เรื่องเด่น บรรยายถวายความรู้แก่พระวิปัสสนาจารย์ประจำสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, พุธ เวลา 09:11.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547


    บรรยายถวายความรู้แก่พระวิปัสสนาจารย์ ประจำสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด
    ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔
    โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.

    ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมแห่งที่ ๒
    หมู่ที่ ๑ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    วันอังคารที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: พฤหัสบดี เวลา 20:05
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    ขอถวายความเคารพพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีวิสุทธิวงศ์, ดร. (สุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู ป.ธ. ๙) รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ตลอดจนกระทั่งขอโอกาสพระวิปัสสนาจารย์ที่เข้ารับการอบรมทุกรูป มีหลวงพ่อสุพจน์ (พระครูสุนทรกาญจนาคม) เป็นต้น เป็นประธาน

    กระผมพระครูวิลาศกาญจนธรรมครับ ส่วนใหญ่เข้าเรียก "หลวงพ่อเล็ก"กัน วันนี้ได้รับเกียรติจากทุกท่านให้มาบรรยาย ก็น่าจะไม่ถึง ๒ ทุ่มตามกำหนดการครับ ว่าจะเหลือเวลาให้พวกเรา เผื่อที่จะสอบถามอะไรกันบ้าง

    ท่านทั้งหลายครับ พระวิปัสสนาจารย์ของเรานั้น ตั้งแต่ชื่อก็สร้างภาระหนักให้กับพวกเราแล้ว วิ เป็นคำอุปสรรค แปลได้ว่า วิเศษ แจ่มแจ้ง แตกต่าง, ปัสสนา แปลว่า การรู้เห็น, อาจารย์ ผู้เป็นแบบอย่างกับคนอื่นเขา ก็แปลว่าท่านทั้งหลายก็คืออาจารย์
    ซึ่งรู้เห็นธรรมอย่างแจ่มแจ้งผู้เป็นแบบอย่างกับคนอื่น แค่ชื่อก็ตายแล้วครับ..!

    ท่านทั้งหลายครับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ฝากภาระธุระในพระพุทธศาสนาเอาไว้กับบริษัททั้ง ๔ ก็คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านลองนึกว่าถ้าองค์กรพุทธบริษัท ๔ ของเราเป็นรถยนต์ ตอนนี้แทบจะวิ่งล้อเดียวแล้วนะครับ..! เพราะว่าภิกษุณี พี่สาวน้องสาวของเราไม่มี จะสงเคราะห์แม่ชีเข้ามาแทนก็ทดแทนกันไม่ได้ เพราะว่าความต่างของศีลมีมหาศาลเลย ก็คือ ๓๑๑ ข้อกับ ๘ ข้อเท่านั้น..!

    ส่วนอุบาสก อุบาสิกา ปัจจุบันนี้แทบไม่ต้องหวังครับ อุบาสกท่านก็เห็นอยู่ ไปตื่นธรรมกันซะแล้ว..! อุบาสิกายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ส่งบรรดาลูกศิษย์มา "ติดเบรก" พวกเราอยู่ประจำ "สวดศพไม่ได้บุญ พาคนตายให้ลงนรก" "บวชหน้าไฟไม่ได้บุญ มีแต่จะลงนรก" ไม่รู้ไปเอาความคิดเหล่านี้มาจากไหน ? ก็ขอให้คุณยายท่านอายุยืนไปกว่านี้ เพื่อที่จะได้แก้ไขทิฏฐิของตนให้ถูกต้องด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ภาระใหญ่ของพระพุทธศาสนาตกอยู่บนบ่าของพวกเรา ท่านทั้งหลายที่ศึกษามา โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วันแรกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระเถระ ๖๐ รูป ออกประกาศพระพุทธศาสนา พระองค์ตรัสว่า มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ เย ทิพพา เย จะ มะนุสสา ตุมเหปิ ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ เย ทิพพา จะ เย มะนุสสา เป็นคำกล่าวที่ต้องบอกว่า "อหังการสุด ๆ" แต่ก็เป็นความจริงนะครับ..!

    มุตตาหัง ภิกขะเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้ว

    สัพพะปาเสหิ จากบ่วงทั้งปวง

    เย ทิพพา เย จะ มะนุสสา ทั้งที่เป็นของทิพย์ และเป็นของมนุษย์

    ตุมเหปิ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย แม้แต่พวกเธอด้วย

    สัพพะปาเสหิ ก็พ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว

    พระพุทธเจ้าส่งบุคคลออกประกาศพระพุทธศาสนาด้วยการศึกษาครบถ้วน และเข้าถึงอย่างสุดยอดแล้ว แล้วท่านทั้งหลายลองนึกถึงพวกเราสิครับ ต้องขับเคลื่อนองค์กรพุทธบริษัท ๔ ไปด้วยล้อเดียวยังไม่พอ มีใครกล้าพูดไหมครับว่าตนเองพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ? จึงเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสมาก

    แล้วหน้าที่ที่พระองค์กำหนดให้ละครับ หนักกว่านั้นอีก จะระถะ ภิกขะเว จาริกัง พะหุชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ ขอเธอทั้งหลายจงจาริกไป อย่าแปลว่าจงเที่ยวไปนะครับ มีมหาเถระอยู่รูปหนึ่งที่คุ้นเคยกับผม เที่ยวเตลิดเปิดเปิงทั้งปีทั้งชาติครับ จำพรรษาปีละ ๑ ประเทศ ไม่รู้จะเอาเกียรติประวัติไปถึงไหน ? เขาบอกพระพุทธเจ้าบอกให้เที่ยว เพราะฉะนั้น..ผมต้องเที่ยว..! ไอ้นั่นตั้งใจแปลผิด หรือว่าแปลผิดแต่แรกก็ไม่รู้ !?

    ท่านบอกว่า พะหุชะนะหิตายะ เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก พะหุชะนะสุขายะ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก โลกานุกัมปายะ เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    ท่านทั้งหลายครับ เราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ? เราก็ต้องมาดูในโอวาทปาฏิโมกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้เราสั่งสอนญาติโยมว่า

    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ให้ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง

    กุสะลัสสูปะสัมปะทา ต้องสร้างความดีให้ถึงพร้อม

    สะจิตตะปะริ โยทะปะนัง ชำระจิตของตนให้สะอาดผ่องใส

    คราวนี้ถ้าเราจะมาถึงตรงนี้ได้ ก็ต้องยึดหลัก ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น เราจะไปสอนญาติโยมเขาว่าให้เว้นจากความชั่วทั้งปวง แล้วเราเว้นไหมครับ ? ผมนี่เดินเข้าตลาดแต่ละที ไอ้สิ่งที่รำคาญหูที่สุดก็คือ "หลวงพ่อ..ซื้อหวยสักชุดสิคะ" แล้วผมก็ดันเจอไอ้ประเภทนุ่งห่มแบบเราไปยืนล้อมแผงหวยซะด้วย..! แล้วคิดว่าจะไปบอกเขาว่าสัพพะปาปัสสะ อะกะระณังนี่ ใครจะเชื่อละครับ ? ก็ในเมื่อต้นแบบยังเป็นอย่างคำสอนไม่ได้เลย..!

    เราก็ต้องมาดูในส่วนของประโยชน์ ๓ ครับ อัตตัตถะ ประโยชน์ส่วนตน ปรัตถะ ประโยชน์เพื่อผู้อื่น อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

    เราต้องแสวงประโยชน์ส่วนตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อน ต้องอยู่ในระดับที่มั่นคงเลยครับ ไม่อย่างนั้นแล้วกระผมเห็นมามากต่อมากด้วยกัน ก็คือตอนแรกตั้งใจจะบวชถวายชีวิต ตั้งใจจะกระทำทุกอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา ท้ายสุด..แค่นี้ก็ไปไม่ได้ครับ กลายเป็นหลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข บำรุงบำเรอความสุขตัวเอง ต้องอยู่กุฏิทรงสเปน ติดแอร์ ติดม่านเสียรอบเลย ซักเองก็ไม่เป็น..! ถึงเวลาก็ต้องส่งร้านซักแห้ง ต้องนั่งรถหรู

    วันก่อนเพิ่งปรารภกับผม "หลวงพ่อเล็ก ถวายรถตู้ให้ผมสักคันสิ ไม่ต้องมากหรอก ราคาสัก ๔ - ๕ ล้านก็พอ" ก็เลยบอกกับท่านไปว่า "ผมยังนั่งรถตรวจการณ์เก่า ๆ อายุ ๑๐ ปีอยู่เลย" เพื่อนบางรูปก็..โทรศัพท์ออกใหม่เมื่อไร กูเปลี่ยนทุกครั้ง กูมีใช้ทุกรุ่น..! แล้วถ้าท่านคิดว่า ถ้าเราเป็นแบบอย่าง ๆ นี้ เราจะสอนญาติโยมได้อย่างไรละครับ ?

    เพราะนอกจากยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้นแล้ว ยังต้องยถาการี ตถาวาทีอีก ก็คือทำอย่างไรพูดอย่างนั้น ถ้าท่านทำได้ ทุกอย่างจะขลังเองครับ ขลังตรงที่ว่าเราไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    พระพุทธเจ้ามอบอัฐบริขารให้กับพวกเรา องค์กรพุทธบริษัท ๔ พวกเราใช้งบประมาณน้อยมากครับ มีแค่อัฐบริขารเท่านั้น สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก เป็นศาสนาอันดับ ๔ ของโลก

    อันดับ ๑ ศาสนาอิสลาม อันดับที่ ๒ ศาสนาคริสต์ อันดับที่ ๓ นี่อัศจรรย์เลยครับ ศาสนาฮินดู แทบจะมีประเทศหลักนับถืออยู่ประเทศเดียว คือประเทศอินเดีย นับถือศาสนาฮินดู แต่ยอดการนับถืออยู่ ๙๐๐ กว่าล้านคน..!

    ศาสนาพุทธของเราอยู่อันดับ ๔ จำนวนคนนับถืออยู่แค่ประมาณ ๓๐๐ ล้านคนเศษนะครับ แล้วใน ๓๐๐ ล้านคนเศษ เป็นมหายานไป ๒๐๐ กว่าล้านคน..! ใช้งบประมาณน้อยสุด ๆ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างศาสนาของเราจนมั่นคง แทรกขึ้นมาเป็นอันดับ ๔ ของโลกได้นี่ต้องสุดยอดแค่ไหนครับ ?

    ในเมื่อพ่อทำได้ แล้วเราทั้งหลายที่เป็นลูกละครับ ? เจอนั่งภาวนาเดินจงกรม ๑๐ วัน จะไม่เอาแล้ว..! ไม่ได้นะครับ ทุกวันนี้เราโดนบีบคั้นมากจากสังคมรอบข้าง ตั้งความหวังไว้กับพวกเราสูงมาก สังเกตดูนะครับ ถ้าเราทำอะไรผิดโดนถล่มทันที ผู้รู้มีเยอะครับ แล้วส่วนใหญ่ก็รู้ไม่จริง..!

    วันนี้ก็มีข่าวครับ พระธุดงค์ ๒ รูป เดินนำญาติโยมผู้หญิง ๒ คน ออกธุดงค์ด้วยกัน ก็มีไอ้พวกรู้ไม่จริงเข้าไปคอมเมนท์ว่า ถ้าเป็นญาติเป็นโยมกันก็ไม่เป็นไร ใช่หรือครับ ? ภิกษุชักชวนภิกษุณีเดินทางไกล แม้ระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ผู้หญิงก็ต้องสงเคราะห์เข้ากับภิกษุณีนะครับ ภิกษุณีนั่นนักบวชด้วยกัน ถือศีลพรหมจรรย์ด้วยกัน ท่านยังไม่ยอมให้ไว้วางใจ เดินทางได้แค่ช่วงบ้านเดียว แล้วเราจะไปไว้ใจชาวบ้านทั่วไปได้อย่างไรละครับ แต่คราวนี้ในเมื่อคนคอมเมนท์ความรู้ไม่ถึง แถมยังไปอวดรู้อีกต่างหาก ก็บรรลัยละครับท่าน..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    ท่านที่นั่งท้าวพื้นอยู่ นั่งขัดสมาธิดีกว่าครับ ภิกษุเอามือค้ำกายต้องอาบัติอยู่แล้ว เห็นใจครับ น้ำหนักเยอะ จึงนั่งยาก

    คราวนี้การที่เราจะสร้างประโยชน์ตน ก็คือทำให้ตนเองเข้มแข็งขึ้นมาก่อน ถึงจะเป็นผู้นำเขาได้ ท่านทั้งหลายเหมือนกับหัวรถจักรนะครับ รถไฟวิ่งไปข้างหน้า มีตู้เกี่ยวอยู่ข้างหลัง ยิ่งอยู่นานเท่าไร ตู้จะยิ่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ

    หลวงพ่อสุพจน์ของผม ก่อนหน้านี้ท่านก็อยู่โน่น..หนองตากยา ตอนนี้ย้ายไปอยู่ห้วยตะเคียน ผู้บังคับบัญชาจับวางตรงไหน กูไปตรงนั้น ญาติโยมก็ตามไปกวนตรงนั้น ท่านบอกกับผมว่า "มาที่นี่ถือว่าพักผ่อน ได้หนีจากไอ้พวกที่มาหากันไม่เว้นแต่ละวันเสียที" ยิ่งนานไป พวกตู้ที่เกี่ยวพ่วงยิ่งมากขึ้น แล้วถ้าหัวรถจักรกำลังไม่ดี ไปไม่รอดนะครับท่าน..!

    กระผมเป็นคนที่หวงเวลามากที่สุด ถ้าถึงเวลาต้องปฏิบัติธรรม เช้าตี ๓ ครึ่งต้องพร้อมแล้ว แล้วที่วัดผมก็ทำวัตรเช้า ๑ รอบ ทำวัตรเย็น ๒ รอบ การสวดมนต์ทำวัตรเป็นการสร้างสมาธิวิธีหนึ่ง ยิ่งกำลังสมาธิสูงเท่าไร เราจะเข้มแข็งมั่นคงเท่านั้น แต่ถ้าอาศัยกำลังสมาธิอย่างเดียว เผลอเมื่อไรกิเลสตีกลับ เราเสียพระดี ๆ มาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น..ประมาทไม่ได้นะครับทุกท่าน

    ประโยชน์ตนสิ่งแรกเลยก็คือศึกษาเรียนรู้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะนักธรรม จะบาลี หรือว่าอ่านพระไตรปิฎก ประการที่สองก็คือ เอาแนวทางการปฏิบัติมาทำให้เกิดผล

    ท่านทั้งหลายครับ บุคคลที่เข้าถึงแม้ส่วนเสี้ยวเดียวของสมาธิ จะหล่อเลี้ยงให้ท่านทั้งหลายอยากอยู่ในผ้าเหลืองต่อไปแบบไม่รู้จบ กระผมพูดจากประสบการณ์ตัวเอง เพราะว่าตั้งใจบวชแค่ ๗ วันนะครับ ไอ้ ๓๙ ปีกว่าจะ ๔๐ ปีนี่ ตั้งใจไว้จริง ๆ แค่ ๗ วันครับ..!

    แต่คราวนี้เมื่อท่านทำสมาธิไปถึงจุดหนึ่งจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าปีติ ความอิ่มอกอิ่มใจเกิดขึ้น จะไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติธรรมครับ แต่ว่าต้องดูความพอเหมาะพอดีด้วยนะครับ เพราะว่าหลายท่าน พอถึงเวลาปีติก็โหมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ลองนึกถึงคนที่ทำงานแล้วไม่ได้พักทั้งวันสิครับ รุ่งขึ้นไหวไหม ? บางทีก็นอนแผ่ไป ๓ วัน..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    ดังนั้น..คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา หรือความพอเหมาะพอดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ต้องมีความพอเหมาะพอดี แล้วมัชฌิมาปฏิปทาไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์เป๊ะนะครับ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังกาย กำลังบุญ ที่ท่านสั่งสมมาแต่อดีต

    บางคนนั่งกรรมฐาน ๓ วัน ๓ คืนสบายมาก ผมก็เคยไปนั่งแข่งกับเขามาแล้วครับ แต่ว่านั่งไปก็ด่าไป "โคตรพ่อโคตรแม่มึงจะนั่งอะไรนานขนาดนี้ เจ็บตูดฉิบหายเลย..!" เรานั่ง ๓๐ นาทีจะไม่รอดแล้ว เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราต้องหาจุดพอเหมาะพอดีของตนเองให้ได้

    เมื่อถึงเวลา ถ้าท่านทำได้แล้ว ตำราที่ท่านศึกษามา หรือพระไตรปิฎกที่ท่านอ่าน ท่านจะเข้าใจลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องเพราะว่าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้น คำพูดและตัวหนังสืออธิบายไม่ได้ครับ บาลีเขาบอกว่าเป็น"ปัจจัตตัง" คือ รู้เฉพาะตน แค่องค์ของสมาธิที่เราว่ามีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ แค่สุขตัวเดียว ท่านก็บอกได้ไม่ถูกแล้วครับว่าอาการเป็นอย่างไร เขาก็พยายามอธิบายว่า "มีความสุขสดชื่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน" แล้วเป็นอย่างไรละครับ ?

    แต่กระผมจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้ทุกท่านฟังว่า คนเราทุกคนโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เผาอยู่เสมอ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ร้อนด้วยไฟคือราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ ทันทีที่สมาธิท่านทรงตัวถึงระดับอุปจารสมาธิขั้นปลาย กำลังสมาธิจะกดไฟ ๔ กองนี้ดับลงชั่วคราวครับ ถ้าเราโดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลง จะมีความสุขแบบไหน ? อธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ไหมครับ ? อธิบายไม่ได้หรอกครับ รู้อยู่แก่ใจ

    ดังนั้น..เรื่องของการศึกษาตำราและการปฏิบัติจึงต้องเป็นของคู่กัน เราจะเห็นว่าในพระไตรปิฎก กล่าวถึงคันถธุระ คือการศึกษาคัมภีร์ วิปัสสนาธุระ คือการปฏิบัติธรรม เพื่อให้รู้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง หรือไม่ที่เรามาสรุปกันในรุ่นหลังว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ก็คือศึกษาและนำไปทำให้เกิดผล ที่เขาเรียกกันว่าปฏิเวธ (ปะ-ติ-เว-ทะ) หรือ ปฏิเวธ (ปะ-ติ-เวด)
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,132
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +26,547
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท่านต้องทำตลอดชีวิตครับ โดยเฉพาะพระหนุ่มเณรน้อยของเรา ยิ่งอยู่นาน ถ้าเราตั้งใจสร้างความดี ไม่ต้องอะไรหรอกครับ หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ. ๘) อดีตเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านบอกว่า "ศึกษาเล่าเรียน พากเพียรปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา" แค่ ๔ อย่างนี้แหละครับ ถ้าญาติโยมเห็นประจำ ๆ จะเกิดศรัทธา

    คราวนี้ถ้าสั่งสมไปเรื่อย สิ่งที่เราทำกลายเป็นบารมี เมื่อกลายเป็นบารมี คนศรัทธามากขึ้น อายุกาลของท่านก็มากขึ้น กลายเป็นว่าของอื่นถ้าเก่าถ้าแก่แล้วหมดราคา แต่พระเณรของเรายิ่งเก่า ยิ่งแก่ ราคายิ่งแพง แต่สำคัญตรงที่ต้องทำดีทำถูกนะครับ

    การสร้างคุณงามความดี ครูบาอาจารย์ของกระผมบอกว่าเหมือนกับเพชร เม็ดเล็กก็ราคาสูง แต่ถ้าทำความชั่วในผ้าเหลืองก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ก็ยิ่งเหม็นมาก..!

    ดังนั้น..การที่เราจะสร้างประโยชน์ตนเพื่อให้ตนเองเข้มแข็ง เพียงพอที่จะเป็นผู้นำของชาวบ้าน ต้องทำกันชนิดที่แลกกันด้วยชีวิตครับ..!

    ท่านลองสอบถามหลวงพ่อสุพจน์ดูครับ หมายเลข ๑ ของพวกเรานี่แหละ ท่านเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนามา เขาให้นั่งกับข้ามวันข้ามคืนจริง ๆ นะครับ แล้วที่นั่งอย่างนั้น ซึ่งภาษานักปฏิบัติเขาเรียกว่า "นั่งทับทุกข์" ก็เพื่อ ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกดูว่า ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นนี้ ใช่เราหรือไม่ ? ประการที่สองก็คือ เมื่อเห็นชัดอย่างนั้นแล้ว ยังอยากได้ร่างกายนี้หรือไม่ ?
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...