉพาะเรื่องเดียวแล้วก็พิจารณามันให้ต่อเนื่องไปเลย ถ้าไม่อย่างนั้นทุกคนจะประสบปัญหาเหมือนกันก็คืออยู่ได้พักหนึ่ง พอกระทบเข้ารู้สึกตัวแล้วก็นึกขึ้นมาได้ พิจารณาได้พอพ้นจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่มีปัจจัยมากระตุ้นก็ลืม
    เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วการดำนินชีวิตของฆราวาสมันอยู่ในลักษณะนี้ได้ถือว่าดีแล้ว คืออย่างน้อย ๆ มีเวลาคิดได้บ้าง ถ้าหากว่าต้องการเอาผลการปฏิบัติจริง ๆ ต้องพยายามรักษาอารมณ์ใจให้มันต่อเนื่องยาวนานออกไปอย่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ
    ถาม : เรื่องสมาธิก็คือเวลาเข้าสมาธิก็จับสามฐาน สามจุดก็คือปลายจมูกที่อกแล้วก็อยู่ในท้อง ทีนี้ตรงปลายจมูกนี่จะรับ....(ไม่ชัด)....รู้สึกแค่ลมกระทบจมูกแล้วก็ตรงนี่มันไม่มี ?
    ตอบ : ไล่ตามดูไปเฉย ๆ ก่อน ตามนึกรู้ตามไปว่ามันหายใจเข้าไปทางไหน แรก ๆ ถ้าจิตยังหยาบอยู่ ข้างในที่มันตกกระทบแถวอกแถวท้องนี่มันยังไม่ค่อยรู้สึก พอจิตมันละเอียดขึ้นมันจะจับความรู้สึกนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ต้องใช้ความพยายามอยู่ระยะหนึ่งทำต่อไปเถอะ ถ้าหากว่า่มันไม่เอาจริง ๆ เอาแค่ปลายจมูกอย่างเดียวก็ได้
    ถ้าหากว่าในวิสุทธิมรรค เขาบอกว่าเหมือนกับคนเลี้ยงวัวไปถึงก็เฝ้าปากประตูไว้ตอนเช้า ๆ ก่อนจะปล่อยวัวออกไปหากิน เฝ้าปากประตูไว้แล้วไล่นับ ๑,๒,๓,๔,๕ วัวเรามีกี่ตัวเรารู้อยู่่ตลอด เอาจุดเดียวก็ได้ คือลักษณะบอกว่าใช้จับสัมผัสมัน มันจะมีแบบไม่เอาจุดเลย รู้ตลอดไปเลยก็ได้ เขาเรียกแบบไม่เอาสัมผัส เสร็จแล้วจะรู้ฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐานอะไรแล้วแต่เรา
    ถาม : คือที่ทำสามฐานก็ทำตามคำแนะนำ เพื่อที่จะได้ได้ความรู้พิเศษเพื่อจะเอามาใช้เป็นประโยชน์ในการที่จะพิจารณาหรือเอาไว้ช่วยเหลือคนที่จะให้เขาคิดได้ ?
    ตอบ : นั่นมันจุดมุ่งหมายของเรา คือเราตั้งใจไว้ว่าเราจะเอาผลไปทำอะไรอันนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่ว่าวิธีการทำที่ดีที่สุดก็คือ พยายามทำให้มันต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ถ้าหากว่ามีการขาดช่วงขึ้นมา มันถึงเวลาเท่ากับเราเปิดช่องให้กิเลสมันตีกลับ ถ้ากิเลสมันตีกลับนี่บางทีมันรุนแรงกว่าปกติทั่ว ๆ ไป แล้วเอาคืนได้ยาก
    ถาม : รู้สึกคนที่ไม่ได้ปฏิบัตินี่เหมือนกับว่า ...(ไม่ชัด)...ถ้าสมมติว่าคนที่พยายามตั้งใจทำแล้วปล่อยให้กิเลสมันตีกลับ มันจะตีกลับ ?
    ตอบ : ก็แรงกว่าปกติ ลักษณะมันเหมือนกับว่าเราโดนขังคุกอยู่ เรายอมอยู่ภายในโดยสงบเสงี่ยมเจียมตนไม่มีการดิ้นรนไม่มีการต่อสู้มันก็รู้สึกสบายๆ แต่ถ้าเราคิดจะดิ้นรนหาทางออกมันก็เหมือนกับว่าผู้คุมเขาคอยระวังเราอยู่ ถ้าเรายังดื้อมากเขาเฆี่ยนเอาตีเอานี่มันจะเป็นมากเลยช่วงต่อสู้
    ถาม : สุดท้ายแล้วจะขอคำแนะนำครับ คือตอนนี้ก็พยายามรักษาศีลเป็นประการแรก แล้วก็สมาธินี่ทำยังน้อยอยู่ แล้วก็คิดว่าต้องทำเป็นประการที่สอง แล้วก็เวลาดำรงชีวิตประจำวันบางทีมีเหตุการณ์อะไรก็จะคิดจะพิจารณา ทำอยู่ ๓ อย่างมีสิ่งที่จะต้องเพิ่มเติม ...?
    ตอบ : ถ้าจะให้เพิ่มเติมคือเพิ่มเติมตัวพิจารณา พยายามให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เราพบที่เราเห็นมันมีความสุขหรือมีความทุกข์ พยายามดูให้เห็นว่ามันมีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น ที่เราว่าสุขก็คือมันทุกข์น้อย ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก แค่ไปดูคนที่ป้ายรถเมล์ก็พอแล้ว แต่ละคนดูมันทำหน้าเข้าสิมีใครทำหน้ามีความสุขบ้าง บางคนนี่ดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก เมื่อไหร่มันจะมาซะทีหนึ่ง มันมาแต่คันที่เราไม่ได้รอ คันที่เรารอมันไม่มาซะทีจะเป็นอย่างนั้น ดูเขาดูสีหน้าเขาก็รู้แล้วเขาแบกทุกข์ไว้เต็มที่เลย เต็มไปด้วยความเร่าร้อนกระวนกระวาย
    ฉะนั้นพยายามให้เห็นมันตลอด อยู่บนรถเมล์ก็เหมือนกันทุกคนต้องตะเกียกตะกายไปทำงานเพื่อที่จะได้เงินมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองและครอบครัว คนที่จะต้องรีบไปตั้งแต่เช้าตรู่ขณะนั้นถึงเวลาเหนื่อยทั้งวัน กลับมาพักผ่อนได้ไม่ทันจะเต็มที่ก็ถึงเวลาที่จะไปใหม่อีกแล้ว แต่ละคนนี่เขามีสุขหรือมีทุกข์ พยายามดูให้เห็นความจริงตรงนี้ ให้ใจมันยอมรับให้ได้ ถ้าใจมันยอมรับแล้วต่อไปสบาย ถ้ามันไม่ยอมรับก็พยายามหน่อย แรก ๆ มันก็เป็นแค่สัญญาคือความจำ พอนาน ๆ ไปมันยอมรับได้ก็เป็นปัญญา พยายามเพิ่มตรงจุดนี้แหละจุดการพิจารณา
    ตัวสมาธิถ้าหากว่าไม่มีเวลาจริง ๆ อาศัยว่าพอเราทำในช่วงระยะที่เรามีเวลานั่ง พออารมณ์ใจมันทรงตัวได้ในระดับไหนถึงเวลาเลิกไปลุกไปจากที่นั้น รักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ประคับประคองให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเพื่อที่เราจะได้มีความสุขอยู่เย็นได้อย่างที่เราต้องการ ถ้าสมาธิมันคลายตัวเดี๋ยวพวกรัก โลภ โกรธ หลงมันเข้ามาพาาเราฟุ้งซ่าน
    ถาม : ................
    ตอบ : สำหรับพระแล้วปกติถ้าตามแบบโบราณจริง ๆ ไม่ถึงห้าพรรษาครูบาอาจารย์ไม่ปล่อยไปไหนหรอก กลัวจะไปทำผิดพลาดอื้อฉาวอย่างที่เป็นข่าวเป็นคราวกันทางหนังสือพิมพ์บ้างโทรทัศน์บ้าง
    แต่ว่าสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์พอบวชแล้วก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้อบรบ เลยทำถูกบ้างผิดบ้าง ที่ถูกก็ถือว่าเสมอตัว ที่ผิดก็พาให้เสียหายกันหมดทั้งระบบเลย รอซักระยะหนึ่งประเดี๋ยวพอเคยชินกับระเบียบของวัด เคยชินกับความเป็นพระแล้ว รู้อะไรควรอะไรไม่ควรเดี๋ยวจะให้พวกเรานิมนต์มาเอง ตอนนี้ก็ต้องให้ท่านปรับตัวระยะหนึ่ง โดยเฉพาะพระบวชใหม่ ๆ เรื่องระเบียบของวัดก็ดี การสวดมนต์ไหว้พระอะไรก็ดีมันเยอะ ต้องท่องหนังสือกันเป็นเล่ม ๆ แล้วในช่วงพรรษาก็มีเรียนอีก แรก ๆ ต้องเอาให้อยู่ตัวก่อน พออยู่ตัวแล้วก็ปล่อยออกมาได้
    ถาม : ร่างกายเรากับการเจ็บป่วยหรืออะไรอย่างนี้นะคะ เราจะมีการปวดขาหรือขาเรากางออกไม่ได้นี่ เราก็มีความรู้สึกคิดขึ้นมาว่าเราดึงขามดในสมัยเด็ก ๆ อันนี้นี่คือมันเป็นความรู้สึกที่ออกมา..........?
    ตอบ : ถ้าหากว่าความรู็สึกนั้นเกิดขึ้นเองโโยที่เราไม่ได้นึกคิดปรุงแต่งไว้ก่อน อันนั้นถือว่าถูกต้องเลยจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่เศษกรรมที่เข้ามาทวงเท่านั้น เงินต้นส่วนใหญ่มันจะไปใช้เขาในนรกแล้ว จากนรกก็มาเป็นเปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานกว่าจะมาถึงคน ของคนนี่มันเศษ ๆ ดอกเบี้ยเท่านั้น นี่ขนาดเศษนะเล่นเอาซะแย่เลยใช่มั้ย ?
    ถาม : ค่ะ.........ขาค่อนข้างจะกางไม่ค่อยได้ เดี๋ยวนี้ก็เลยมีวิธีไหนที่จะช่วยอนุโมทนาบุญมั้ยค่ะ ?
    ตอบ : เวลาที่เราทำความดีทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา ให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมดที่เคยล่วงเกินมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย ทำบ่อย เดี๋ยวเขาใจอ่อนไปเอง แรก ๆ ก็ไม่ยอมกันหรอกแต่ว่านาน ๆ ไปเดี๋ยวเขาใจอ่อนไปเองมันสู้ลูกตี๊อไม่ได้จะตื้อให้ไปเรื่อย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ประกาศ






    คุณรติพร พรไกวัล คุณวราภรณ์ อรุณรัตนชัยกุล คุณลลิตา (ไม่ทราบนามสกุล) กรุณามารับวัตถุมงคลที่ท่านจองไว้โดยด่วน หากมีข้อขัดข้องประการใด โปรดติดต่อกับ พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ที่หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙-๘๑๕-๒๔๗๒
    กำหนดการทอดกฐินสามัคคี





    วัดท่าขนุน วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๐.๐๐ น.
    สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๐.๐๐ น.
    สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๒.๐๐ น.
    วัดพุทธบริษัท วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๐๐ น.
    ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบ







    วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พอดีตรงกับวันสอบธรรมชั้นนวกภูมิ ของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ จึงงดงานบวงสรวงพุทธาภิเษกและกิจกรรมอื่นทุกประเภท
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,021
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>

    ประกาศ

    ขอเชิญร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ
    สมเด็จองค์ปฐม (ทรงเครื่องจักรพรรดิ)

    ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว
    (ใช้ทองคำน้ำหนักประมาณ ๓ กิโลกรัม)

    ประธานเททองหล่อ โดย
    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)
    วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
    ณ. วัดพระธาตุห้าดวง
    ต. ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญถวายทองคำหล่อพระพุทธรูปได้
    ที่บ้านอนุสาวรีย์, บ้านบางโพ และที่วัดพระธาตุห้าดวง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...