ท่องไปในโลกกว้าง-ทรัพย์แผ่นดินของไทย มากมายมหาศาลขนาดไหน ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tanawat, 23 มกราคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tanawat

    tanawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2006
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +1,765
    "ถ้ำมรกต"

    เมื่อกลางพรรษาปี ๒๕๓๑ คณะพระภิกษุและอุบาสกอุบาสิกาจำนวนหนึ่งในวัดท่าซุง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีอาตมาอยู่ด้วย ได้ดำริจะสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเงินแท้ทั้งองค์ ถวายบูชาพระคุณหลวงพ่อ (สมณศักดิ์ที่พระสุธรรมยานเถร ในขณะนั้น)...


    แต่งานครั้งนั้นถูกหลวงพ่อสั่งยกเลิก เพราะมีบุคคลในวัดหลายท่านคัดค้าน คิดว่าพวกเราหาทุนเข้ากระเป๋าตัวเอง เพราะเป้าหมายเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะมีเงินถวายหลวงพ่อถึง ๒๔ ล้านบาท พระเดชพระคุณหลวงพ่อเกรงว่า จะเป็นเหตุให้แตกความสามัคคี จึงขอให้ยกเลิกโครงการเสีย...

    คำสั่งครูบาอาจารย์ย่อมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ควรเทิดไว้เหนือเกล้าและปฏิบัติตาม คณะของอาตมาจึงต้องตามคืนเงิน ทอง อัญมณีทั้งหมด แก่ผู้ตั้งใจร่วมบุญ ในจำนวนอัญมณีทั้งหมดนั้น มีมรกตก้อนหนึ่งยังไม่ได้เจียรนัย คะเนแล้วน้ำหนักกว่า ๒,๐๐๐ กะรัต..!

    ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เจ้าผลึกหกเหลี่ยมเขียวขจีชนิดนี้ ถ้าเป็นชนิดนิยมในท้อง ตลาด มีราคาถึงกะรัตละ ๘๐,๐๐๐ บาท..! ที่สำคัญคือ ก้อนขนาดนี้นับเป็นโคตรมรกตแล้ว เจ้าของผู้ศรัทธานี้เป็นใครกันหนอ..? จึงถวายของราคามหาศาลขนาดนี้ โดยไม่คิดเสียดายแม้แต่น้อย..!

    ติดตามสอบถามแล้วจึงทราบว่า เจ้าของหินมีค่าก้อนนี้คือ ท่านสมปอง (พระสมปอง ************************************************) พระในวัดท่าซุงนั่นเอง ท่านเป็นรุ่นน้อง บวชหลังอาตมาสามรุ่น อาตมาสอบถามที่มาของมรกตก้อนนี้ ท่านสมปองเล่าให้ฟังว่า...


    สมัยเป็นฆราวาส บิดาท่านและตัวท่านเคยขอสัมปทานเหมืองแร่ ได้ไปพบแผนสำรวจแร่เก่าของนักสำรวจชาวเยอรมัน ซึ่งนักสำรวจท่านนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ในแผนการสำรวจนั้น ได้ระบุถึงภูเขาลูกมหึมา ที่เป็นแร่ทรงคุณค่ามหาศาลทั้งภูเขา..!

    ท่านได้เดินทางเข้าไปสำรวจยังสถานที่นั้น ตามที่แผนที่ระบุไว้ แล้วพบว่าแร่ชนิดนี้ทางอเมริกากำลังหาอยู่ เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระสวยอวกาศ ถ้านำมาทำเป็นวัสดุเคลือบผิวยานอวกาศ จะทนความร้อนได้สูงมาก และมีน้ำหนักเบา ราคารับซื้อกิโลกรัมละ ๑ ล้านดอลลาร์..!

    ท่านยังพบด้วยว่าแร่ชนิดนี้ เป็นต้นกำเนิดของมรกต ซึ่งมรกตนั้นมีอยู่เจ็ดชนิด นี่เป็นหนึ่งในเจ็ดชนิดนั้น ท่านพบมรกตเป็นจำนวนมาก จึงนำออกมาเป็นหลักฐาน ๑ ก้อน คือ ก้อนที่ถวายพระนี่เอง และในภูเขานั้น ท่านยังพบยูเรเนียมเป็นจำนวนมหาศาลอีกด้วย..!


    อาตมารับฟังก็จดจำไว้ และลืมไปตามกาลเวลา หลังจากนั้น อาตมาออกเดินป่าตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองลับแลที่สุโขทัย บึงลับแลที่กาญจนบุรี เพื่อทดสอบอารมณ์ปฏิบัติของตนเอง อาตมาก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เอ..? สถานที่เช่นนี้น่าไปมาก...

    เมื่อตกลงใจจะไป อาตมาจึงสอบถามเส้นทางจากท่านสมปอง ท่านบอกว่า แผนที่เดินทางนั้น ท่านได้มอบให้ลูกศิษย์คนสำคัญของหลวงพ่อ คือ จ่าปัญญา (จ.ส.ต. ปัญญา อ่องคล้าย) ไปแล้ว แต่ให้อาตมาไปสอบถามเส้นทางจากโยมคนหนึ่งชื่อคุณตาโย...

    คุณตาคนนี้เคยนำทางให้ท่านสมัยเป็นฆราวาส สัญลักษณ์ของคุณตาคือ ๑. อยู่กันสองตายายไม่มีลูกหลาน ๒. ปลูกสมุนไพรไว้มาก ๓. มีอาชีพตีมีด ๔. ไม่ยอมใช้ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด ที่ท่านย้ำนักก็คือ "ระวังอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีนะครับ..!”


    อันตรายจากรังสีอาตมาไม่กลัว เพราะเชื่อในพุทธานุภาพของพระหางหมาก ซึ่งหลวงพ่อบอกว่า “รัศมี ๔ เมตรรอบองค์พระ รังสีนิวเคลียร์เข้าไม่ได้” และพระของหลวงพ่อทุกรุ่น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๑ ขึ้นมา กันรังสีนิวเคลียร์ได้ทั้งสิ้น แบบนี้จะไปกลัวทำไม..?

    ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๓ ทางวัดจัดงานพุทธาภิเษก พระคำข้าว รุ่นที่ ๒ ในจำนวนญาติโยมที่มากันมืดฟ้ามัวดินนั้น มีหัวหน้าชาติชายป่าไม้จอมเฮี้ยบ และแข (ดวงแข คชภูมิ) เพื่อนรุ่นน้องสมัยฆราวาสมาในงานด้วย...
    หัวหน้าชาติชาย (คุณชาติชาย ลือพาณิชย์กุล) พอทราบว่าอาตมาจะไปถ้ำมรกต ก็ขอไปด้วยทันที โดยอาสาจะขนเสบียงไปให้ ซึ่งอาตมาบอกว่า "เอาหมูสวรรค์ไปซัก ๒ กิโล ก็เหลือแหล่แล้ว" ดังนั้น อาตมาจึงได้ผู้ติดตามชั้นยอดไปด้วย ๑ คน...


    อาตมาฉวยโอกาสฝากบริขารธุดงค์ไปกับรถของแข โดยนัดวันเวลาให้ไปรับอาตมาที่บ้านแม่เบ็ญ (อาจารย์เบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) ที่อู่ทองในอาทิตย์หน้า ส่วนอาตมารบกับญาติโยมในงานพุทธาภิเษกจนเป็นลม หลายคนขอตามไปด้วย แต่อาตมาปฏิเสธไปทั้งสิ้น..!

    กราบลาหลวงพ่อลงกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นวันปีใหม่ ตั๋วรถถูกจองเต็มหมด อาตมาจึงขอร้องให้คุณโอเลี้ยง (คุณโอภาส เยาวฤทธิกร) ช่วยขับรถไปส่งที่ท่ารถวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท รถทัวร์เที่ยวแรก ๐๔.๒๐ น. ของที่นี่ไม่มีใครจองตั๋ว เขาให้แย่งกันขึ้นเองตามดวง...

    หลวงพ่อบอกว่าคนจะไปนิพพานชาตินี้ ต้องมีความคล่องตัวสูง อาตมากับหัวหน้าชาติชายต่างต้องการไปนิพพานทั้งคู่ จึงใช้ความคล่องตัวขึ้นไปนั่งปร๋อบนรถ ขณะที่ผู้หาที่นั่งไม่ได้ แออัดยัดเยียดกันเป็นปลากระป๋อง แทบจะขี่คอกันไปเลยล่ะ..!


    ถึงกรุงเทพฯ แปดโมงเช้า แม่เจ้าโว้ย..! ผู้คนมากมายอะไรขนาดนี้ ยืนรอแท็กซี่จากหมอชิตยันสะพานควาย แท็กซี่ฉวยโอกาสขึ้นราคาแทบหูดับ เคยไปหกสิบ พ่อโขกซะร้อยแปดสิบ ไม่ไปมันไม่ง้อ ต่อก็ไม่ได้ จากวัดท่าซุงถึงวัดเทพศิรินทราวาส อาตมาจ่ายค่ารถไปเกือบห้าร้อยบาท..!

    โทรไปหาโส่ย (จันทกานต์ ตรีอุดมสิน) ยืนยันว่ามาตามที่นิมนต์แน่นอน แล้วโทรบอกลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกสาวคนเก่ง บอกว่าพ่อมาแล้ว ลูกปุ๊กจัดแจงบอกพี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) ให้มาส่งข้าวเพล วันนี้เลยฉันแค่ตอนเพลมื้อเดียว...

    รุ่งเช้าไปเปิดร้านใหม่ให้โส่ย หัวหน้าชาติชายกับพี่มุกดาไปด้วย เสี่ยล้ง (สุเมธ ตรีอุดมสิน) เอารถมารับ ร้านใหม่ติดตั้งเครื่องจักรเพียบเลย นัน (วรุณกาญจน์ ตรีอุดมสิน) แม่ครัวประจำตัวของอาตมาเป็นคนคุมร้านเอง...

    แม่ของโส่ยถวายผ้าไตรใหม่ทั้งชุด เลยต้องครองผ้าใหม่สวดพระปริตรให้ แล้วรับการถวายเพล อาหารมากมายมหาศาล ของถวายอีกเยอะแยะขนไม่หมด ตอนสวดมนต์จวนจบ เห็นเจ้าแม่กวนอิมมาพรมน้ำมนต์ให้ แม่ของโส่ยนับถือท่านมาก ท่านจึงมาสงเคราะห์ให้เป็นพิเศษ ...


    ออกจากบ้านโส่ย ก็ไปวัดโสมนัส กราบหลวงปู่อ่ำ ธมฺมทตฺโต ท่านมีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระราชกวี เอาของที่รับจากแม่ของโส่ยทั้งหมด ยกเว้นกระเป๋าเงินกับผ้าไตร ถวายทำบุญกับท่านจนหมด ท่านให้พรแล้วถามว่า "มีธุระอะไรอีกหรือเปล่า..?"

    อาตมาแกล้งถามเกี่ยวกับสังโยชน์ เพราะทราบว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ จะอธิบายสังโยชน์โดยละเอียดไม่ได้ และก็เป็นจริงตามนั้น หลวงปู่ท่านพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ แสดงว่าอารมณ์ท่านเทียบเท่าพระอนาคามี พอถามท่านว่าจะไปเลยหรืออยู่ต่อ ท่านอึ้ง...
    "เดี๋ยว..ขอผมพิจารณาก่อน มันเกี่ยวกับอาบัติข้ออวดอุตริมนุสธรรม" อาตมากราบเรียนว่า ถือว่าเป็นการเล่าให้ฟัง ไม่ใช่การอวดด้วยปรารภโลกธรรม เท่านั้นเอง หลวงปู่ท่านเล่าเป็นน้ำไหลไฟดับ บางตอนอาตมาเข้าใจคนเดียว หัวหน้าชาติชายกับพี่มุกดาฟังจนมึน

    หลวงปู่เล่าถึงท่านถอดกายทิพย์ได้เอง ขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงบอกถึงความสัมพันธ์หนหลัง ครั้งที่หลวงปู่เป็นช้างปาลิไลยกะ ได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลวงปู่จะไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ ของกัปนี้...
    ได้รับคำบอกเล่าจากสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย ว่าเคยปรารถนาพุทธภูมิมาด้วยกัน ตั้งแต่ ๑๖ อสงไขย ๔ แสนมหากัปที่แล้ว ในสมัยสมเด็จพระพุทธสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ประเดิมความปรารถนาพุทธภูมิชาติแรกด้วยการตกนรก..!

    ชาตินี้เกิดมาทำการรวบรวมประวัติอักษรไทย เพราะท่านเป็นคนต้นคิดอักษรไทย ซึ่งมีแผ่นกระเบื้องจารจากเมืองโบราณคูบัวเป็นหลักฐาน ว่าอักษรไทยมีมาก่อนสุโขทัยมากนัก และคนไทยอยู่ในสุวรรณภูมิมาแต่ต้น ไม่ได้มาจากภูเขาอัลไตตามที่ฝรั่งมันเขียนกันส่งเดช และคนก็เชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง...

    ความจริงสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย จะต้องมาเกิดเพื่อทำหน้าที่นี้ แต่เห็นว่าหลวงปู่เป็นต้นคิดอักษรเอง จึงขอให้หลวงปู่มาเกิดแทน แล้วท่านสอนการอ่านอักขระโบราณ พอท่านชี้อาตมาก็อ่านออกตามที่ท่านบอก พอท่านเลิกชี้ อาตมาก็เห็นเป็นตัวยึกยือเหมือนเดิม อ่านไม่ออกซักคำ..!
    คุยกันตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสามโมง กราบลากลับวัดเทพศิรินทร์ หัวหน้าชาติชายแอบกระซิบว่า ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยลดลงไปมาก เพราะภาษาไทย – จีนโบราณที่ท่านสอนให้อ่านนั้น เป็นชื่อ – แซ่เก่าของตน ซึ่งไม่ได้ประกาศนามท้ารบซักหน่อย หลวงปู่ท่านกลับเขียนออกมาจนหมด..!

    ตอนค่ำ คนมาสวัสดีปีใหม่มาก ลูกปุ๋ม (ชุติมา นฤภัย) เป็นหวัดงอมก็ยังมา เกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) ถวายหมูสวรรค์ ๒ ก.ก. ถ่านไฟฉายชนิดพิเศษ ๒ ก้อน นิด (กนกพร เพชรชื่นสกุล) ถวายบะหมี่สำเร็จรูป ๑ ลัง เค็ง (มาลีวรรณ ตีรเลิศพานิช) ถวายช็อคโกแล็ต ๑ ก.ก. และขอหวยเป็นการตอบแทน แสบจริง ๆ..!

    อาตมาฝึกวิชา "ยืมดอกไม้บูชาพระ" สำเร็จมาตั้งแต่สมัยฆราวาส ใครให้ของขวัญมาเป็นส่วนตัว อาตมาจะมอบเป็นของขวัญคนอื่นต่อ จึงเป็นคนที่ตัวเบา เพราะไม่ต้องแบกอะไรให้หนัก คนรับก็ดีใจ คนให้ก็ชื่นชม ดังนั้น..ของที่รับมาในวันนี้ จึงเหลือแต่เงินทำบุญเท่านั้น...
    เช้ามืด..พี่สุรกานต์ (คุณสุรกานต์ เพชรชื่นสกุล) มารับไปงานทำบุญวันตายครบรอบปีให้คุณยาย อาตมาโทรไปหาแดง (มงคล จอมผา) บอกเลื่อนเวลาไปเชียงใหม่ แดงพอรู้ว่าอาตมาจะไป "ถ้ำมรกต" ก็ทิ้งงานทั้งหมดขอตามไปด้วย โดยนัดพบที่หน้าไปรษณีย์บางกอกน้อยตอนเที่ยงตรง...

    พี่มุกดามาไม่ทัน จึงถูกทิ้งตามระเบียบ อาตมาไปถึงบ้านน้าฟ้าคนก็เต็มแล้ว ไม่อยากวุ่นวายกับใคร จึงหลบไปพักบนห้องพระ จนได้เวลางานจึงลงมา มีพระจีนมาทำพิธีตีกระดิ่ง สวดมนต์จนอาตมาหลับไปได้ตื่นใหญ่ จิตนี้มีสภาพรู้จริง ๆ มันตื่นก่อนพระสวดจบแค่ ๓ – ๔ วินาทีเท่านั้น..!
    เห็นความวุ่นวายของทุกคนแล้วตลกดี หัวหน้าชาติชายนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว ถ้าจิตเราสงบไม่วุ่นวายตามเขา เราก็จะเห็นละครโรงใหญ่ที่แสนสนุก ถ้าเราวุ่นไปกับเขา ก็จะถูกกระแสโลกพาวนเวียนไปไม่รู้ตัว จะมารู้อีกทีก็ตอนเครียดมากๆ แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ก็แย่...
    เมื่อเช้าฉันโจ๊กไป ๑ ชาม ตอนเพลฉันผลไม้แทนข้าว แจกวัตถุมงคลจนหมดย่าม แล้วออกไปตามนัด แดงมาก่อนเวลา ๑๐ นาที แม่ทองดี (คุณทองดี จอมผา) คุณแม่ของแดง ติดรถมาด้วย นั่งสรรเสริญลูกชายจนอาตมากลั้นไม่อยู่ หัวเราะแข่งกันจนลั่นรถไปเลย..!

    แดงขอแวะบ้านเก็บข้าวของใส่แพ็คหลัง ห้องนอนของแดงมีแต่เขาเก้ง เขากวาง เขาสมัน กะโหลกเสือ กะโหลกหมี กระดองเต่า เปลือกหอย ต้นไม้ดัด ฯลฯ แดงถวายไม้ถือถักด้วยย่านลิเพา ๑ อัน ไม้มะค่ากลึง ๑ อัน พี่มุกดาเอาเค้กกล่องใหญ่ สวัสดีปีใหม่กับแม่ทองดี...
    ออกรถไปทางสุพรรณสายใหม่ เข้าทางบางเลน อาตมาเลยขอแวะบ้าน ให้พี่มุกดาเอาปืนลูกซองบราวนิงก์ ห้านัดออโตเมติก ระบบแก๊สออปเรชัน รุ่น เอฟ.เอน.๒๐๐๐ ติดรถไปด้วย เพราะพี่มุกดาซื้อกระสุนไป ๑ กล่อง จะไปซ้อมมือไว้ปราบบ้านเล็กและสามี คงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งกันบ้าง..!

    ถึงอู่ทอง แม่เบ็ญกำลังไขประตูบ้านพอดี จุ๋ม (เบญจรัตน์ วิบูลย์พันธุ์) กับจุ๊บ (เบญจพร วิบูลย์พันธุ์) ก็อยู่พร้อมหน้า อาตมาเลยสั่งติวเข้ม จากวันก่อนสามทุ่มงานยังไม่เสร็จ วันนี้ไม่ทันหนึ่งทุ่ม ทั้งสามแม่ลูก ก็ขึ้นมาฟังเทศน์ “กัณฑ์มหาราช” กันแล้ว..!
    มีแขกมาขัดจังหวะ ๓ – ๔ คน พอแขกไปก็ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้จุ๋ม ความจริงไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ เป็นการทำบุญหนีเคราะห์ต่างหาก น้าเล็ก (อาจารย์จารุวรรณ ศรีแสงจันทร์) ก็มา งวดนี้น้าเล็กซื้อวีดิโอเอาไว้เปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อ เป็นการสงเคราะห์คนแถวบ้านที่ไม่ได้ไปวัดท่าซุง...

    ************************

    ตื่นเช้าสวดมนต์ – ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศลให้ผู้รักษาถ้ำมรกต ขออนุญาตท่านเข้าไปเพื่อชมสถานที่ในวันนี้ หลังฉันเช้าย้อนกลับไปบ้านที่กำแพงแสน เอาทะเบียนปืนติดรถไว้เผื่อเหนียว กลับมาได้ครู่เดียว เกียงกับลูกปุ๊กก็มาถึง บ่นเรื่องรถวิ่งช้าจนแทบประสาทกินให้ฟัง...
    ฉันเพลแล้วไปบ้านแข เกือบถึงด่านช้างก็สวนกับแขที่จะไปรับ เข้าไปถึงในไร่อ้อย แดงเอา “ท่านใหญ่” มาประกอบเป็นปืน แขก็เอาของตัวมาบ้าง เป็นปืนลูกซองเรมิงตัน ห้านัดออโตเมติก ระบบรีคอยล์ รุ่น เอ็ม. ๑๑๐๐ ชวนกันไปทดลอง “อีเล็กโทน” กันที่ทำนบกั้นน้ำ...
    ยืนดูเขาทำท่าแปลกๆ เวลาถูกปืนถีบ บางคนนั่งยิงเลยก้นจ้ำเบ้า บางคนน่าจะไหล่หลุด เพราะประทับกับต้นแขน บางคนสั่นเป็นเจ้าเข้า โดยมีแดงเป็นครูฝึก หัวหน้าชาติชายคอยถ่ายรูปให้ ยิงกันจนหมาหนีเข้าป่าอ้อยหมด ปลอกกระสุนเขียวๆ แดงๆ เกลื่อนพื้นเลย..!

    ลากลับมาที่ บ.ข.ส.ด่านช้าง ส่ง พี่มุกดา เกียง จุ๋ม ลูกปุ๊ก และ จุ๊บ ขึ้นรถ ตกลงว่าเหลืออาตมา หัวหน้าชาติชาย และแดง แค่สามคน แวะซื้อสบู่ กระดาษชำระ ผงซักฟอก ไปด้วย หัวหน้าชาติชายซื้อบุหรี่ให้แดงสองซอง แต่แดงบอกว่าตั้งใจจะเลิกบุหรี่แล้ว...

    ตียาวไปยังจุดหมายปลายทาง ถามหาคุณตาโยจนพบ อ้างถึงลุงหมอของท่านสมปอง คุณตาจึงยอมบอกทาง ขณะที่คุณยายซักอย่างกับตำรวจก็ไม่ปาน อาตมาต้องงัดลูกล่อลูกชนออกมารบกัน ดูท่าแล้วคุณตา – คุณยายไม่อยากให้พวกเราไปเลย แต่คุณตาติดหนี้บุญคุณลุงหมอ จึงต้องบอกทางให้...
    แวะถามทางชาวบ้านไปเรื่อย หลงทางซะสองสามตลบ ยอมกลัวใจแดงก็ตอนนี้เอง รถตู้ใหม่เอี่ยมออกมาไม่ถึงสามเดือน พ่อลุยป่าชนิดท้องรถกระแทกหินโครมครามไปตลอดทาง บางทีแขวนลอยทั้งคัน ต้องขยับแล้วขยับอีก กว่าจะขึ้นเนินได้ก็ลิ้นห้อย..!
    หนทางเลียบเขาไปเรื่อย พบนกกระปูดตัวเท่าไอ้โต้ง ยืนมองรถเฉยไม่ยอมหนี พอรถจะเหยียบ จึงกระโดดหย็องแหย็งลงข้างทาง ถนนยิ่งกว่าโลกพระจันทร์ ยอดโชเฟอร์ของเราแสดงทักษะในการขับรถอย่างยอดเยี่ยม ยากจะหาใครเทียบได้ ผ่านตลอดทุกภูมิประเทศ...
    ในที่สุดมาโผล่ในหมู่บ้านสุดท้ายก่อนถึงที่หมาย ถามทางแล้วให้แปลกใจ ตลอดทางมาจนถึงนี่ ชาวบ้านแสดงท่าทีว่า ไม่อยากให้เราเข้าไปเลย บางคนแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาอย่างชัดแจ้ง แดงบ่นเสียดายปืนสั้นออโตเมติค ซีแซด เอ็ม.๘๕ ของหัวหน้าชาติชาย ที่ไม่ได้ติดมาด้วย...

    ลุยต่อไปจนฝุ่นตลบ ทางแคบลงเรื่อย ๆ จนเหลือทางเท้าแคบแค่ฝ่ามือเดียว แต่แดงยังคงลุยต่อไปหน้าตาเฉย จนรถไปติดแหง็กอยู่ที่เชิงเขา ทำอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้ เอ้า..ลงแค่นี้ ขนของส่วนตัวลงมา ของใครของมันแบกกันเอาเอง...
    หัวหน้าชาติชายแบกเสบียง อาตมาแบกน้ำ ๒ ลิตรและบริขารธุดงค์ แดงเอา “ท่านใหญ่” มัดติดแพ็คหลังไปด้วย พร้อมกับกระสุนแม็กนั่มที่เหลือแค่ ๕ นัด อาตมายืนดูแดงมัดของไม่ถึง ๒ นาที รู้สึกไหล่ล้า จนต้องเปลี่ยนย่ามจากไหล่ขวามาไหล่ซ้าย..!

    ล็อครถเรียบร้อยแล้วออกเดินทาง ขึ้นเนินไม่สูงนัก แต่ทำไมทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อยขนาดนี้ก็ไม่รู้ หายใจไม่ทันจะขาดใจซะให้ได้..! อาตมาแกล้งหยุดถอดรองเท้าใส่ย่าม พร้อมกับบ่นดัง ๆ ว่า "ทำไมมันถึงเหนื่อยขนาดนี้..ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยนะนี่..!"

    หัวหน้าชาติชายทิ้งตัวนั่งแปะกับพื้น หอบฮั่ก ๆ อย่างกับวิ่งมาซัก ๑๐ ก.ม. บอกทั้งหอบอยู่ว่า "ผมก็เหมือนกัน" มองดูแดงที่ตามมา ท่าเดินอย่างกับแบกช้างไว้ทั้งตัว พอมาถึงก็นอนแผ่หราพูดไม่ออก จนพักใหญ่ค่อยเอ่ยว่า "ผมนึกว่าผมเป็นคนเดียวซะอีก..!"

    ทุกคนมองหน้ากัน..บึงลับแลที่ข้ามเขาไป ๑๑ ลูกก็ไม่เหนื่อยขนาดนี้ อานุภาพของกัมมันตภาพรังสีรุนแรงจนปานนี้เชียวหรือ..? ขมับสองข้างเหมือนถูกมือลึกลับบีบไว้ มึนตื้อจะหลับซะให้ได้ ขืนอยู่ที่นี่มีหวังตายแน่..ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า..!
    ยึดพุทธคุณเป็นที่พึ่ง ภาวนาเห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำหน้า อาตมาก็จ้ำตาม ไปได้ซัก ๑๐๐ – ๒๐๐ เมตร ก็ลงนั่งอ้าปากหายใจ หน้าดำแบบเตียวหุยของแดง กลายเป็นแดงก่ำยิ่งกว่ากวนอู "หัวใจผมเต้นเกิน ๑๐๐ ครั้งต่อนาทีแน่ ๆ..!" แดงว่า...
    สิบกว่านาทีที่นั่งหอบ พอหายหอบก็กัดฟันไปต่อ ก็น่าแปลกว่า ถ้าเราไม่เคลื่อนไหวก็ไม่เป็นไร พอขยับก้าวเดินเท่านั้น อาการเหนื่อยจับจิตจับใจก็เกิดขึ้นทันที เดินตามสมเด็จพ่อไปจนพ้นขอบเนินขึ้นบนที่ราบ พอมองไปข้างหน้าอาตมาก็เข่าอ่อนยวบ..!
    ไม่ใช่ภาพต้นมะขามหวานที่กำลังเจริญเติบโตจำนวนนับร้อยต้น ที่แสดงว่ามีคนอยู่หรอก หากแต่เป็นภาพของยอดเขาสีดำมะเมื่อมอย่างกับเหล็กหล่อ ที่ปราศจากต้นไม้ใบหญ้านั่นต่างหากล่ะ.. "ถ้าสีดำแบบเหล็กและมีสนิมแดงขึ้น นั่นเป็นยูเรเนียม..!" อาตมานึกถึงคำพูดของท่านสมปอง...

    "โอ้โฮ..แล้วแบบนี้จะไหวหรือนี่..?" อาตมาอุทานออกมาทั้งหอบๆ ปลดบริขารลงนั่งขาถ่างหายใจฟืดฟาด หัวหน้าชาติชายเหวี่ยงเป้หลังลงนั่งหอบเช่นกัน อีกครู่ใหญ่แดงตาม มานั่งหงายผลึ่งทับแพ็คหลัง หายใจแข่งกันอย่างกับปลาสำลักน้ำ พะงาบ ๆ จะตายซะให้ได้..!
    "คงไม่ผิดที่แล้วละครับ..ในชีวิตผมไม่เคยเหนื่อยจนขนาดนี้มาก่อนเลย โดยเฉพาะเขาเตี้ย ๆ อย่างที่เราเพิ่งขึ้นมา สิบเอ็ดลูกเขาของบึงลับแลยังไม่แย่อย่างนี้..!" หัวหน้าชาติชายว่า อาตมาชี้ให้เขาดูแขนตัวเอง จากผิวขาวเหลืองของอาตมา กลายเป็นสีชมพูผ่องเชียว..!
    "คงเป็นอานุภาพของรังสีนิวเคลียร์นี่แหละ ต่อไปคงไม่มีใครเรียกผมว่าซัดดัมอีกแล้ว.." แดงซึ่งตอนนี้แดงไปทั้งตัวจริง ๆ เอ่ยขึ้นมาบ้าง หัวหน้าชาติชายชี้ “ท่านใหญ่” แล้วว่า "ผมว่ารังสีแรงขนาดนี้ บางที “ท่านใหญ่” จะสับไม่ลั่นเอานะครับ..!"

    ห่วงไปไยกับ “ท่านใหญ่” จะลั่นไม่ลั่น ตอนนี้ที่สำคัญคือ เข้าไปให้ถึงก่อน เหวี่ยงของขึ้นบ่าก้าวต่อไป อาการหอบอย่างกับคนเป็นโรคหัวใจก็เกิดขึ้นทันที จะเป็นที่ราบหรือเนินเขา มันเหนื่อยหอบเหมือนกันหมด ช่างยุติธรรมดีจริงพ่อคุณเอ๋ย..!

    ผ่านดงมะขามหวานอายุประมาณ ๓ – ๔ ปี เข้าไปไม่นานก็พบบ้าน ๑ หลัง เฮ้ย..มีคนอยู่ได้จริง ๆ หรือนี่..? เจ้าของบ้านไม่อยู่ มีแต่ลูกหมาสีดำตัวน้อย ที่เห่าขู่จากใต้ถุนบ้าน เดินผ่านไปซัก ๕๐ เมตร สีเหลืองของสบงจีวรก็ปรากฏแก่สายตา...
    "เอ๊ะ..มีพระอยู่ด้วย..?" หัวหน้าชาติชายอุทานอย่างพิศวง พอเข้าไปใกล้ เห็นเป็นศาลาโล่ง ๆ หลังคาเป็
    นสังกะสีใหม่เอี่ยม ยกพื้นเป็นแคร่ยาว ปูด้วยไม้ไผ่สับฟาก มีตะเกียงรั้วและกาน้ำอย่างละ ๗ – ๘ ใบ ร้อยพวงแขวนไว้ มีตู้เหล็กหนึ่งใบ แท้งค์น้ำ ๓ ใบ บาตรเก่า ๆ อีก ๔ - ๕ ลูก...
    ถัดจากศาลาไปเป็นเชิงเขา เห็นชัด ๆ ว่ามีถ้ำ ๒ – ๓ แห่ง มีพระพุทธรูป ๔ – ๕ องค์ ทาสีเหลืองบ้างขาวบ้าง อาตมาและทุกคนปลดของลงจากบ่า ไม่ลืมคว่ำแพ็คหลังของแดงลงทับกล่อง “ท่านใหญ่” ไว้ ครองจีวรให้เรียบร้อย แล้วเดินไปทางที่เห็นว่ามีเจ้าถิ่นอยู่...

    กราบพระก่อนอื่น สวดอิติปิโสฯ ไป ๑ จบ อาการหอบหายไปเป็นปลิดทิ้ง ดูพระพุทธรูปเป็น "พระธรรมกาย" แบบคลองสาม มีรูปหลวงปู่สด (พระมงคลเทพมุนี) วัดปากน้ำด้วย แล้วชวนหัวหน้าชาติชายกับแดง ไปกราบพระเจ้าถิ่นที่นั่งรอรับพวกเราอยู่...

    พระเจ้าถิ่นผิวคล้ำ ร่างสันทัด อายุไม่เกินสี่สิบ บอกว่าเพิ่งมาอยู่ได้เดือนกว่า มาจากทางระยอง ซักถามอาตมาเป็นการใหญ่ ว่ามาจากไหน ทราบข่าวจากใคร และจ้องหัวหน้าชาติชายไม่วางตา อาตมาตอบไปตามเพลง แล้วขอตัวไปพักที่ถ้ำอีกด้านหนึ่ง หอบข้าวของไปพะรุงพะรัง...
    "พุทธานุภาพแท้ ๆ เชียว พอกราบพระ อาการเหนื่อยหอบก็หายหมด" หัวหน้าชาติชายว่า อาตมากับแดงก็เห็นด้วย แล้วชวนกันสำรวจถ้ำตื้น ๆ ที่อาตมาพัก "หลวงพี่..ดูนี่ซิ.." แดงชี้แง่หินสีเขียวปัดให้ดู "ไม่ผิดแน่ครับ ที่นี่แหละที่เรามากัน" รอบตัวเป็นหินสีเทาเงินสะท้อนแสงไฟ...
    ในประกายไฟฉายนั้น หินสีเทาพวกนั้นเปล่งแสงเป็นสีเขียวจาง ๆ นี่มันทั้งถ้ำเลยนี่นา..! เพียงแต่ยังไม่กลายสภาพเท่านั้นเอง สำรวจทั่วแล้วก็มาทางปากถ้ำ ที่หัวหน้าชาติชายกับแดงพัก กลิ่นฉุนของขี้ค้างคาวแสบจมูกเลย ถ้ำนี้ใหญ่น่าดู พอส่องไฟฉายเข้าไป แดงก็ร้องลั่น.. “โอ้โฮ..!”
    ในแสงไฟฉายนั้น.. หินสีเขียวผักตบ ก้อนโตกว่าโอ่งมังกรสงบนิ่งอยู่ ทางโน้นก็มี ทางนี้ก็ใช่ บางก้อนสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ผนังถ้ำเปล่งแสงสีเขียวอยู่ทั่วไป หินงอกหินย้อยแปลก ๆ สวยอย่างประหลาด หินเขียวบางก้อน ถูกหินงอกหินย้อยคลุมจนแทบมองไม่เห็น..!

    เราทั้งสามมองตากัน พูดอะไรไม่ออก เดินดูความพิสดารของถ้ำมหัศจรรย์ไว้เป็นขวัญตา ค้างคาวนับร้อยนับพันร้องกันเซ็งแซ่ บินโฉบวูบวาบไปทั้งถ้ำ ในถ้ำมีรอยขูดขีดและรอยก่อไฟ แสดงว่ามีคนเคยมาสำรวจก่อนเรานานแล้ว..!

    หลายแห่งที่มีแร่สีเหล็กเป็นสนิมโผล่ออกมา ถ้าจำไม่ผิด เจ้ายูเรเนียมนี่ราคาปอนด์ละ ๒๕๐ ล้านบาท..! ลองจับดูมันอุ่นซ่า ๆ พิกล ไม่เย็นแบบหินตามถ้ำทั่วไป สำรวจจนสะใจแล้วก็มองหน้ากันอีกครา นี่มันขุมสมบัติมหาศาลจนประเมินราคาไม่ได้เอาเลย ถ้าขนออกไปก็รวยตายชักเลย..!
    กลับออกมานอกถ้ำ..อากาศมืดตื๋อนานแล้ว อาตมาจุดเทียนกางกลด พระเจ้าถิ่นนำเทียนมาให้อีกสามต้น แต่การเอาเทียนมาให้คงเป็นข้ออ้างมากกว่า เพราะท่านฉายไฟสำรวจตรวจตราบริขารของอาตมาอย่างถี่ยิบ ชนิดที่ถ้ามีอะไรแปลกปลอมละก็ ไม่มีทางพ้นสายตาท่านอย่างเด็ดขาด..!

    อาตมาทำไม่รู้ไม่ชี้ กางกลดเสร็จก็จัดแจงบริขารอื่นให้เข้าที่ รอจนท่านไปสำรวจทางหัวหน้าชาติชายกับแดงจนพอใจ พอท่านกลับไป อาตมาก็ดับเทียนย่องมารวมกลุ่มกัน "เป็นไง..?" อาตมากระซิบ "ท่านแสดงความพิรุธออกมาเอง" หัวหน้าชาติชายว่า...
    "นอนระวังตัวหน่อยนะ ไม่รู้ว่าท่านกับชาวบ้านจะเอาอย่างไรกับเรา" อาตมากำชับ แล้วกลับกลด สวดมนต์ – ไหว้พระ นั่งกรรมฐานได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าย่องเข้ามา ลืมตาขึ้นก็ได้ยินเสียงหัวหน้าชาติชายกระซิบว่า "หลวงพี่..มาดูอะไรหน่อยครับ.." อาตมาย่องกริบตามไปทันที...

    ในความมืดสนิทนั้น เห็นตามผนังผาคล้ายกับมีหิ่งห้อยขนาดยักษ์ เปล่งประกายสีเขียวเจิดจ้า ดูอยู่เกือบครึ่ง ช.ม. ไม่ทราบว่าเป็นอะไร "ถ้าเป็นแสงมรกต พวกนี้ต้องเปลี่ยนเต็มที่แล้วทั้งนั้น และที่ดูอยู่นี่ ก้อนไม่ต่ำกว่ากำปั้นอย่างเด็ดขาด" ยอดโชเฟอร์กล่าว...

    "คืนนี้แรมห้าค่ำ กว่าดวงจันทร์จะพ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมา คงจะเที่ยงคืนไปแล้ว เอาไว้ตอนดึกค่อยมาดูกันอีกที.." หัวหน้าชาติชายกับแดงเห็นด้วย ทั้งสองเลยตกลงอยู่เวรกันคนละ ๒ ช.ม. อาตมากลับกลดไปนอนภาวนา ในความมืดที่เงียบสงัด เสียงใบไม้ร่วงยังได้ยินอย่างชัดเจน...

    เสียงสัตว์เล็กวิ่งแกรกกราก นกกลางคืนบินเฉียดกลดดังพึ่บพั่บ เสียงตุ๊กแกป่าร้องรับกันสะท้านภูเขา แมลงกลางคืนกรีดปีกดังระงม งูอะไรไม่รู้ร้องริ้งๆๆ อยู่ทางหัวนอน เสียงสัตว์ป่าร้องในหุบเขา คล้ายกับเสียงเก้งเขก บรรยากาศวังเวงพิลึกพิลั่น..!

    ตีหนึ่งกว่าออกไปรวมกลุ่มกัน เดือนแรมแขวนอยู่กึ่งกลางฟ้า ทั้งหมดเดินออกไปทางไร่มะขามหวาน อากาศหนาวสะท้านกาย มองกลับไปเห็นยอดเขาดำทึบทะมึน สะท้อนประกายสว่างเลือนราง พิจารณาแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ตกลงกลับมานอนดีกว่า...

    เดินใกล้ถ้ำอากาศอุ่นผิดปกติ ห่างออกไปหนาวจนสั่น เข้ามาใกล้ถ้ำกลับอุ่นพิกล คงเป็นผลของกัมมันตภาพรังสี นอนภาวนาแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราไม่เป็นศัตรูกับใคร ยินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก แล้วนอนฟังสรรพสำเนียงแปลก ๆ อย่างเพลิดเพลิน...
    ************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กันยายน 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...