วิธีตัดความผูกพันทางจิตที่มีต่อใครสักคน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 18 สิงหาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,177
    ถาม : พอดีมีคำถามของเพื่อนคนหนึ่งน่ะเจ้าค่ะ เขาต้องการทราบวิธีการตัดความผูกพันที่จิตเขาไป ผูกพันโดยที่เขาบอกว่ามันไม่ได้เกิดจากความรักมาก่อน แต่อยู่ๆ ที่ไปผูกพันกับเขา แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวของเขาเนี่ยผูกพันมากกว่าคนที่เขาไปผูกพันด้วย เขาก็เลยบอกว่าเขาพยายามจะตัด แต่เขาตัดไม่ได้สักที ?

    ตอบ : บอกเขาบอกว่า ต่ำสุดต้องทรงฌานให้ได้ แล้วก็อย่าเผลอหลุด หลุดเมื่อไหร่มันไปผูกใหม่หรือไม่ อันดับต่อไปก็ต้องให้เห็นความเป็นจริงว่าการเกิดมาคนเดียวมันก็ทุกข์พออยู่แล้ว สองคนมันก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น แล้วถ้าหากว่ายิ่งมีสามมีสี่ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ความทุกข์อย่างนี้เรายังต้องการมันอีกไหม ? เพราะฉะนั้นอย่างต่ำๆ ต้องทรงฌานให้ได้ ถ้าทรงฌานได้นี่ตัวรัก โลภ โกรธ หลง จะระงับลงชั่วคราวความผูกพันต่างๆ มันก็จะหยุดลงชั่วคราว ถ้าเผลอคลายออกเมื่อไหร่มันเอาอีกหรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงพอจิตยอมรับสภาพมันก็เลิกไปเอง

    ถาม : ฌานนี่ฌานระดับไหนเจ้าคะ ?

    ตอบ : ปฐมฌานก็พอ

    ถาม : ทีนี้ก็ไปตั้งจิตตัดเหมือนกับที่บอกนะเจ้าคะ พอตัดเสร็จมันกลายเป็นว่ามันไม่ได้ตัดเฉพาะคนนั้น มันตัดรอบตัวเลย ?

    ตอบ : (หัวเราะ) ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ?

    ถาม : มันเลย คนที่เคยเกลียดมันก็หยุดเกลียด คนที่เคยรักก็หยุดรัก มองสภาพเขาว่า อ๋อ...เขาเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราที่เราเกลียดมันเป็นความปรุงแต่งจากจิตตัวเองพอนั่งปุ๊บมันเลย...?

    ตอบ : สาธุ...ความจริงตัวนี้นี่ยากมากเลยนะ ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด อันนี้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าอารมณ์พระอรหันต์เลย รักษาให้อยู่จริงๆ นะ

    ถาม : รักษาไว้เหรอเจ้าคะ นึกว่าตัวเองผิดปกติจะมาถาม ?

    ตอบ : ไม่ผิดปกติจ้า...หายากมาก ทำได้ยากที่สุดเลย พยายามประคับประคองเอาไว้อีกไม่นานได้ตายแน่ (หัวเราะ) อ้าว...ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ไม่ได้อยู่เกิน ๗ วันนะจ๊ะ เพียงแต่ตอนนี้ของเรามันหันได้แป๊บเดียว พยายามประคับประคองให้มันเป็นของเราจริงๆ

    ถาม : ตอนแรกจะมาถามว่าผิดปกติจะแก้ไขยังไง ?

    ตอบ : ไม่ต้องแก้จ้ะ รีบๆ ทำให้มันได้มากๆ เข้าไว้ให้กำลังใจมันทรงตัวอยู่ในลักษณะนี้ไปเลย

    ถาม : คือไปนั่งสมาธิ ทำอยู่หน้าของพระพุทธองค์ท่านน่ะเจ้าค่ะ แล้วพอนั่ง พอจิตอยู่ในสภาพนี้นะเจ้าคะ กายของตัวเองเริ่มมีความรู้สึกเปลี่ยนเป็นกายที่ใสๆ ใสแล้วเปลี่ยนเป็นองค์พระน่ะเจ้าค่ะ แล้วสักพักนึงมันก็มีแสงเป็นสีรุ้งรอบๆ น่ะเจ้าค่ะ ก็เลยสงสัยมันเกิดอะไรขึ้นไม่เข้าใจ ?

    ตอบ : ไม่เกิดอะไรขึ้น อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพานการที่เราส่งกำลังใจขึ้นพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุดและง่ายดายที่สุด เพราะว่าตัวรัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆ มันเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าไม่มีใจซึ่งเป็นตัวคอยปรุงแต่งเพิ่มเติมไป คอยที่จะกระตุ้นเร้ามันอยู่ พวกนี้มันก็ต้องดับลงของมันเองธรรมชาติของมัน ไม่ยั่งยืน มันอยู่นานไม่ได้ หลวงพ่อท่านสอนมโนมยิทธิให้พวกเราเพื่อให้เรารู้จักพระนิพพานขึ้นพระนิพพานได้ง่าย มันเป็นการตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว

    ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีระยะหนึ่งที่มีพระสำเร็จอรหันต์ ๗ องค์พร้อมๆ กัน เสร็จแล้วปรากฏว่ามาศึกษามโนมยิทธิไปจากวัดท่าซุงแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาจับพระอย่างเดียว เสร็จแล้วถามท่านเป็นพระอรหันต์ได้ไง ท่านบอกก็ไม่รู้อยู่ๆ มันก็เป็นเอง คือลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าการที่เราเอาจิตเกาะนิพพาน สภาพจิตมันจะแจ่มใส กิเลสมันกินไม่ได้พอนานไปๆ ความเคยชินมันเกิด กิเลสมันก็จะหมดไปเองโดยอัตโนมัติ ตัวมโนมยิทธิจุดนี้แหละที่สำคัญที่สุดที่หลวงพ่อท่านต้องการให้พวกเรา

    ท่านไม่ได้ให้เราเอาไปฟื้นความสัมพันธ์กับคนอื่นนะ ท่านสอนให้เราล่ะจ้ะ แต่ส่วนใหญ่มันเอาไปยึด รีบๆ ทำเข้าตอนนี้มาตรงทางแล้ววิธีนี้แหละทำบ่อยๆ เข้า อีกไม่นานจะได้เผากันแน่

    ถาม : เอ่อ....พอทำถึงตรงนี้นะเจ้าคะ มีความรู้สึกตอนนี้เนี่ยเรามีชีวิตอยู่เพื่อหน้าที่ๆ เราจะต้องทำ แล้วทำตามหน้าที่ๆ ควรจะทำ แล้วมันก็ไม่มีความหวังที่จะอยากได้อะไรหรือเป็นอะไรมัน ๆ ๆ ....มันดูมันว่างๆ ยังไงมันไม่เข้าใจว่า...?

    ตอบ : (หัวเราะ) เข้าใจจ้ะ ไม่ต้องอธิบายจ้ะ ตอนนี้ถ้าหากว่ารักษาอารมณ์ใจนั้นได้มันจะอยู่เหนือบุญเหนือบาปแล้ว รู้ว่าอันนี้ดีก็ทำ รู้ว่าอันนี้ชั่วก็ละ มันไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ไม่กลัวตาย ไม่อยากตาย แต่พร้อมที่จะตายได้ทุกเวลา ถ้าหากว่างานตัวเองหมดไปทันทีจ้ะ

    ถาม : เหรอเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้ะ....เพราะฉะนั้นรีบหางานให้เยอะๆ ไว้ (หัวเราะ) กำลังใจของคนที่ทำถึงจุดนี้ถ้ากำลังใจมันตั้งตรงจุดจริงๆ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก

    ถาม : เลยเข้าใจว่าพระอรหันต์หรือพระพุทธองค์ท่านไม่อยากมายุ่งแล้ว พอตอนนั้นเราก็เลย ...?

    ตอบ : แต่ว่านั่นท่านก็ทำตามหน้าที่ของท่าน อันไหนที่ยังพอสงเคราะห์คนได้ตามพรหมวิหารก็สงเคราะห์ไป แต่จริงๆ ท่านไม่ได้เกาะตรงจุดนั้นแล้ว

    ถาม : แล้วจิตเราสบายดีนะเจ้าคะ ?

    ตอบ : บ๊ะ ! ไม่สบายใครเขาจะทำกันเล่า

    ถาม : เหรอเจ้าคะ ทำต่อเหรอเจ้าคะ ?

    ตอบ : ทำต่อจ้ะ ตอนนี้เราจะเข้าใจชัดเจนว่า จริงๆ แล้วนิพพานไม่เห็นต้องยึดต้องเกาะอะไรมันเต็มอยู่ในใจของเราเอง ตายเมื่อไหร่เรารู้ว่าเราไปแน่ พูดให้คนอื่นฟังมาเยอะแล้ว เขาคลำตรงนี้ไม่ค่อยถูกกันนะ ...

    แรกๆ มันเกาะต้องอาศัยเกาะก่อน อย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนเกาะบันไดขึ้นมา เดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง แต่พอถึงห้องข้างบนแล้วไม่จำเป็นต้องแบกราวบันไดไปด้วย เพราะเราถึงซะแล้วนะ...

    เพราะฉะนั้นอารมณ์พระนิพพานมันจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ในเมื่อมันเต็มอยู่ในใจของเราเอง เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาว่าตายตอนนี้เราก็นิพพานตอนนี้่ ไม่เห็นต้องไปยึดไปเกาะอะไรอีกแล้ว

    ถาม : มีคนมายืนด่าน่ะเจ้าค่ะ เราก็ฟังแล้วก็เหมือนกับว่าไอ้คำพูดเนี่ยมันผ่านไปๆ พอเขาด่าเสร็จเราก็เลย อ๋อ...ด่าเสร็จแล้ว ๆ เราก็เดินต่อแล้วมันรู้สึกเฉยๆ ไปเลยเจ้าค่ะ ?

    ตอบ : จ้ะ...ประคับประคองให้ได้แล้วกัน ตัวนั้นแหละคือตัวปล่อยวางจริงๆ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน คือมันไม่รับเอามาปรุงไม่รับมาแต่งอีกแล้ว

    ถาม : ก็กลัวว่าตัวเองจะผิดปกติน่ะเจ้าค่ะ ?

    ตอบ : ผิดจ้า ผิดปกติมาก ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาน่ะจ้า เริ่มใกล้ๆ จะเป็นพระแล้ว (หัวเราะ)

    ถาม : คือมีความรู้สึกว่าคุยกับใครก็ไม่ค่อยอยากจะคุยเท่าไหร่ จะอยู่นิ่งๆ รักษาจิตนิ่งๆ อย่างนี้น่ะค่ะ ?

    ตอบ : จ้า อีตานี้ต้องระวังให้หนัก เพราะว่าอารมณ์ใจอย่างนี้ ถ้าทรงตัวก็ดีไป ถ้าไม่ทรงตัวถ้าหลุดนี่กว่าจะคลำเจออีกนานเลย เพราะฉะนั้นต้องพยายามรักษากำลังใจให้อยู่ตรงจุดนี้ให้ดีที่สุด อย่าเผลอสติหลุดไปเห็นว่าโลกมันดีอีกล่ะ

    ถาม : เจ้าค่ะ ตอนนี้มองตัวเองเหมือนศพเคลื่อนที่เจ้าค่ะ มันเกิดการปล่อยวางหมด ?

    ตอบ : คืออารมณ์ใจของมันจะเห็นชัดเจนหมดว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่ตัวที่พาทุกข์พาโทษมาให้เรา มันก็เลยพร้อมที่จะไปจากมันทุกเวลา ขณะที่อยู่ก็ดูแลรักษาไปตามหน้าที่เท่านั้น ร่างกายมันเป็นสมบัติที่เรายืมโลกมันมาใช้ โดยมารยาทของการยืมก็ต้องดูแลมันให้ดีหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะคืนเขาในสภาพเละๆ เทะๆ คนเขาจะด่าเอา เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็รักษาไปตามหน้าที่ของเราใช้งานไปตามหน้าที่ของเรา หมดธุระเมื่อไหร่ก็เลิกกัน

    ถาม : ทำต่อไปนะเจ้าคะ ?

    ตอบ : จ้า...ทำต่อไปจ้า ไปรออยู่ข้างบนนะ แล้วจะตามไปทีหลังอนุญาตให้แซงก่อน

    ถาม : ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องทำ เอาแค่เดิมพอแล้วทำมากไปเดี๋ยวมันเกิน นี่เพิ่งเจอเป็นรายแรกแล้วเขาชมมาด้วย นานๆ จะมีคนถวายสังฆทานให้ตรงๆ ซักทีถวายให้พระ พระเครื่องที่ตัวเองใช้อยู่ นานๆ จะมีอย่างนี้ซักที แล้วทำได้ถูกจุดด้วย อันนี้พระท่านชมมาเองนะ ไม่เกี่ยวกับอาตมา




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...