พระองค์ภา ทรงรับเป็นทูตยูนิเฟม รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี

ในห้อง 'ข่าวในพระราชสำนัก' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 8 กันยายน 2008.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">พระองค์ภา ทรงรับเป็นทูตยูนิเฟม รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี

    [8 ก.ย. 51 - 00:48]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    ด้วยทรงตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อสตรีและเด็ก พระเจ้า หลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จึงทรงรับเป็นทูตสันถวไมตรีให้กับกองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเฟม) ในโครงการ Say NO To Violence against Women ประเทศไทย เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยได้ร่วมกันยุติความรุนแรงและล่วงละเมิดต่อสตรีและเด็ก โดยเสด็จไปทรงรับเป็นองค์ทูตสันถวไมตรี พร้อมทรง ลงพระนามในการ์ดต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิง ที่ศูนย์ การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันศุกร์ (5 ก.ย.) ที่ผ่านมา ดร.จีน เดอคูน่า ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ กองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเฟม) กล่าวว่า ยูนิเฟมรู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์ เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงตอบรับเป็นทูตสันถวไมตรีในโครงการและการรณรงค์ Say NO To Violence agints women ในประเทศไทย โดยโครงการนี้เป็นการรณรงค์ให้ผู้สนใจลงชื่อทางอินเตอร์เนต เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวและระดมทุนสนับสนุนการดำเนินการ ซึ่งยูนิเฟมจะต้องรวบรวมรายชื่อให้ครบ 5 แสนชื่อ เพื่อทำการส่งมอบลายเซ็นทั้งหมดแก่นายคี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ในโอกาสวันรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ในวันที่ 25 พ.ย. 2551 นี้

    ผอ.ยูนิเฟมยังกล่าวอีกว่า ในฐานะองค์กรหลักของสหประชาชาติที่มีภารกิจ ในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและการสร้างพลังแก่ผู้หญิง รู้สึกชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่ทรงริเริ่มโครงการกำลังใจขึ้นมา เพื่อประทานความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้ต้องขังสตรีและเด็กที่ติดแม่มา ในทัณฑสถานต่างๆ นอกจากนี้ ยังประทานความช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ต้องขังกลับตัวเป็นพลเมืองดีภายหลังจากพ้นโทษแล้ว จากความประทับใจในพระกรณียกิจที่ทรงช่วย เหลือผู้ด้อยโอกาสที่สุดกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย และรู้สึกชื่นชมที่ทรงดำริว่าการเคารพสิทธิของบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ ดังจะเห็นได้จากโครงการกำลังใจในพระดำริ ได้รับเชิญ ไปจัดนิทรรศการระหว่างการประชุมสมัยที่ 17 ของคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อเดือน เมษายนที่ผ่านมา
    ในโอกาสนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา มีพระดำรัสตอนหนึ่งว่า ทรงรู้สึกชื่นชมในการเป็นหุ้นส่วนระยะยาวของประเทศไทย และยูนิเฟมในการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสังคมโดยรวม ปัญหานี้เป็นเรื่องของส่วนรวมทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงต้องทนทุกข์ทั้งทางด้านร่างกาย สุขภาพและจิตใจ และมีข้อมูลจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า สังคมต้องแบกรับต้นทุนทางเศรษฐกิจ สังคม ของความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อผู้หญิงและเด็ก เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์สากล ไม่จำกัดเฉพาะสังคมใดสังคมหนึ่งเท่านั้น และที่สำคัญความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงไม่ได้เป็นการกระทำ แบบสุ่มๆ แต่เป็นการกระทำที่มีรากฝังลึกมาจากทัศนคติของสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิง และชายในสังคมหลายที่ รวมทั้งในประเทศไทย
    [​IMG]


    พระองค์ภารับสั่งอีกว่า ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นต้องมีการแก้ไขอย่างนุ่มนวลแต่แข็งขัน เพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่อทัศนคติและพฤติกรรมของคนในสังคม การยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ซึ่งต้องใช้วิธีการแก้ปัญหาจากทุกๆภาคส่วนจากสหวิชาชีพ และรวมถึงความตั้งใจจริงของทุกๆฝ่ายในสังคม ในประเทศไทยมีความก้าวหน้าที่ค่อนข้างน่าพอใจ ในการแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ ล่าสุดมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญ อย่างไรก็ดี การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เป็นภารกิจที่สำคัญและท้าทายยิ่ง บุคลากรในระบบยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการและผู้พิพากษา ต้องมีความเข้าใจกฎหมายชัดเจน พร้อมกันนี้ต้องมีความตระหนักถึงมิติทางเพศ ความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ส่วนการแก้ปัญหาเรื่องนี้เราต้องใช้ยุทธศาสตร์ที่ให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องที่สำคัญไม่แพ้กัน ต้องมีการให้ความรู้ ความตระหนักและเข้าใจในหมู่สาธารณะ ในเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก รวมถึงการทำงานกับเครือข่ายเยาวชนที่จะเป็นรากฐานสำคัญในอนาคต โดยดึงให้เยาวชนมามีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ
    นอกจากนี้ พระองค์ภายังรับสั่งถึงโครงการกำลังใจว่า โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายให้โอกาสและสนับสนุนผู้ต้องขังหญิงที่ท้อง และผู้ต้องขังหญิงที่มีเด็กติดในการฟื้นฟูดูแลสุขภาพรวมถึงฝึกวิชาชีพ โครงการนี้ยังส่งเสริมให้คนไทยในสังคมให้โอกาสกับอดีตผู้ต้องขัง ซึ่งได้สร้างทัศนคติใหม่ในการเป็นพลเมืองดีในสังคม พร้อมกันนี้รับสั่งอีกว่า ทรงเชื่อมั่นว่าถ้าพวกเราทุกฝ่ายร่วมมือกับโครงการยูนิเฟม ลายเซ็นจำนวนมากจากคนไทยจะแสดงพลังน้ำเสียงในการเป็นหนึ่งเดียวของไทย ต่อการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง แต่การเซ็นลายชื่ออย่างเดียวไม่เพียงพอ การเซ็นต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ พฤติกรรมและวิธีปฏิบัติของผู้ชาย ผู้หญิง ของเด็กชาย เด็กหญิง การปฏิบัติของนโยบาย กฎหมายและโครงการต่างๆ แต่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นภารกิจท้าทายที่เราทุกคนต้องร่วมมือกัน.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พระองค์ภาฯในฐานะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...