รวบรวมบทความขั้นตอนการทำพระสมเด็จ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 3 ตุลาคม 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    สมเด็จพระสังฆราชสุก (ไก่เถื่อน) นี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เคารพเป็นอย่างยิ่ง และถือเอาวัตรปฏิบัติ ตลอดจนวิธีการสร้างพระขององค์พระอาจารย์องค์นี้มาสร้างสมเด็จวัดระฆัง พระสมเด็จบางขุนพรหม และพระสมเด็จเกศไชโย อันนับเป็นพระเนื้อผงที่ได้รับความศรัทธานิยมสูงสุดมาโดยตลอด ดังนั้นขั้นตอนกรรมวิธีการสร้างพระเนื้อผงในลำดับต่อๆมา จึงได้ยึดเอาขั้นตอนกรรมวิธี การจัดเตรียม การสร้าง และการปลุกเสก ตามอย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นปัจจัยหลักปฏิบัติ

    การจัดเตรียมวัสดุ เป็นที่ทราบกันดีว่ามวลสารหลักในพระเนื้อผงก็คือ ผงปูนขาว ซึ่งโบราณจะใช้เปลือกหอยมาเผาไฟ แล้วบดให้ละเอียด เรียกว่า “ผงปูนเปลือกหอย” ซึ่งมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกัน
    เมื่อได้มวลสารหลัก ก็จัดเตรียมผงที่เป็นมงคลต่างๆ อาทิเช่น ว่านดอกไม้ แร่ทรายเงิน ทรายทอง วัสดุศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลทั้งหลายที่เห็นสมควรนำมาเป็นส่วนผสมนำมาบดเป็นผง เป็นต้น
    สิ่งที่ช่วยประสานเนื้อผง และทัพสัมภาระทั้งหลาย ให้เกาะติดเป็นเนื้อเดียวกันในสมัยโบราณจะใช้กล้วยน้ำ และน้ำมันตังอิ๊ว (กล้วยน้ำเป็นคำโบราณ = กล้วยน้ำว้า , น้ำมันตังอิ๊วเป็นยางไม้ชนิดหนึ่งผสมกับน้ำมัน ทำให้เกิดความเหนี่ยว)
    จากสูตรการสร้างพระเนื้อผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี (ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้าง “สูตรนิยม” หรือ “สูตรครู” ในการสร้างพระเนื้อผงต่อๆมา) และในมวลสารของพระเครื่องที่สมเด็จโตสร้าง ท่านให้ความสำคัญกับธาตุแท้แห่งคุณวิเศษ คือ ผงวิเศษ 5 ประการ อันประกอบด้วย ผงปถมัง อิธเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นชื่อของผงแต่ละชนิดแล้วนำมารวมผสมคลุกเคล้ากัน หากแต่เป็นผงชุดเดียวกันที่ผ่านกรรมวิธีซับซ้อนถึง 5 ขั้นตอนในการสร้าง โดยเริ่มต้นที่การสร้างผงปถมังก่อน แล้วเอาผงปถมังนั้นมาทำเป็นผงอิธะเจ แล้วสร้างต่อเนื่องจากผงเดิมจนครบกระบวนการทั้ง 5 อันนับเป็นภูมิปัญญาและสมบัติล้ำค่าต่อมวลมนุษยชาติสืบมา ได้รับรู้ ศึกษากรรมวิธี และนำเป็นต้นแบบที่ดีในการสร้างวัตถุมงคลเนื้อผง
    ขั้นตอนการทำผงวิเศษ 5 ประการ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้


    1) การสักการะบูรพาจารย์ นับเป็นประเพณีในการศึกษษพุทธาคมมาแต่ครั้งโบราณ ที่ผู้ศึกษาจะต้องทำพิธีสักการบูรพาจารย์ก่อนกระทำการใดๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และรับการประสิทธิ์ประสาทวิทยาคม โดยผู้ทำพิธีต้องทำตนให้สะอาด เป็นฆราวาสให้นุ่งขาวห่มขาว ทำจิตใจให้ผ่องใส และรับสมาทานเบญจศีลเสียก่อน เป็นพระภิกษุให้ทำสมาธิจนจิตนิ่งสงบ ผ่องใส แล้วตั้งเครื่องสักการะ
    บูชาครูอาจารย์ อันประกอบไปด้วย

    ดอกไม้ 9 สี ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม บายศรีปากชาม ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว มะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำไทย (กล้วยน้ำว้า) ผลไม้ 9 สิ่ง หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาช่อนนิ่งทั้งตัวไม่ขอดเกล็ด ถั่วคั่ว งาคั่ว ข้าวตอก นม เนย ขันล้างหน้า ผ้าขาว ผ้าแดง เงินค่าบำรุงครู 6 บาท
    จากนั้นให้บูชาพระรัตนตรัย แล้วร่ายโองการ (บทสวดบูชาคุณพระรัตนตรัย ต่อด้วยบทอัญเชิญทวยเทพ บทอัญเชิญครู โองการสรรเสริญครู โองการชุมนุมครู) เมื่อเสร็จพิธีคำนับครู ก็เริ่มเข้าสู่การเรียกสูตรต่างๆ


    2.) การเรียกสูตร คือ การฝึกหัดเขียน อักขระ เลข ยันต์ นานาประเภท อันประกอบด้วย การบริกรรมสูตรพระคาถาต่างๆ ตามจังหวะของการเขียนอักระเลขยันต์นั้นๆด้วย “ดินสอผงวิเศษ”
    “ดินสอผงวิเศษ” สร้างจากส่วนผสมของเครื่องเคราต่างๆอันประกอบด้วย

    -ดินโป่ง 7 โป่ง (ดินที่มีเกลือสินเธาว์ผุดเกรอะกรัง มีพบอยู่ตามป่าทั่วไป ในที่นี้ให้นำดินโป่ง 7 แห่ง)
    -ดินตีนท่า 7 ตีนท่า (ดินจากท่าน้ำ 7 แห่ง)
    -ดินหลักเมือง 7 หลักเมือง (ดินจากหลักเมือง 7 เมือง)
    -ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานในพระอุโบสถ
    -ดอกกาหลง
    -ยอดสวาท
    -ยอดรักซ้อน
    -ขี้ไคลเสมา (คราบไคลดินบนแผ่นเสมาที่แสดงขอบเขตของโบสถ์)
    -ขี้ไคลประตูวัง
    -ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก (คราบไคลดินจากเสาหลักคู่ สำหรับล่ามช้างเผือก)
    -ราชพฤกษ์ (ไม้ต้นราชพฤกษ์ตากแห้งป่นเป็นผง)
    -ชัยพฤกษ์
    -พลูร่วมใจ (ต้นพลูที่ใช้กินกับหมาก ขึ้นเป็นดง เป็นกอ บางครั้งจึงเรียกว่า “พลูร่วมใจ” เพราะจะขึ้นพร้อมๆกัน ไม่ใช้ที่ขึ้นแยกต้น แยกกอ)
    -พลูสองหาง (ในบรรดาใบพลู จะมีบางต้นที่น้อยมาก ปรากฏปลายใบแยกเป็น 2 แฉก)
    -กระแจะตะนาว (ชื่อต้นไม้ขนาดเล็ก ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ต้นและกิ่งมีหนาม เปลือกขรุขระสีเทา ดอกเล็กสีขาวเป็นช่อสั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่อนไม้ใช้ฝนกับน้ำเป็นเครื่องประทินผิว)
    น้ำมันเจ็ดรส (น้ำมันที่ได้จากของ 7 ประเภท จะเป็นพืชหรือสัตว์ก็ได้ ยิ่งหายากยิ่งดี
    -ดินสอพอง

    เอาส่วนผสมทั้งหมดมา ผสมกันแล้วบดให้ละเอียด เจือน้ำ ปั้นเป็นแท่งดินสอ
    เมื่อได้ดินสอผงวิเศษ ซึ่งต้องเตรียมการไว้แล้ว ก็จะเข้าสู่การทำกรรมวิธีสร้างผงวิเศษ ที่จะต้องกระทำในพระอุโบสถ โดยเตรียมเครื่องสักการะ เช่นเดียวกับการคำนับครู โดยตั้งของต่างๆไว้เบื้องหน้าพระประธาน จุดธูปเทียนบูชาพระ ยกถาดบรรจุสิ่งของเหล่านั้นขึ้น แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำประสะน้ำมนต์(ชำระล้างตัวให้สะอาดแล้วเอาน้ำมนต์ราดชำระให้ทั่วร่างกาย) พรหมตัว เรียกอักขระเข้าตัว(การเรียก หรือสวดมหาพุทธมนต์ต่างๆให้มาสถิต ประสิทธิ์กับตัวเอง)และอัญเชิญครูเข้าตัว


    3) การทำผงวิเศษ เมื่อขั้นตอนต่างๆที่กล่าวมาสำเร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่การทำผงวิเศษ ซึ่งผงทั้ง 5 มีความเป็นมาน่าสนใจ ดังนี้

    3.3.1) การทำผงปถมัง นับเป็นผงเริ่มต้น สำหรับการศึกษาวิทยาคม ใช้สำหรับการลง “นะ” ทุกชนิดตามสูตร ปฐมพินธุ (ปัด-ทะ-มัง-พิน-ทุ เป็นบทพระเวทย์ชั้นสูงที่ว่าด้วยการเกิด) ซึ่งมีความเป็นมาแต่ครั้งปฐมกัลป์ที่โลกยังว่างเปล่าปราศจากชีวิต มีแต่น้ำซึ่งกำลังงวดลงไป และแผ่นดินโผล่ขึ้นมา ท้าวสหับดีมหาพรหมได้เล็งญาณ เห็นดอกบัว 5 ดอก ก็ทราบว่าในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาในโลก 5 พระองค์ด้วยกัน จึงโปรยหญ้าคาลงมา พื้นน้ำก็งวดเป็นแผ่นดินส่งกลิ่นหอมหวน พวกพรหมก็ลงมาเสพมวลดินเป็นอาหาร เลยพากันหลงทางกลับสู่พรหมโลกไม่ได้ จึงสืบเผ่าพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกตราบเท่าทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้ สหับดีมหาพรหมจึงเป็นปฐมแห่งโลกธาตุ
    ดังนั้น การลง “นะ” คือ การย้ำพระเทย์วิทยาคุณให้ประจุ(บรรจุ) กำกับอยู่ในสิ่งที่ต้องการนับเป็นการเบิกพระสูตรที่เปิดทางบรรจุพระคาถาอื่นๆได้อย่างอัจฉริยะ
    การทำผงปถม(ผง-ปัด-ทะ-มัง) คือ การนำเอาผงเครื่องยาที่ผ่านกรรมวิธีที่กล่าวมาข้างต้นมาปั้นเป็นดินสอขึ้น แล้วเขียนเรียกสูตร น ปฐม พินธุ และสูตรการลบ เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอที่ปั้นขึ้น ก็จะได้ผงปฐม ซึ่งใช้เวลาในการทำผงนี้ ประมาณ 2-3เดือน
    3.3.2) การทำผงอิธะเจ เกิดจากการนำเอา ผงปฐม ที่ทำสำเร็จแล้ว มาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเขียนอักขระด้วย สูตรมูลกัจจายน์ และลบด้วยสูตรลบผงอิทธะเจ คัมภีร์โบราณ กล่าวว่า ท่านพระมหากัจจายน์พระคณาจารย์เจ้ายุคก่อนเป็นผู้วางแบบแผนการสร้างสูตรอันนี้ไว้ ชนชั้นหลังต่อมาจึงได้เอานามของท่านมาเรียกชื่อสูตรว่า ”สูตรมูลกัจจายน์” หรือ มูลกระจาย อันถือเป็นรากฐานแห่งความรู้ในอักขระ พยัญชนะ และสระในอักษรขอม การทำผงอิทธิเจนั้น จะต้องร่ายอักขระ และแปลงพยัญชนะและสระ ให้สำเร็จรูปเป็น “อิธเจตโส ทฬห คณหาหิ ถามสา” ซึ่งเรียกว่า “ลบขาดตัว” ผงที่ได้จากการลบขาดตัวนี้เรียกว่า “ผงอิธะเจ” ใช้เวลาทำประมาณ 3 วัน และต้องเขียนให้หมดสิ้นดินสอที่เตรียมไว้
    3.3.3) การทำผงมหาราช ใช้ผงอิธะเจ มาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเรียกสูตรมหาราช แล้วลบสูตรที่เขียนด้วยนามทั้ง 5 เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอที่ทำขึ้น ใช้เวลาทำใกล้เคียงกับการทำผงปถมัง เกิดเป็นผงใหม่ ชื่อ “ผงมหาราช”
    3.3.4) การทำผงพุทธคุณ ใช้ผงมหาราชมาปั้นทำเป็นดินสอ เรียกสูตร และลบอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ นับตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ จวบจนเสด็จสู่พระปรินิพพาน เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอ จะได้ผงพุทธคุณ ซึ่งถือว่าเป็นผงวิเศษที่มีพุทธานุภาพสูงยิ่ง เพราะเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธองค์
    3.3.5) การทำผงตรีนิสิงเห ซึ่งนับเป็นผงสุดท้ายเกี่ยวกับสูตรเลขไทยโบราณ เกิดจากการรวบรวมเอาผงพุทธคุณที่ลบได้มาปั้นเป็นดินสอ เรียกสูตรอัตอาวาทวาทศมงคล 12 เขียนสูตรไล่เรียงไปจนสำเร็จเป็นอัตตราตรีนิสิงเห เข้าสู่รูปอัตตรายันต์ 12 ยันต์ จนสุดท้ายได้รูปยันต์นารายณ์ถอดรูป ซึ่งประกอบด้วย ยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห แล้วมี ยันต์พระภควัมบดี และยันต์ตราพระสีห์ประทับลงเป็นประการสุดท้าย
    อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิทางพุทธาคม ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ในเรื่องการทำผงนี้ มีตำรับที่จะทำมากมายนัก นอกจากตำรับทั้ง 4 ที่ยกมาอ้างนี้ คือ ปถมัง อิธเจ มหาราช ตรีนิสิงเห เพราะตำรับทั้งสี่นี้เป็นแม่บทใหญ่ ส่วนที่แตกแยกฝอยออกไปอีกนั้น ยังมีอีกมากเช่น ผงพุทธคุณ เป็นต้น โดยเฉพาะผงพระพุทธคุณนั้น มีวิธีทำหลายวิธีด้วยกัน ผงเหล่านี้มีคุณภาพดุจกันทั้งสิ้น อาศัยแรงความปรารถนาอธิษฐานของผู้กระทำ จะมุ่งให้มีอานุภาพไปทางไหน พระเครื่อง เครื่องรางที่ทำด้วยเกสร หรือ ผงที่ได้สร้างแต่ครั้งโบราณล้วนแต่สร้างขึ้นมาจากผงเหล่านี้ทั้งสิ้น”
    เมื่อได้ผงวิเศษ จึงนำมาคลุกเคล้ากับทัพสัมภาระอันพิจารณาแล้วว่าเป็นของดี มีมงคลอันประเสริญ ที่ผ่านการบดละเอียดแล้ว จึงผสมผงปูน เปลือกหอยที่บดแล้ว ประสานมวลสารทั้งหมดด้วย กล้วยน้ำ (กล้วยน้ำว้า) และน้ำมันตังอิ๊ว ได้มวลสารรวมมีลักษณะเป็นแป้งเหนียวปั้นได้

    4. แกะแม่พิมพ์ การแกะแม่พิมพ์พระนั้น มีหลายฝีมือ ทั้งช่างราษฎรชาวบ้านสามัญ ไปถึงช่างหลวงในราชสำนัก ซึ่งดูได้จากความงดงามลงตัวของพระพุทธปฏิมาที่ปรากฏความหยางบ ละเอียด สมดุล และงดงาม ออกมาในรูปทรงขององค์พระเครื่องนั้นๆ
    เมื่อได้แม่พิมพ์เป็นที่พอใจ จึงนำส่วนผสมข้างต้นมากดลงในแม่พิมพ์ก่อนที่จะใส่มวลสารลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อพระติดกับแม่พิมพ์ ก็จะนำผงปูนมาโรยลงในพิมพ์ก่อนที่จะหยอดเนื้อมวลสารลงไป เมื่อกดพิมพ์ได้ที่แล้วก็จะทำการตัดตอกเนื้อส่วนเกินที่ปลิ้นล้นจากแม่พิมพ์ แล้วจึงเคาะองค์พระออกจากแม่พิมพ์ การโรยผงปูนไว้ก่อน ทำให้พระไม่ติดพิมพ์ ธรรมชาติของแป้งโรยพิมพ์นับเป็นคุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งในการช่วยพิจารณาพระแท้ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป
    ในครั้งแรก พระที่นำออกจากแม่พิมพ์ใหม่ๆ จะมีความชื้น และสดของผิวมวลสาร จำเป็นต้องนำไปตากแดด หรือผึ่ง ให้แห้ง ถ้าเป็นสมัยใหม่ ก็จะนำไปอบให้แห้ง ก็ถือว่าเสร็จกระบวนการผลิตพระเนื้อผง หากแต่คนในสมัยโบราณยังถือว่าเป็นพระที่ยังไม่ครบ ต้องทำการบวชเสียก่อน

    5. การปลุกเสกพระ เมื่อผลิตพระผงเสร็จสิ้น องค์ประกอบที่สำคัญประการสุดท้าย คือ พระที่สร้างต้องผ่านการปลุกเสก อันเสมือนการเชิญพลังพระรัตนตรัยมาประจุ (บรรจุหรือรวมตัว) ประสิทธิ์ ประสาท ยังพระเครื่องที่สร้าง การปลุกเสกนั้น แบ่งเป็น
    5.1) การปลุกเสกหมู่ หมายถึง การนิมนต์พระจำนวนมากกว่า 1 รูป มาร่วมกันบริกรรมพระคาถา เจริญภาวนา อธิษฐานจิตปลุกเสกร่วมกัน กระทำเต็มรูปแบบศาสนพิธีการ
    5.2) การปลุกเสกเดี่ยว หมายถึง พระเครื่องที่ผ่านการบริกรรมพระคาถา เจริญภาวนา อธิษฐานจิตเพียงองค์เดียว เป็นศาสนพิธีกรรม
    5.3) การอธิษฐานจิต หมายถึง พระเครื่องที่ไม่ได้ผ่านพิธีกรรมอันเป็นศาสนพิธีเหมือนกับ 2 ประเภทแรก หากแต่เป็นการใช้พลังอำนาจจิตประจุพระพุทธานุภาพ สำหรับพระภิกษุผู้มีฌาณปฏิบัติที่แก่กล้า และสำเร็จมรรคผลพระธรรมขั้นสูง ท่านสามารถอธิษฐานจิตได้ และมีพลานุภาพทำให้พระเครื่องที่ผ่านการอธิษฐานจิตเปี่ยมด้วยพระพุทธคุณได้เช่นกัน
    พระเนื้อผงที่ผ่านขั้นตอนพิธีการต่างๆที่กล่าวมา จึงถือว่าเป็นพระเครื่องที่สมบูรณ์การสร้างพระผงยังคงมีให้พบเห็น และศึกษากันอยู่ในปัจจุบัน แต่จะเคร่งครัดประการใดอย่างไร ก็ขอให้ผู้ศึกษาโปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณา
     
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    ผงวิเศษ 5 ประการ และวิธีการปลุกเสก (จากหนังสือของตรียัมปวาย)
    พุทธาคมกรรมวิธี
    หลวงวิจิรวาทาการ กล่าวไว้ว่า “เราเชื่อว่าคนไร้การศึกษาเท่านั้นที่เชื่อ
    เรื่องคาถาอาคม แต่ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะ สมเด็จพระวันรัต เขมจารีมหาเถระวัดมหาธาตุ อาจารย์ของข้าพเจ้า จบเปรียญ 9 ประโยค
     เป็นผู้จัดการศึกษาให้วัดมหาธาตุ ท่านไม่เชื่อเรื่องเวทย์มนต์คาถา
    หาว่าลวงโลก ต่อมามีการสังคยนาพระไตรปิฎก
    ท่านรับภาระจัดการเรื่องหมวด พระอภิธรรม ซึ่งเป็นหมวดใหญ่
    หลังชำระเสร็จสิ้น สังเกตุท่านเปลี่ยนไปท่านบอกว่าแต่ก่อนเข้าใจผิด
    ต่อมายอมประพรมน้ำมนต์ และเสกเป่าให้คนทั่วไป
     
    ผงวิเศษ 5 ประการ
    คือ ผงอิธะเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงพุทธคุณ และ ผงตรีนิสิงเห
    ผงทั้งห้านี้ผงวิเศษ 5 ประการ มิได้เกิดจากการนำผง 5 ชนิดมารวมกัน
    แต่เกิดจากผงชุดเดียวกันผ่านกรรมวิธี ถึง 5 ครั้ง 
     
    ขั้นแรก ทำดินสอผงวิเศษ ด้วยส่วนผสม คือ ดินโป่ง 7 โป่ง ดินท่า 7 ท่า
     ดินเสาหลักเมือง 7 หลักเมือง ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานพระอุโบสถ
     ดอกกาหลง ยอดสวาท ยอดรกซ้อน ขี้ไคลเสมา ขี้ไหคลประตูวัง
    ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ พลูร่วมใจ พลูสองหาง
    กระแจะตะนาว จ้ำมันเจ็ดรส และดินสอพอง มาผสมกัน ป่นละเอียด
    เจือน้ำ ปั้นเป็นแท่งดินสอ
     
    กรรมวิธีทำผงวิเศษ  กระทำในพระอุโบสถ เตรียมเครื่องสักการะ
    หน้าพะประธาน กล่าวคาถาอัญเชิยครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา
    ทำประสะน้ำมนต์พรมตัว เรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว

    ผงปถมัง  เป็นผงเริ่มต้น  นำดินสอผงวิเศษมาเขียนสูตร และลบออก
     เป็นผงปถมังมีอานุภาพ หลายด้าน แต่หนักไปทาง คงกรพันชาตรี
    มหาอุด แคล้วคลาด กำบังล่องหนและป้องกันภูตผีปีศาจและคุณไสย

    ผงอธิเจ  นำผงปถมังมาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร ลบผงเป็นผงอธิเจ
    มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

    ผงมหาราช นำผงอธิเจ มาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร ลบผง
    เป็นผงมหาราช มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่าสูงป้องกัน
    และถอนคุณไสย และแคล้วคลาด

    ผงพุทธคุณ นำผงมหาราช  มาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร
    ลบผงเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ ให้อานุภาพด้านเมตตามหานิยม
    อย่างสูง กำบัง สะเดาะ และล่องหน

    ผงตรีนิสังเห นำผงมหาราช  มาปั้นเป็นดินสอ แล้วเขียนสูตร
    ลบผงเกี่ยวกับยันตร์ตรีนิสิงเหหรือยันตร์นารายณ์ถอดรูป แล้วมียันต์
    พระควัมบดี และยันต์ตราพระสีห์  อานุภาพด้าน เมตตามหานิยม
     ป้องกันถอนคุณไสย และภูตผี ป้องกันสัตว์เขี้ยวเล็บงา รักษาโรค
    อุบัติภัยอันตรายทั้งปวง
     
    คาถาการปลุกเสกพระสมเด็จ
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสถามเจ้าพระคุณว่า
    พระเครื่องของหลวงพี่ปลุกเสกด้วยคาถาใด จึงได้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
     เจ้าพระคุณ ตอบว่า  ปลุกเสกด้วยชินบัญชรคาถา
    คาถาชินบัญชร ได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ และพระอรหันต์
    สำคัญมากมาย รวมทั้งอัญเชิญพระสูตรสำคัญ ทั้ง 7 สูตร คือ
    1.รัตนสูตร มีคุณวเศษทางป้องกันภูตผีปีศาจ และโรคระบาด
    2.กรณีเมตสูตร มีคุณวิเศษทางมหานิยม ปัดรังควานภูตผีปีศาจ และอำนวยผล
    สำเร็จในการงาน
    3.องคุลีมาลปริตร มีคุณวิเศษช่วยในการคลอดบุตร บำบัดฌรค และสิริมงคล
    4.ธชัคสนูตร  ทำใจให้บันเทิง อาจหาญ บำราบภยันตรายที่เผชิญหน้าให้แคล้ว
    คลาดไป
    5.ขันธปริตร  ป้องกันสัตว์เขี้ยวเล็บงาและอรพิษน้อยใหญ่
    6.โมรปริตร เป็นผล นิรันตราย แคล้วคลาดจาก ศาตราวุธ และภยันตรายทั้งปวง
    7.อาฎานาฏิยปริตร ป้องกันภูติพราย อมนุษย์ และคุณไสยทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2013
  3. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    ผงอิทธิเจ

    อิธะเจ หรือ อิทธิเจของเทพย์ สาริกบุตร เป็นวิชาทางไสยศาสตร์ว่าด้วยการทำผงตามคัมภีร์อิธะเจ ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์หลักของระบบไสยศาสตร์ไทยโบราณ อันประกอบด้วยคัมภีร์ปถมัง อิธะเจ ตรีนิสิงเห และมหาราช 

    นอกจากนั้นชื่อวิชาอิธะเจยังปรากฏอยู่ในเสภาขุนช้างขุนแผนตอน พลายงามเรียนวิชาด้วย เนื้อหาของวิชาอิธะเจคือการทำผง ด้วยการตั้งตัวตามสูตรบาลีมูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นระบบบาลีไวยากรณ์ใหญ่ที่ปัจจุบันได้ล้มเลิกไป 

    อิธะเจมีหลายตำรับด้วยกัน แต่ที่เป็นหลักสำคัญจะตั้งตัวด้วย อิทะ อิติ อิติ อัสสา อุทัง อะหัง อัคคัง อะหัง อะหัง อิถัง อัมมะ อัสสา จากนั้นจึงกระทำตามสูตรสนธิโดยอ้างสูตรตามคัมภี์บาลีไวยากรณ์จนสำเร็จเป็น อิธเจตโสทฬฺหํคณฺหาหิถามสา เป็นอันขาดตัวในสูตรสนธิ 

    ผงที่ได้จากการเขียนและลบอักขระตามคัมภีร์อิธะเจ เรียกว่าผงอิธะเจ เชื่อว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์โดยเฉพาะแก่สตรีเพศ

    สูตรการทำผงอิธะเจ ของเทพย์ สาริกบุตร

    ผงอิธะเจ เป็นวิชาไสยศาสตร์ไทยโบราณอย่างหนึ่ง วิธีทำเริ่มต้นจากจัดเครื่องบูชาคำนับครูมีดอกไม้ธูปเทียนอย่างละ ๕ หัวหมู บายศรีปากชาม เครื่องกระยาบวช มีขนมต้มขาว ขนมต้มแดง มะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำไท เป็นต้น และเงินบูชาครู 

    จากนั้นผู้กระทำกล่าวคำนมัสการตามตำรา เมื่อสักการบูชาครูเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มทำผง การทำผงอย่างโบราณคือใช้ดินสอพองปั้นเป็นแท่งขนาดพอจับได้ แล้วบริกรรมเขียนอักขระลงบนกระดานชนวน ขณะที่เขียนอักขระแต่ละตัวให้บังเกิดขึ้น ผู้ทำจะต้องบริกรรมคาถา (เรียกสูตร) ตามที่บังคับไว้ในตำราทุกครั้งไป 

    สำหรับแท่งดินสอที่ใช้เขียนผงนี้บางสำนัก อาจระบุส่วนผสมต่างกันไปก็ได้ เช่น อาจผสมไคลโบสถ์ ไคลเสมา ไคลพระศรีมหาโพธิ์ ดินเจ็ดโป่ง เจ็ดป่า ดอกรักซ้อน ยอดสวาด กาหลง หรือเครื่องหอมอื่น ๆ บางชนิดผสมลงไปในดินสอพองอีกด้วยก็ได้ 

    การทำผงอิธะเจจะอ้างสูตรพระบาลีในคัมภีร์มูลกัจจายนะ ซึ่งเป็นสูตรตามคัมภีร์ไวยากรณ์ใหญ่ ซึ่งปัจจุบันหลักสูตรปริยัติธรรมแผนกบาลีได้ยกเลิกไป 

    สูตรมูลกัจจายนะนี้ทางไสยศาสตร์นับถือว่ามีอานุภาพศักดิสิทธิ์มาก ผงอิธะเจดำเนิดตามแนวสูตรดังกล่าว เมื่ออ้างสูตรเขียนและลบจนขาดตัวในสูตรสนธิ กล่าวคือเขียนและบริกรรมคาถาและเสกจนสำเร็จดีแล้ว จึงลบอักขระบนกระดานชนวนออกมา 

    ผงดินสอพองที่ได้จากการเขียนและลบตามสูตรคาถาอาคมในคัมภีร์อิธะเจนี้ เรียกว่า ผงอิธะเจ มีอานุภาพทางเสน่ห์แก่สตรีเพศยิ่งนัก ตามตำรากล่าวว่าหากใส่ลงในอาหารให้หญิงกิน ย่อมรักชายผู้นั้นจนวันตาย 

    ผงนี้เพียงทิ้งให้ถูกตัวผู้ใด ผู้นั้นก็เกิดงงงวยหลงตามเรามา เป็นที่สุดของวิชาเสน่ห์โบราณ คาถาอิธะเจ ๑๓ ตัวคือ อิธะเจตะโสทัฬหังคัณหาหิถามะสาฯ 

    ผงอิธะเจนี้เมื่อทำสำเร็จแล้วจะต้องผสมเครื่องยาและปั้นเป็นแท่งเก็บไว้ โดยมากนิยมนำไปสร้างพระ ที่มีชื่อเสียงคือพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ก็ผสมผงอิธะเจนี้ด้วย อานุภาพของผงอิธะเจมีทั้งเสน่ห์ เมตตา และอิทธิฤทธิ์ทางแคล้วคลาดคงกระพัน แต่จะเน้นหนักไปในทางเสน่ห์แก่สตรีเพศมากที่สุด

    สูตรเขียนผงอิทธิเจและผงปถมํของพระครูสาทรพัฒนกิจ

    ผงอิทธิเจและผงปถมัง เป็นผง ใช้สำหรับสร้างพระพิมพ์ ประกอบด้วยสูตรการเขียนผง ผงอื่นๆ เช่น ว่านนางกวัก ว่านเพชรน้อย ว่านเพชรใหญ่ ว่านเพชรกลับ เศษพระชำรุด ใบลานที่เขียนพระไตรปิฎกนำมาเผาเป็นถ่าน

    สูตรเขียนผงอิทธิเจและผงปถมํงของวัดระฆัง

    สูตรผงปถมํ ของวัดระฆัง คือ วิธีการสร้างผงวิเศษมีวิธีดังนี้ การบริการพระคาถา เขียนสูตร ชักยันต์ด้วยชอล์คลงบนกระดาษชนวน เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนใหม่ทำเช่นนี้นับเป็นร้อยครั้ง จะได้เศษชอล์คจากการลบ 

    ซึ่งถือว่าเป็นผงศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการตั้งจิตบริกรรมพระเวทย์ ในขณะที่เขียนให้ครบถ้วนตามจำนวนที่พระเวทย์ในแต่ละบทกำหนดไว้ ขั้นผงที่ได้ออกมาเป็นผงที่ได้ออกมาเป็นผงที่มีชื่อ “ ปถมัง ”

    เมื่อได้ผง “ ปถมัง ” แล้ว นำผงนี้มาปั้นเป็นดินสอ ตากแห้ง แล้วนำแท่งดินสอชอล์ดที่เกิดจากผงปถมัง มาเขียนสูตรพระเวทย์อีกบทหนึ่งเขียนแล้วลบ ทำซ้ำกันตามจำนวนครั้งที่พระเวทย์บทใหม่กำหนด จนเกิดผงชอล์ดครั้งใหม่ ที่เรียกว่า “ ผงอิธะเจ ”

    นำผงอิธะเจมาปั้นเป็นแท่งชอล์ด เขียนสูตรพระเวทย์อีก เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนเช่นนี้จนได้ ผงมหาราช แล้วก็ผงมหาราช กระทำเช่นเดียวกับขั้นตอนการทำตอนการผงอื่นๆ 

    หากแตกต่างกันที่สูตรในการเขียน อักขระเลขยันต์ และจำนวนครั้งที่ถือเป็นเฉพาะแต่ละสูตรจนได้ ผงพุทธคุณ และสุดท้ายคือ ผงตรีนิสิงเห

    นำผงตรีนิสิงเห อันเกิดจากหลอมรวมสูตรทั้ง ๕ มาเป็นหนึ่งเดียวจากนั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังษี ) จึงนำผงวิเศษนี้มาผสมรวมกันกับเปลือกหอย ที่บดหอยที่บดละเอียดอันเป็นส่วนผสมหลัก 

    นอกจากนี้ก็จะมีข้าวสุก ดินสอพอง กล้วย โดยมีน้ำตังอิ๊วเป็นตัวประสานส่วนผสมเหล่านี้ จากนั้นจึงนำพระที่ผสมเสร็จแล้วนั้น กดลงในแม่พิมพ์

    ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    โสรวารสิริสวัสดิ์ ปรีดิ์มนัสวัฒนสิริค่ะ 
     
  4. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    ทุกบทความดีมากๆ ครับ
     
  5. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    P1011086.jpg

    พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ วัดระฆัง เนื้อก้นครก พิมพ์ช่างหลวงวิจารณ์เจียรนัย วัดระฆังโฆสิตาราม
     
  6. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,303
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,130
    ขอสอบถาม ไขข้อข้องใจนิดครับ

    มีอาจารย์ เสือ (เห็นเขาเรียกกันแบบนี้) ลงเฟซว่า หลวงวิจารณ์ไม่มีอยู่จริงโดยอ้างอิงกับหนังสือเกี่ยวกับช่างสิบหมู่ แต่ผมเข้าไปดูรายการทีวีเห็นมีการนำเรื่องราวเกี่ยวกับแม่พิมพ์พระสมเด็จและประวัติต่างโดยลูกหลานของหลวงวิจารณ์นำมาเผยแพร่ออกสู่สาธรณะชน...

    เลยงงมากครับ ว่าทำไมข้อมูลมันขัดแย้งกันอย่างรุนแรงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...