พระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องฤทธิ์จริงหรือจากข้อค้นคว้าของมรว.เสริม สุขสวัสดิ์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]




    คำถาม เรื่องฤทธิ์เขาว่า เป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อ เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน

    คำตอบ "เขา" ที่ว่าอย่างนั้นแหละเป็นคนเพ้อเจ้อ พูดไม่มีหลักมีเกณฑ์คิดเอาเอง ควรจำไว้บ้างว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า พูดอะไรก็ต้องมีหลักอ้างอิงอยู่เสมออย่าพูดเฉย ๆ

    ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านทรงสนับสนุนเรื่องฤทธิ์ และใช้ฤทธิ์อยู่บ่อย ๆ แต่ทรงใช้เมื่อเห็นว่า เกิดประโยชน์เท่านั้น ไม่ใช่แสดงฤทธิ์ เล่นสนุก ๆ หรือ แสดงตามคำขอร้อง การแสดงฤทธิ์ เป็นเครื่องช่วยให้เกิดความเลื่อมใสเท่านั้น ไม่ได้เป็นเครื่องตัดอาสวะกิเลสโดยตรง

    เล่ม 4 หน้า 30 พระพุทธเจ้าทรง "บันดาลอิทธาภิสังขาร" มิให้เศรษฐีบิดาของยสกุลบุตรมองเห็น ท่านยสกุลบุตร ซึ่งนั่งอยู่ ณ ที่นั่น ประโยชน์ที่เกิดขึ้นคือ พระยสกุลบุตรได้เป็นพระอรหันต์ ส่วนบิดาเป็นพระโสดาบัน
    เล่ม 4 หน้า 44 ถึง 55 ทรงแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ คือ


    [​IMG] สู้กับนาคที่แสดงฤทธิ์
    [​IMG] ไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุทวีป แล้วนำกลับมาในเวลาอันสั้น
    [​IMG] ไปเก็บผลหว้าประจำชมพูทวีป และ ดอกปาริฉัตรจากดาวดึงส์
    [​IMG] บันดาลให้ชฎิลผ่าฟืนไม่ออก
    [​IMG] บันดาลให้ก่อไฟไม่ติด
    [​IMG] เนรมิตไฟ 500 กองให้พวกชฏิลผิง
    [​IMG] บันดาลให้น้ำที่กำลังท่วม ไม่ท่วมตรงที่ประทับ


    ประโยชน์คือ เป็นการทรมานอุรุเวรกัสสปชฏิลให้เลื่อมใส และในที่สุดก็บวชพร้อมด้วยศิษย์ 500
    เล่ม 5 หน้า 2
    ผู้แทนชาวบ้านแปดหมื่นตำบลไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านพระสาคตะ แสดงฤทธิ์ดำดินให้เห็น ชาวบ้านก็เลย ไม่แน่ใจว่า องค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงสั่งให้แสดงฤทธิ์มากกว่า นั้นอีก ท่านสาคตะ คงจะรู้พระทัยว่า ไม่เป็นการสะดวกแก่พระพุทธเจ้า ที่จะบอกว่า นั่นเป็นเพียงศิษย์ เมื่อแสดงฤทธิ์ พอควรแล้ว ก็มาซบที่พระบาทกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า
    นอกจากนี้ ทรงแสดงฤทธิ์อีกหลายแห่งเพื่อการสอน เช่น ขณะที่สาวกในที่ไกลกำลังคิดผิด ก็จะทรงปรากฏพระองค์สั่งสอนทันที เป็นต้น

    เล่ม 13 หน้า 390 ทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้องคุลิมาลโจรวิ่งไม่ทัน
    ทรงสนับสนุน ให้สาวก ทำตน ให้มี ฤทธิ์ด้วย เช่น ในเล่ม 11 หน้า 305 ทรงสอนว่า ธรรม 6 อย่างที่ ภิกษุ ควรทำให้แจ้ง คือ อภิญญา 6 (ข้อ 1 ของอภิญญา 6 คือ บรรลุอิทธิวิธี)

    เล่ม 13 หน้า 275 ตรัสว่า สาวกของพระองค์บรรลุอภิญญาเป็นจำนวนมาก

    เล่ม 20 หน้า 194 สาวกที่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ 3 มีมาก

    ฝ่ายที่แอนตี้การแสดงฤทธิ์มักจะยกหลักฐานมา 2 แห่ง
    แห่งแรก เล่ม 11 หน้า 3 สืบเนื่องมาจากโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อ สุนักขัตตะจะออกจากการเป็นสาวก ของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุที่ "พระผู้มีพรภาคเจ้ามิได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่ข้าพระองค์เลย"

    พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไม่ให้ติดในฤิทธิ์ เพราะคนลักษณะนี้ถ้าได้เห็นฤทธิ์แสดงแล้ว ก็คงจะหมกมุ่น อยู่แต่เรื่องฤทธิ์ไม่มุ่งที่จะตัดกิเลส คือ ทรงสอนว่า

    "ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเรา ได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมเนียมยิ่งยวดของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติ ให้สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนากระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์ไปทำไม"

    ผู้อ่านหนังสือ ควรระลึกว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้สอนชั้นเยี่ยม สอนให้เหมาะแก่บุคคล นั้น ๆ คำตอบนี้ ตอบแก่ สุนักขัตตะเท่านั้น ไม่ใช่หมายความว่า เป็นคำสอนทั่วไป ทั้งนี้เพราะการแสดงปาฏิหาริย์ ไม่มีค่าแก่บุคคลผู้นี้ ป่วยการแสดง ในหน้าต่อ ๆ ไปได้ทรงเตือนสุนักขัตตะถึงเรื่องที่ ผ่านมาแล้ว 3 เรื่องและชี้ว่า นั่นคือ ปาฏิหาริย์ ที่พระองค์ทรงแสดง ให้เห็นอยู่แล้ว ยังไม่พออีกหรือ (ใน 3 เรื่องนั้น สุนักขัตตะ เป็นตัวเกี่ยวข้องสำคัญอยู่ด้วย)

    แห่งที่สอง เล่ม 9 หน้า 347 เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตร ทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ส่งภิกษุสักรูปหนึ่ง ทำปาฏิหาริย์ เพื่อให้ชาวเมือง เกิดความเลื่อมใส พระองค์ทรงปฏิเสธ แล้วทรงกล่าวว่า ปาฏิหาริย์ 3 นั้นทรงทราบแต่...

    [​IMG] เมื่อเล็งเห็นโทษเช่นนี้จึงอึดอัด ระอา เกลียด อิทธิปาฏิหาริย์
    [​IMG] เมื่อเล็งเห็นโทษเช่นนี้จึงอึดอัด ระอา เกลียด อาเทศนาปาฏิหาริย์
    [​IMG] แต่ไม่ตรัสว่า อึดอัด ระอา เกลียด อนุสาสนีปาฏิหาริย์

    เมื่อยกมา เช่นนี้แล้ว ก็ประโคมกันว่า ทรงคัดค้านการแสดงปาฏิหาริย์ ซึ่งเราจะเห็น ได้ว่า ขัดกันกับคำสอนเรื่อง ให้ทำอภิญญา 6 และขัดกับที่ทรงประพฤติ ในการแสดงฤทธิ์หลายครั้ง แต่เราต้องไม่ลืมว่า พระพุทธเจ้านั้นจะไม่มีการค้านได้เลย ฉะนั้นจะต้งพิจารณาเรื่องนี้โดยละเอียด

    ประการที่ 1 จะต้องระลึกว่า พึ่งจะเสด็จ มาถึงที่นั่น (สวนมะม่วง ของปาวาธิกเศรษฐี เขตเมือง นาลันทา) ยังไม่มี ผู้เลื่อมใส ยังไม่มีโอกาส แสดงธรรม ถ้าจู่ ๆ ไปแสดง อิทธิปาฏิหาริย์เข้า ผลที่เกิด ก็คือ คนที่ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส จะกล่าวได้ว่า มีวิชา คือ คันธารี ใช้แสดงเช่นนี้ได้เช่นกัน ถ้าหากแสดง ครั้งแรกแล้ว มีคนค้านได้ ก็เห็นได้ว่า "เสียเส้น" หมด อันนี้เราควรจะต้องเห็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ในปัญหาว่า จะปฏิเสธเกวัฏฏ์อย่างไรดีจึงจะไม่เสียน้ำใจ วิธีที่ทรงเลือกนี้ นับว่าเหมาะสมที่สุด

    เรื่องนี้ พอดีมีตัวอย่าง ในสมัยปัจจุบัน คือ เรื่องของนาวสาวศศิธร เมธางกูร ซึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่านาย บุญมี เมธางกูร ผู้เป็นบิดาได้นำมาแสดง การปิดตาอ่านหนังสือ และขับรถ ด้วยอำนาจจิตศาสตร์ต่อมาหนัง สือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2521 ทำข่าวสัมภาษณ์ นักเล่นกลหลายคน นักเล่นกลบอกว่า อย่างนี้ เป็นกลชั้นต่ำ นักเล่นกลที่ไหนก็ทำได้ จะทำยิ่งกว่านี้ เช่น ให้คนลอยในอากาศก็ยังได้ ผ้าปิดตาสีดำ ทำไว้ขายสำหรับเล่นกลอย่างนี้ มีขายถมเถไป

    นายบุญมี เมธางกูร ผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามในกิจของพระศานา คือ เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม ที่ออกเป็น รายการวิทยุ ก็ดูเหมือนมี ถ้าบังเอิญ เรื่องการใช้จิตศาสตร์ ของนางสาวศศิธร เป็นเรื่องจริง แท้ไม่แปลกปลอม นายบุญมี กลับไม่ได้รับอะไรเลย นอกจากความเสียหาย พระพุทธเจ้าท่านคงจะรู้ทันข้อนี้ ถ้าให้สาวก แสดงปาฏิหาริย์ก็คงจะถูกหักล้างว่า ใช้วิชาคันธารี ถ้า วิชาคันธารี เป็นการแสดงกลชนิดหนึ่ง ก็จะกลายเป็นว่า พระพุทธเจ้าหลอกลวง ให้คนเลื่อมใส ดังนั้น จึงเลี่ยงเสีย ปฏิเสธเสียไม่แสดง (ทำให้คนสมัยนี้บาง พวกนำไปอ้างว่า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้แสดงฤทธิ์)

    ประการที่ 2 อาเทศนาปาฏิหาริย์ ก็มีวิชาชื่อ มณิภา สามารถนำมาใช้ได้ผลอย่างเดียวกัน จึงทรง "อึดอัด ระอา และเกลียด" อีก

    ประการที่ 3 ทรงกล่าวถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์โดยละเอียด ซึ่งอันที่จริงก็คือ หลักสูตรพระพุทธศาสนาทั้งดุ้น นั่นเอง คือ กล่าวถึงจุลศีล (หน้า 350) มัชฌิมศีล (หน้า 352) มหาศีล (หน้า 255) แล้วต่อด้วย การละนิวรณ์ 5 บำเพ็ญฌาน 1 ถึง 4 แล้วน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ นิรมิตรรูปอื่น จากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง น้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ทำให้หายไป ก็ได้ ฯลฯ (เหมือนกับที่ระบุไว้ในอิทธิปาฏิหาริย์) น้อมจิตไป เพื่อทิพยโสตธาตุได้ยินเสียง 2 ชนิดคือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งอยู่ใกล้และไกลล่วงโสตมนุษย์ น้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสสติ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ 6 อย่างหลัง นี้ คือ อภิญญา 6 ทั้งหมด นี้ คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ต่อจากนั้น ท่านก็ทรงบรรยายถึง นิพพานโดยย่อเป็นอันจบหลักสูตร
    ถ้าเราจะจับเรื่องโดยย่อ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังคนกลุ่มใหม่นั้น เกวัฏฏ์ก็จะขอให้อาจารย์ของตน (พระพุทธเจ้า) สั่งสาวกแสดงปาฏิหาริย์ ให้เป็นที่ประจักษ์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ไม่เป็นโอกาสที่ควรแสดง เพราะคนยังไม่รู้จัก และถ้าแสดงไปก็จะมีคนค้านได้ กลับทำให้ความเลื่อมใสไม่เกิด จึงปฏิเสธโดยอ้อม ๆ แล้วถือโอกาสนั้น แสดงธรรมว่า พระพุทธศาสนาสอนอะไรบ้าง แทรกไว้ใน อนุสาสนีปาฏิหาริ์ ซึ่งในนั้นเองกล่าวว่า สามารถแสดงฤทธิ์ได้

    โดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่า ถ้าแสดงฤทธิ์ ได้ประโยชน์ ก็ทรงสนับสนุน ถ้าแสดงแล้ว เกิดโทษไม่สนับสนุน ส่วนที่ห้ามสาวกแสดงฤทธิ์ แก่ฆราวาสนั้น น่าจะเป็นการช่วยพระสาวก ให้รอดตัวมากกว่า เพราะคราวนั้น ท่านบิณโฑลภารทวาชะ เหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์ แล้วลอยไปรอบเมือง คนที่ยังไม่เห็น ก็ตามกันมา เกรียวกราว จะให้เหาะให้ดูอีก ถ้าไม่ทรงห้าม ท่านบิณโฑลเห็นจะต้องเหาะโชว์ตลอดวันแน่ จะว่าไป การเหาะคราวนั้น ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เพราะคล้ายเป็น การลองฤทธิ์ ซึ่งผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า

    เรื่องฤทธิ์นี้ จำเป็นต้องพิสูจน์ ตามระเบียบว่า เป็นไปได้หรือไม่ ขอให้ไปดูเล่ม 31 หน้า 419 ถึง 428 ซึ่ง กล่าวถึงรายละเอียดในเรื่องฤทธิ์ เช่น ในหน้า 422 "คำว่า เหาะไปในอากาศ เหมือนนกก็ได้ คือ ท่านผู้มีฤทธิ์เป็นผู้ได้ ปฐวีกสิณสมาบัติ โดยปกติ ย่อมนึกถึงอากาศ แล้วอธิษฐานด้วยญาณว่า จงเป็นแผ่นดิน ก็เป็นแผ่นดิน ท่านผู้มีฤทธิ์นั้น เดินบ้าง ยืนบ้าง นอนบ้าง ในอากาศ กลางหาว เหมือนนกได้ เปรียบเหมือน พวกมนุษย์ผู้ไม่มีฤทธิ์โดยปกติ เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่นบ้าง นอนบ้าง บนแผ่นดินฉะนั้น ฯ"
    พูดตามภาษาชาวบ้าน ผู้ที่จะทำฤทธิ์ได้นั้น ต้องได้อรูปฌาน และต้องคล่องในกสิณ 10 เวลาจะทำฤทธิ์ ก็ เข้าอรูปฌาน มีกสิณอย่างใด อย่างหนึ่งเป็นนิมิต แล้วอธิษฐานก็จะสำเร็จดังประสงค์ เห็นได้ว่า ท่านไม่ได้ กล่าวไว้อย่างเลื่อนลอย วิธีแสดงฤทธิ์ท่านก็บอกไว้เสร็จ ขอเชิญพิสูจน์ด้วยตนเองก่อน แล้วจึงกล่าวว่า เป็นไปได้หรือไม่ได้

    ประโยชน์ของฤทธิ์นั้น มิใช่ว่า ทำให้เกิดความเลื่อมใสแล้ว จะเข้าปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก ในเล่ม 20 หน้า 258 พระอานนท์กราบทูลว่า "เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอ ที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

    ท่านพระอุทายีก็ติงว่า "ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ "

    พระพุทธเจ้าทรงแก้ให้ว่า "ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา 7 ครั้ง พึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ 7 ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่า อานนท์จักนิพพานในอัตภาพนี้เอง"



    ที่มาhttp://www.firstbuddha.com/Real/oiy7.html
     
  2. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,182
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละฤทธิ์
    ไม่มีฤทธิ์แล้วจะละได้ไงล่ะ
    55555
     
  3. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ร่วม [​IMG] อนุโมทนาบุญด้วยครับ.^./|\.^. [​IMG]
     
  4. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    วิสัยของผู้มีฤทธิ์ย่อมเป็นอจินไตย

    สาธุ...ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  5. constros

    constros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +254
    สาธุ อนุโมทนาด้วยคับ
    ยึดติด ยึดถือ ยึดมั่น ก็จะได้มาเกิดอีกคับ
     
  6. chanin

    chanin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2005
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,332
    พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนสอนเรื่องฤทธิ์
    เพราะมิใช่ทางพ้นทุกข์ มิใช่ทางไปนิพพาน
     
  7. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    เป็นไปเพื่อลดอกุศลธรรม เพิ่มกุศลธรรม กรุณาลองอ่านแต่ละพระสูตรให้ชัดเจนว่าสรุปด้วยธรรมทั้งหมด ทุกอย่างเป็นแค่เครื่องมือ
     
  8. hellotawan

    hellotawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,156
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ทุกอย่างเป็นเครื่องมือ หรือวิธีการฝึกตนอย่างหนึ่ง เพื่อให้ถึงมรรคผล นิพพาน คือเมื่อจะแสดงฤทธิ์ ผู้นั้นต้องเข้าออกฌาณได้อย่างคล่องแคล้ว ใช้กสินได้อย่างคล่อง และต้องหมั่นฝึกอยู่เสมอ เพื่อให้มีอารมณ์ใจเป็นฌาณสมาธืได้ทุกขณะจิตโดยมิต้องกำหนด เป็นเครื่องเร่งการปฏิบัติให้ถึงพร้อมซึ่งสมาธิได้เร็ว ใครก็ตามที่ฝึกสมาธิจนถึงฌาณ ได้กสิน ก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้ทุกคน เป็นของคู่กัน เพียงแต่จะแสดงเพื่ออะไร ถ้าแสดงเพื่อประโยชน์ เช่นการออกบิณฑบาตรของพระธุดงในป่าห่างไกล การป้องกันตนจากอวิชา มนต์ดำ สัตว์ร้ายขณะออกธุดง แต่ถ้าหากจิตเราในขณะแสดงฤทธิ์มีความโอ้อวด ทรนงใจ ไม่ทำใจให้ว่าง อยู่ในอารมณ์ฌาณแล้ว ฤทธิ์จะเสื่อมทันที เช่นเหาะอยู่แล้วนึกอยากอวดคนขึ้นมา ฤทธิ์เสื่อมก็ตกลงมาทันที นี่คือการฝึกตนให้ระวังอยู่เสมอ มันป็นของคู่กันครับ พระที่เก่งๆ ส่วนใหญ่ก็ออกธุดงมาแล้วทั้งนั้น เพราะอยู่ในเมืองมันฝึกได้ยาก มีแต่คนมาหา มานิมนต์ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ฝึกฤทธิ์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการการฝึกจิต แต่ไม่ให้ยึดติดเพราะจะก่อให้เกิดความลำบากแก่ตน และไม่ใช่ทางบรรลุ

    อนุโมทนาครับ
     
  9. Master mind

    Master mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +429
    อนุโมทนาครับ ประโยชน์สุดของการฝึกจิตเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะกิเลส มิใช่เพื่อสำแดงฤทธิ์
     
  10. นาย Touru

    นาย Touru เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ขอบคุณที่หาความรู้ดี ๆ มาแบ่งปันนะครับ กระจ่างขึ้นในหลาย ๆ เรื่องครับผม

    ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
     
  11. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...คนที่มีฤทธิ์ มีพลังจิตแก่กล้า....

    ...ท่านสอนคนทีมี ฤทธิ์....ใช้พลัง ตัดกิเลส...

    ...คนที่ยังมีพลังไม่มากพอ...ท่านแนะนำ ให้พอมีกำลัง แล้วสอนให้ใช้กำลังนั้นตัดกิเลส

    ...คนที่ยังไม่พร้อมเลย ท่านเพียงวางแนวทางไว้....

    ...ท่านสอนวิธีกำจัด ตัดกิเลส....ตามความพร้อมของพุทธบริษัท4
     
  12. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,037
    สุขไปสวรรค์
    ทุกข์ไปนรก
    ไม่สุข - ไม่ทุกข์ วางเฉยไปนิพพาน
    นิพพานัง ปรมังสุขัง
    นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  13. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    อย่าลืมนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนคนให้เป็นพระอรหันต์ 4 แบบคือ

    สุขวิปัสโก
    เตวิชโช
    อภิญโญ
    ปฎิสัมภิทปัตโต

    ถ้าไม่มีสอนเรื่องฤทธิ์
    พระอรหันต์ตั้งแต่ เตวิชโช-ปฏิสัมภิทปัตโต จะไม่มีขึ้นเลย
    ถ้าไม่มีพระประเภททั้ง 3 นั้น ใครจะมายืนยันธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และสั่งสอนไว้ดีแล้วเล่า ดังนั้นจึงต้องสอน เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ในธรรม

    ส่วนใครจะทำได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมี และความเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติเท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...