ตายแล้วฟื้น ของ พลโทสมาน คัดมาจากตอบปัญหาธรรมของหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 17 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตายแล้วฟื้น ของ พลโทสมาน วีระไวทยะ

    นักเสาะแสวงและนำมาเขียนเรื่องตายแล้วฟื้นท่านผู้นี้คือคุณสนิท ธนรักษ์ ตัวท่านเองเขียนถึงผู้อื่นที่ตายแล้วฟื้นมาหลายคนแล้ว โดยไม่ได้คิดฝันมาก่อนเลย ว่าตัวท่านเองจะเป็น "คนตายแล้วฟื้น" ด้วยอีกชีวิตหนึ่ง

    ผมเองยินดีมากที่ได้อ่านเชิงศึกษาเรื่องของท่านสนิท ธนรักษ์ ท่านผู้นี้ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นนักสังคมสงเคราะห์ สร้างบุญกุศลไว้มาก ฉะนั้นเมื่อท่านตายไป (ชั่วคราว) กายทิพย์ (หรือวิญญาณ) ออกจากร่างของท่าน และกายทิพย์ ของท่านจึงมีโอกาสล่องลอยไปสู่สวรรค์ ได้เห็นลักษณะของสวรรค์ หรือถิ่นที่เทพเขาอยู่กัน ผมผู้อ่านเชิงศึกษา และเก็บความสำคัญย่อไว้ เพื่อนำไปสู่การอ่านและศึกษาของคนที่รักการศึกษาด้วยกัน คงลำดับ และความไม่สับสน ของเรื่องดังต่อไปนี้

    เมื่อปี ๒๕๒๙ เช้าวันหนึ่ง ท่านผู้รักการกุศลและสังคมสงเคราะห์ท่านนี้ เดินเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันก่อนรับประทานอาหารเช้า เดินไปถึงหน้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ท่านเกิดหงายหลัง ล้มศีรษะฟาดฟื้นกระดานอย่างแรง ขณะนั้นไม่มีใครเห็น ท่านหมดความรู้สึกไป

    ขณะหมดความรู้สึกไปนั้น ตัวท่านเองไม่ทราบดอกว่าจะเป็นการตายหรือการสลบไปแต่ท่านรู้สึกว่า ร่างอีกร่างหนึ่ง ของท่าน (ร่างทิพย์) ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ท่านยังมองเห็นร่างเก่าหรือร่างที่ประสบอุบัติเหตุล้มลงก็ยังนอนอยู่ที่พื้นกระดานที่ล้ม ร่างทิพย์ของท่านซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดติดตัวไปเหมือนเดิม แต่ไม่เจ็บไม่ปวด ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เหลือบแลลงข้างล่าง ก็ยังมองเห็นร่างเก่าของตัวเองนอนอยู่ที่เดิม

    ร่างทิพย์ที่ลอยไป ก็ประสบกับกลุ่มเมฆสีขาวมากมายผ่านมา ร่างทิพย์ของท่านสนิท (เป็นทิพย์เบา ไม่หนัก) จึงเกาะก้อน เมฆขาว ที่ดูคล้ายแข็งตัว เพราะกายทิพย์ของท่านสนิทไม่มีน้ำหนัก และก้อนเมฆแถวนั้น ก็คงไม่เหมือน ก้อนเมฆฝน ของเมืองมนุษย์

    ร่างทิพย์ของท่านสนิท จึงขึ้นไปนั่งบนเมฆนั้น เมฆนั้นก็ลอยเรื่อยไป และลอยสูงขึ้นด้วยครู่หนึ่งก็ถึงแดนสวรรค์ ที่ว่าถึง แดนสวรรค์ก็เพราะร่างทิพย์ของท่านสนิท ได้เห็นวิมานของเทพยดาเป็นบุษบก ยอดแหลมสวยงามมาก ประดังด้วย เพชรพลอยสีต่าง ๆ งดงามแพรวพราวตาดีมาก (สีมรกต สีทอง สีเงิน สีชมพู ได้เห็นทั้งนั้น) องค์วิมานนั้นมีมากมายหลายองค์ เมื่อท่านสนิทอ่ยากดูองค์วิมานมากขึ้น ท่านก็ไต่ก้อนเมฆขึ้นไป ๆ ก็เห็นวิมานอีกเรื่อย ๆ ไป มีเทพยดาแต่งกายงดงาม ร่างกายขนาดคนเรานี่ แต่สวย นั่งอยู่ตามวิมาน บางวิมานยังว่าง ไม่เห็นมีเทพยดานั่งอยู่ แต่ปราสาทนั้นมีรัศมีงดงาม ไม่ใช่ปราสาทชำรุดทรุดโทรม ท่านสนิทยังไปไม่ทันถึงปราสาทองค์ที่ว่างดี หมายจะดูให้ถนัด จวนจะถึงอยู่แล้ว ก็พอดีได้ยินเสียงเรียก "ตา ๆ ๆ"

    มือของร่างทิพย์ของท่านสนิท ก็ดูเหมือนอ่อนลง หลุดจาก้อนเมฆแล้วตกลงมาข้างล่าง แต่ร่างทิพย์ของท่านไม่กระทบอะไร ไม่มีอะไรให้น่าตกใจ กระทั่งรู้สึกตัวที่ร่างเดิมของท่าน รู้สึกตัวที่ร่างเดิมว่า มีคนประคองและปั๊มหัวใจ และมีคนช่วยกันหาม ไปที่เตียงนอน คนที่ช่วยเหลือกับร่างเดิมก็คือ เด็กสองคน ที่มีอยู่ในบ้านเดิมกัน

    คงจะมาพบร่างกาย เดิมของท่านสนิท ขณะที่ร่างทิพย์ของท่านสนิทลอยขึ้นไป สำรวจตรวจชมเทพปราสาทอยู่ทีเดียว จึงพยายามเข้าช่วยเหลือร่างเดิมของท่านสนิท แล้วร้องเรียก ตา ๆ ๆ ร่างทิพย์ของท่านจึงลอยกลับลงมาสวมเข้ากับร่างเดิม เป็นอย่างเดิม ถ้าเด็กมาช่วย (ร่างเดิม) ช้าไป และร่างทิพย์ของท่านสนิท ขึ้นไปถึงปราสาทว่าง องค์ที่พบเห็นทีหลัง และร่างทิพย์ของท่านสนิทเกิดพอใจนิยมชมชื่น นั่งพักอยู่เสียที่ปราสาทว่างนั้นล่ะก้อ ร่างเดิมของท่านสนิทอาจไม่ฟื้นก็ได้ และร่างทิพย์ของท่านสนิทก็จะกลายเป็นองค์เทพอีกองค์หนึ่ง ประทับถาวรอยู่ ณ ปราสาทองค์ที่พบทีหลัง ไม่กลับไปรับรู้ กับร่างเก่านิวาสถานเรือนเดิม ท่านก็จะกลายเป็นตายแล้วไม่ฟื้นไปก็ได้

    เคยได้ยินมาหลายครั้งแล้วว่า ท่านที่ทำคุณงามความดีไว้มาก ๆ (ร่วมตัว) ประกอบการกุศลไว้ทุกช่วงของชีวิตละก้อ จะเกิดองค์ปราสาทอันสวยงามรอท่านผู้นั้นอยู่บนสวรรค์ พอพ้นจากร่างมนุษย์ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ เข้าพำนัก ณ ปราสาทนั้นทันที

    ปราสาทงามว่างยังไม่มีเทพประทับอยู่ ที่กายทิพย์ของท่านสนิทขึ้นไปพบเห็น และกำลังพยายาม จะให้ได้ขึ้นไปดู ให้ถนัดชัดเจนอยู่นั้น อาจเป็นปราสาทที่เกิดจากบุญกุศลของท่านสนิทที่ได้ประกอบไว้ ทุกช่วงชีวิตของท่าน เพื่อรอรับท่านเมื่อ "ตายไม่ฟื้น" ก็ได้ แต่ความชัดเจนยังไม่ทันเกิดขึ้น ก็มีการช่วยเหลือร่างมนุษย์ของท่าน และมีเสียงเรียก "ตา ๆ ๆ" จากผู้ช่วยเหลือในเมืองมนุษย์ ร่างมนุษย์ในโลกยังไม่สมควรที่จะละไป ควรที่จะอยู่ช่วยสังคมมนุษย์ต่อไปก่อน กายทิพย์ ของท่าน จึงจำต้องละเมืองสวรรค์ กลับไปเข้า (สวม) ร่างมนุษย์อยู่ตามเดิม การ "ตายแล้วฟื้น" ของท่านจึงมีขึ้นเป็นความจริง
    ลักษณาการของเทพ มีคำบรรยายไว้ในเรื่องของท่านว่า

    ๑. เทพในวิมานนั้น รูปร่างขนาดคน ณ โลกมนุษย์เรา
    ๒. สวมมงกุฎ มองไม่เห็นชัดว่าเป็นชายหรือหญิง
    ๓. นั่งห้อยเท้าบนที่นั่งในวิมาน

    มีบันทึกต่อไปอีกนิดหน่อย แต่สำคัญพอสมควร เพราะทำให้ผู้อ่านรู้ว่า ในบ้านของท่านสนิทนั้นมีโอปปาติกะอยู่ด้วย
    "บางคนมาค้างที่บ้านท่านสนิท จะคุยกับเด็กสนุกสนาน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีเด็กคนนั้นอยู่ในบ้าน (โอปปาติกะเด็กนักคุย) ผู้มาค้างบางคนหลับอยู่ดี ๆ ก็มีใครไม่รู้นำผ้าห่มมาห่มให้อบอุ่น ถามคนทั้งบ้านก็ไม่มีใครไปห่มผ้าให้คนนั้น (โอปปาติกะเอื้ออารีห่มให้)"
     
  2. พระหลวงพ่อ

    พระหลวงพ่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    514
    ค่าพลัง:
    +892
    ขอบคุณครับ
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ก็ไม่เคยเห็นสวรรค์ ไม่รู้ว่ามีจริงหรือป่าว แต่ที่แน่ ๆ ไม่ขอทำชั่วแต่จะหมั่นทำบุญ สร้างกุศล เพื่อความไม่ประมาท ถ้าสวรรค์มีจริงจะได้ไปอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...