ถ้ากำลังใจเข้าสู่จุดของโคตรภูพระโสดาบันเมื่อไรมีแต่จะเจริญขึ้น

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 มกราคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    [​IMG]




    ถาม : ช่วงนี้รู้สึกว่าขาดความมั่นใจ กำลังใจอ่อน ไม่ทราบว่าจะช่วย...กำลังใจได้ ?
    ตอบ : ไปนรกจ้ะ ไปนรก ดูเอาไว้ บอกมันเลย บอกว่าถ้าหากว่ายังท้อถอยหมดกำลังใจ เอ็งต้องมาที่นี่แน่ ๆ เลย อยากมานักใช่ไหม ?

    ถาม : จริง ๆ พอถึงจุดหนึ่ง มันไม่เสื่อมแล้วครับ คือ ตรงจุดที่ว่า ถ้าเมื่อไรเราถึง ถ้าเกิดเจออะไรสักอย่างที่เราตรงนั้นได้ปวารณาตัวว่า ต่อไปนี้จะ...พูดง่าย ๆ ว่า จะเอาพระพุทธ พระธรารม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิตได้ พอถ้าถึงตรงนั้นแล้ว เราไม่เสื่อมแล้ว ?

    ตอบ : ถ้ากำลังใจเข้าสู่จุดของโคตรภูพระโสดาบันเมื่อไรมีแต่จะเจริญขึ้น เพราะว่าลักษณะนั้น เขาเรียกว่าโสดาปฏิมรรค เริ่มเป็นหนึ่งในพระอริยเจ้า ๘ ลำดับ คำว่า อริยะ แปลว่าเจริญโดยฝ่ายเดียว จะไม่มีการเสื่อมลงอีก

    ถาม : ทีนี้ผมมาสังเกตตัวผมเอง เมื่อสักปี ๓๗ ผมขึ้นไปนั่งสมาธิ ตอนทุ่มหนึ่งแล้วผมนั่งสมาธิแบบภาวนา “พุทโธ” ไปเรื่อย ๆ ก็มาเห็นสว่างเหมือนกับกลางวันแล้วก็เห็นเป็นพระพุทธองค์ใหญ่อยู่ในอากาศแล้วก่อนหน้านั้น ผมมานั่งพิจารณาว่าเกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ อะไรทั้งหลายไล่ไปเรื่อย ทำก็หลังทำวัตรเช้า มันเกิดความเข้าใจซาบซึ้งก็ร้องไห้ว่า เออ ! เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไม่เห็นดีตรงไหนเลย ก็บอกว่าไม่น่าเกิดซะแล้ว เชื่อตอนนั้น ตรงนั้นก็ร้องไห้ และตั้งแต่วันนั้น ผมก็เลยว่า จะถือศีล ๕ ตลอดชีวิตเลย จะเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ?

    ตอบ : นั่นเป็นประสบการณ์การปฏิบัติ ซึ่งคนที่ถ้าหากว่าทำถึงตรงจุดนั้นแล้วจะมีกำลังใจ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็น เขาได้รู้เห็น ถึงเคยบอกว่า คนเราถ้าหากว่าทำได้ถึงปฐมฌาน ถ้ารู้จักคิดจะไม่มีการตกต่ำอีก เพราะว่าทันทีที่จิตเข้าสู่ระดับของปฐมฌาน ตัวรัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟใหญ่ ๔ กอง เผาเราอยู่นั้น โดนอำนาจฌานกดทับลงชั่วคราว มันจะสุขจะเยือกเย็น อย่างชนิดที่พรรณนาเป็นคำพูดไม่ถูก

    คราวนี้ถ้าคนมีปัญญา เขาจะคิดว่า โอหนอ ! แค่ ปฐมฌานที่เราทรงได้เท่านี้ ยังมีความสุขขนาดนี้ คนที่ได้ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ เขาจะสุขขนาดไหน ? บุคคลที่ได้ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงสุขขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันสุขมาขนาดนั้นแล้ว พระสกิทาคามีที่เหนือกว่าจะสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่เหนือยิ่งขึ้นไปจะสุขขนาดไหน ?

    กำลังใจก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถ้าหากว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ก็จะเป็นการเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างเที่ยงแท้ ไม่สักแต่ว่ากราบด้วยมือ ด้วยกาย แต่ว่าปากมันว่าตามใจมันน้อมตามไปด้วย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็ยึดจริง ๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ก็ยึดจริง ๆ ด้วยกาย วาจา ใจ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ยึดจริง ๆ ด้วยกาย วาจา ใจ ในเมื่อยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ แล้ว แค่ไล่ศีลให้บริสุทธิ์ก็เป็นพระโสดาบันแน่แล้ว เพราะว่าเขาต้องคิดอยู่แล้วว่า เราเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเราต้องการไปนิพพาน เรารักษาศีล เพราะต้องการไปนิพพาน สรุปแล้วที่เขาบอกว่า ถ้าหากว่าเข้าถึงปฐมฌานสามารถเป็นพระโสดาบันได้จริง ๆ ก็คือในลักษณะอย่างนี้ ใช้ปัญญาเพิ่มขึ้นนิดเดียวเท่านั้นเอง ที่หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ว่าพระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ หลักเกณฑ์การเป็นพระโสดาบัน คือ ๑. ต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ๒. เคารพพระธรรมจริง ๆ ๓. เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ๔. มีศีลบริสุทธิ์ ๕. คิดว่าตายแล้วจะไปนิพพาน

    คราวนี้เราก็สรุปรวบยอดลงมาว่าเรารักษาศีลเพราะเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีลเพราะจะไปนิพพาน ก็เลยกลายเป็นว่า มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อยแต่ศีลบริสุทธิ์ ยิ่งสรุป ยิ่งง่าย เดี๋ยวเป็นกันหมดซะละมั้ง ?

    ถาม : ........................................
    ตอบ : พยายามประคับประคองรักษาอารมณ์ให้เป็น แรก ๆ ก็อาจได้สักชั่วโมงหนึ่งต่อไปถ้าเคยชิน ก็ได้ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง จนกระทั่งนาน ๆ ไปพอชำนาญมาก ๆ ก็รักษาได้เป็นเดือน เป็นปี ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดูแลทบทวนกำลังใจตัวเอง การทำงานทุกอย่างต้องมีการประเมินผล ทางโลกเขาน่ะ ทางธรรมของเราพระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้ประเมินผลด้วยวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ฉันทะ พอใจที่จะทำ วิริยะ พากเพียรทำไปแล้ว จิตตะ จิตใจปักมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง ก็เหลือแต่วิมังสา ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกให้ได้ผลอย่างนั้น

    ถาม : คือตรงนี้ ที่ผมพยายามจะสอนเด็กอยู่ คือว่าเราอยากจะรู้แต่ว่าเราไม่พิสูจน์จริง ๆ เราสามารถพิสูจน์ด้วยตัวเราเองได้ทุกคน อย่างน้อยก็...สมมุติว่า...ถ้าเราไปดูประวัติพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้า มีชาติ มีสภาพ(ไม่ชัด) เราต้องเป็นผู้มีศีลก่อน ทีนี้ศีลห้าเขายังไม่ปฏิบัติกันเลย แล้วเราจะไปเจริญปัญญา เจริญสมาธิได้อย่างไร ? มันไม่มีผล (ไม่ชัด) จุดกำเนิดของการมีศีล สัจจะในการรักษาศีลมันยังไม่เกิดเลย ผมถึงว่าตรงนี้ผมพยายามอยู่ว่า เธอไม่ต้องมาเชื่อหรอกเวลาครูพูดอะไร ให้ปฏิบัติไปเลย และขอดูผลสัก ๓ เดือนก็ได้ ไม่ต้องนานหรอก ?

    ตอบ : สมัยนี้มันใจร้อน จะให้เราเสกเพี้ยงเดียว แล้วมันเป็นเลย อยู่ตรงนี้เจอน้อยหน่อย แต่ถ้าลงปักษ์ใต้เมื่อไรเจอเยอะเลย เวลาลงปักษ์ใต้ พวกมาเลย์ พวกสิงคโปร์มา เขาต้องการพระประเภทนั้น ประเภทเสกเพี้ยงเดียวให้เขาได้อย่างใจเลย แล้วจะเป็นปัญหาใหญ่มาก เจออยู่เรื่อยแหละ พวกนี้ถ้าเห็นแล้วเลื่อมใสเข้าทีหนึ่งจะเชื่อหัวกปักหัวปำไปเลย ถ้าหากว่าเราไม่ได้อยู่ในศีลในธรรมนี่หลอกจนหมดตัวนั่นเลย ของเราปล้ำเป็นปล้ำตาย ๒๐-๓๐ ปี เพิ่งจะได้แค่นี้ จะให้เราเสกทีเดียวให้เป็นเลย ...จดอย่างเดียว...

    สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่ ท่านย้ำนักย้ำหนา นักปฏิบัติกระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้เสมอ เวลาเข้าโบสถ์มีแต่อาตมาติดกระดาษกับปากกาไปคนเดียวประจำ คนอื่นเขาพึ่งเทป ปรากฏว่าวันนั้นไฟดับ เรียบร้อยจ้ะ หลวงพี่ชัยวัฒน์ ออกจากโบสถ์ก็วิ่งประกบเลยท่านเล็กขอยืมหน่อยครับ หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านจะสะสมข้อมูลเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ เทปมันเดี้ยงซะแล้ว ไม่รู้จะถอดจากไหน ก็ต้องยืมเรา ตกลงว่าเทคโนโลยีโบราณอาศัยได้มากที่สุด


    http://palungjit.org/showpost.php?p=855695&postcount=1
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...