หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ "เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง"

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย chirattha, 1 กันยายน 2012.

  1. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ประวัติ ปฏิปทา รวมถึงวัตถุมงคล
    ประสบการณ์ และข้อมูลต่างๆ อันเป็นประโยชน์ เพื่อการศึกษา
    เกี่ยวกับหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม
    ครูบาอาจารย์ ที่ได้รับยกย่อง ว่า " อริยสงฆ์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง"

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _24_194.jpg
      _24_194.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134.6 KB
      เปิดดู:
      11,484
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2015
  2. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ประวัติ
    หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    วัดธาตุมหาชัย ต.ปลาปาก จ.นคพนม
    พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย
    บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม “ เทพเจ้าลุ่มน้ำโขง” ผู้เรืองธรรม มีปฐวีกสิณเป็นเอก
    เล่นแร่แปรธาตุจนดังสนั่น ชื่อเสียงเลื่องลือ ๒ คาบฝั่งโขง เป็นสมัญญานามที่ผู้คนต่างรู้จักดี

    ท่านมีนามเดิมว่า คำพันธ์ ศรีสุวงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ตรงกับวันจันทร์
    ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๒ ปีเถาะ ณ บ้านหมู่ที่ ๔ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม
    โยมบิดาชื่อ นาย เคน ศรีสุวงค์ โยมมารดาชื่อ นางล้อม ศรีสุวงค์ เป็นบุตรคนโต
    มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ๒ คน คือ
    ( ๑) พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร ( คำพันธ์ ศรีสุวงค์)
    ( ๒) นาย พวง ศรีสุวงค์
    นอกจากนี้ท่านยังมีน้องร่วมมารดาแต่ต่างบิดาอีก ๔ คน คือ
    นางสด วงษ์ผาบุตร ด.ช.บด แสนสุภา ด.ญ.สวย แสนสุภา และนางกดชา เสนาช่วย
    วัยเด็กเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยโยมบิดา-มารดาทำนา อุปนิสัยเป็นคนเรียบง่าย
    เรียบร้อย พูดน้อย จบการศึกษาภาคบังคับ ป. ๔ จากโรงเรียนบ้านโพนคู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม

    ๏ การบรรพชาและอุปสมบท

    วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (อายุ ๑๗ ปี) ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร
    ณ วัดศรีบุญเรือง บ้านหนองหอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีพระอาจารย์เชื่อม เป็นพระอุปัชฌาย์
    หลังจากบรรพชาแล้ว ก็ได้ศึกษาอักษรธรรม และหนังสือสูตรคามแบบโบราณ
    ในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฎฐานควบคู่ไปด้วย

    หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ ๓ พรรษา ก็ออกเดินธุดงค์ทรงกรดไปที่จังหวัดเลย
    พร้อมกับพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระภิกษุบุญ และพระภิกษุวัน ก่อนหน้าที่จะได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น
    เคยได้รับความรู้เรื่องกัมมัฏฐานมาจาก ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
    ซึ่งท่านไปอบรมสั่งสอนประชาชนที่วัดโพนเมือง จ.อุบลราชธานี

    ท่านพระอาจารย์เสาร์ ให้แนวทางในการปฏิบัติกรรมฐานไว้ว่า “ ให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก”
    และได้ให้ข้อคิดต่อไปอีกว่า “ ร่างกายของคนเรานั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันทำงานอยู่ตลอดเวลา
    ลมหายใจเข้า-ออกนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าลมไม่ทำงานคนเราจะตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ”

    นอกจากนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่า “ ให้คนเราตีกลองคือขันธ์ ๕ ให้แตก”
    ซึ่งก็หมายความว่า ท่านให้ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้จงดี ให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง

    หลวงปู่ได้ศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์เสาร์ประมาณ ๑ ปี
    และได้ยึดแนวทางของท่านเป็นแนวทางในการปฏิบัติเรื่อยมา นับแต่นั้นต่อมาก็ได้ไปศึกษา
    และปฏิบัติธรรมร่วมกับ อาจารย์ครุฑ ซึ่งเป็นพระขาว (ปะขาว) และได้รับความรู้ในเรื่องการ
    ปฏิบัติธรรมจากท่านอาจารย์ครุฑนี้เพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์
    ก็ได้นำเอาแนวทางการปฏิบัติของอาจารย์ทั้ง ๒ มาเป็นแนวทางปฏิบัติกัมมัฎฐาน

    หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดเลย เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์
    ไปยังจังหวัดเชียงราย ประมาณ ๓-๔ เดือน ต่อมาได้รับข่าวโยมบิดาได้เสียชีวิตลง
    หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับมาทำบุญงานศพบิดาและมาอยู่จำพรรษาที่บ้านเดิม คืออำเภอนาแก

    พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม

    พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๔ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือน้องผู้หญิง ๒ คน
    ซึ่งยังเล็กมาก จึงได้ลาสิกขาบทออกไปเลี้ยงดูน้อง

    วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี ได้กลับเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้ง
    ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์ชัย บ้านพุ่มแก ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม
    ได้รับนามฉายาว่า “ โฆสปัญโญ” ซึ่งแปลว่า “ ผู้มีปัญญาระบือไกล”
    และได้ออกไปจำพรรษาที่วัดป่าเป็นเวลา ๓ พรรษา

    ต่อมาก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานพร้อมเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมด้วย
    ที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

    หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขตจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร
    จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย และข้ามไปฝั่งลาวประมาณ ๓-๔ เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา
    แต่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเดิม อยู่ประมาณ ๓ ปี และญาติโยมชาวบ้านก็นิมนต์ท่าน
    ให้เข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้าน เพื่อโปรดญาติโยมชาวบ้านบ้าง หลังจากออกพรรษาแล้ว
    หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ต่อ จนอายุถึง ๔๐ ปี จึงหยุดเดินธุดงค์
    แต่ก็พยายามศึกษาปฏิบัติธรรมกัมมัฎฐานมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

    พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้นำญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก
    มาสร้างบ้านและวัดใหม่ที่โนนมหาชัย ให้ชื่อบ้านว่า “ บ้านมหาชัย” ในปัจจุบันนี้
    และได้สร้างวัดใหม่ คือ “ วัดธาตุมหาชัย” ( เดิมชื่อ วัดโฆษการาม) จนเจริญรุ่งเรืองตราบถึงปัจจุบัน

    ๏ การศึกษา

    พ.ศ. ๒๔๗๒ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนบ้านโพนดู่
    บ้านโพนดู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม

    พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุ ๒๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม
    วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

    พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม
    วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

    พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๑ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม
    วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

    ๏ การศึกษาพิเศษ

    - ได้ศึกษาอักษรธรรม อักษรขอม อักษรไทยน้อย อ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และมีความชำนาญมาก

    - ทรงจำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ เป็นพระผู้สวดพระปาฏิโมกข์ในวันทำสังฆกรรมอุโบสถ
    ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  3. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ๏ ความชำนาญการ

    - มีความชำนาญการแสดงพระธรรมเทศนาโวหาร บรรยายธรรม เทศนาธรรม
    และเทศนาธรรมแบบปุจฉาวัสัชนา ๒ ธรรมาสน์ จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตอีสานเหนือ
    ยากที่จะหาพระธรรมกถึกรูปอื่นเสมอเหมือนในสมัยนั้น

    - มีความชำนาญการเทศนาธรรม ทำนองแหล่ภาษาอีสาน มีความสามารถในการประพันธ์กลอนแหล่
    ทำนองอีสานได้ เช่น กลอนอัญเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง, พระเวสสันดรทรงพบพระประยูรญาติ,
    พระเวสสันดรลาป่า, นางมัทรีเดินป่า เป็นต้น

    เป็นพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ สายพระอาจารย์ เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต
    พระอาจารย์ ฝั้น อาจาโร ให้การอบรมวิปัสสนากรรมฐานประจำที่วัดป่ามหาชัย

    วัดป่ามหาชัย
    เป็นวัดที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ ใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมประชาชน
    เมื่อปี ๒๕๒๙ เป็นต้นมา และได้พระภิกษุจากอาวาสต่างในจังหวัดนครพนม
    สนใจแนวทางการปฏิบัติกรรมฐาน เข้ามาเรียนรู้และลองปฏิบัติ เกิดความเข้าใจในหลักพระกรรมฐาน
    ได้นำไปเผยแผ่ในเขตอาวาสของตน การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ได้แพร่หลายในจังหวัดนครพนม
    จนถึงปัจจุบัน และยังได้นำพาศิษยานุศิษย์ จัดปฏิบัติธรรมกรรฐานในสถานที่ต่างๆ

    วัดป่ามหาชัย จึงเป็นวัดต้นแบบของการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในเขตจังหวัดนครพนม
    (ประวัติวัดป่ามหาชัย)

    - มีความชำนาญการด้านนวัตกรรม การออกแบบก่อสร้างเสนาสนะ ทั้งงานไม้ งานปูน
    โดยเป็นผู้นำในการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ และพระธาตุมหาชัย
    (การก่อสร้างครั้งแรกๆ ทำเองทั้งหมด เพราะสมัยนั้นไม่มีช่างผู้ชำนาญการ และเงินงบประมาณมีไม่เพียงพอ)

    ๏ ลักษณะนิสัยทั่วไป

    พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นพระมหาเถระ ที่มีอัธยาศัยใจคอกว้างขวาง
    เยือกเย็น มีความเมตตา กรุณาต่อศิษยานุศิษย์ ตลอดถึงญาติโยมทุกคนที่เข้าหาท่าน
    ใครก็ตามที่มีปัญหา หรือมีความทุกข์เข้าหาท่าน จะได้รับการต้อนรับจากท่านอย่างดียิ่ง
    เสมอกันหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ต่อครูบาอาจารย์และพระเถระที่อาวุโสกว่า
    หลวงปู่จะแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ โดยไม่เคยจะแสดงอาการแข็งกระด้างใดๆ เลย
    ด้วยเหตุนี้หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของศิษยานุศิษย์และญาติโยมโดยทั่วไปเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ก็ยังเป็นพระเถระที่มีความตั้งใจมั่นคงหนักแน่นอีกด้วย
    จะเห็นได้จากการที่ท่านตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้จงได้
    คงเป็นเพราะความตั้งใจจริงและความตั้งใจมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลวงปู่ทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี
    และรวดเร็วเกินความคาดหมายทุกประการ

    ตัวอย่างเช่น พระธาตุมหาชัย, อุโบสถวัดธาตุมหาชัย, กำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย
    และกุฏิสงฆ์หลังใหม่ ๒ หลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างล้วนแต่ใช้ค่าก่อสร้างจำนวนมากทั้งสิ้น
    เมื่อคณะศรัทธาญาติโยมที่มีความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ได้ทราบ ต่างก็มีจิตศรัทธาช่วยกันสละ
    กำลังทรัพย์มาช่วยในรูปของกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง จนงานก่อสร้างดังกล่าวสำเร็จรวดเร็วเกินคาด

    อีกประการหนึ่ง โดยอุปนิสัยแล้ว หลวงปู่ท่านถือการปฏิบัติกัมมัฏฐาน
    เป็นประจำนับตั้งแต่อุปสมบทพรรษาแรก จนกระทั่งมรณภาพ

    ๏ การมรณภาพ

    พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ)
    ได้ละสังขารอย่างสงบในกุฏิจำพรรษา ด้วยโรคชราภาพ ประกอบกับมีโรคประจำตัวหลายอย่างแทรกซ้อน
    หลังจากอาพาธมานานหลายปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เวลาประมาณ ๐๑.๕๙ น.
    ณ วัดธาตุมหาชัย สิริรวมอายุได้ ๘๙ พรรษา ๕๙ สร้างความสลดโศกเศร้าให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิด
    ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง วันนี้...หลวงปู่คำพันธ์ พันธุ์ไม้มีแก่นในตัว
    ไม่โอ้อวด ไม่ยึดติด ท่านสิ้นใจแต่ไม่สิ้นธรรม
    ปล. ข้อมูลทั้งหมด คัดลอกมาจากลิ้งด้านล่างครับ

    ประวัติหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    คุณงามความดี และบุญกุศลที่จะเกิดขึ้น ขอยกให้กับท่านที่ทำไว้เป็นเริ่มต้น ครับผม
     
  4. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    พบหลวงปู่เสาร์
    [​IMG]

    หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ธุดงค์ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี
    เลียบริมฝั่งโขงทั้งประเทศลาว และประเทศไทย เมื่อท่านเดินทางไปถึงที่ใดท่านจะอบรมธรรมะ
    สอนให้แก่พระเณร ไม่เลือกธรรมยุต หรือมหานิกาย ตลอดจนสงเคราะห์ประชาชนในด้านต่างๆ
    ในช่วงที่หลวงปู่ฯ เป็นเณรหลวงปู่เสาร์ได้เดินธุดงค์มายังอำเภอนาแก และได้อบรมพระเณรประชาชน
    ที่วัดโพนเมือง บ้านโพนดู่ ในอำเภอนาแก พักอยู่หลายอาทิตย์ หลวงปู่ฯ ท่านได้รับเมตตาชี้แนะ
    แนวทางจากหลวงปู่เสาร์ด้วย หลวงปู่เสาร์ได้แนะนำให้กำหนด ลมหายใจเข้าออก
    โดยท่านได้ให้ข้อคิดว่า ลมหายใจเข้าออกนั้น เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต อยู่ในร่างกายของเรา
    มันต้องทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน นั่งนอน หรือทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกเราก็จะตายทันที
    ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องมีสติ ตามกำหนดรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนี้
    และหลวงปู่เสาร์ก็ได้เทศนาอบรมสั่งสอน ธรรมะตลอดที่อยู่ในเขตอำเภอนาแก
    หลวงปู่ฯก็ได้ตามศึกษาข้ออรรถ ข้อธรรมของท่านโดยตลอด
    หลวงปู่เสาร์สอนเป็นกรณีพิเศษ
    หลวงปู่ฯเป็นผู้ที่มีความเพียรขยันขันแข็ง ในการปฏิบัติตามแนวคำสอน ของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า
    คำสอนของหลวงปู่เสาร์ ท่านจะจดจำได้โดยตลอด และนำหลักการมาทดลองปฏิบัติพิจารณา
    สิ่งใดที่ติดขัด ท่านจะเดินทางไปกราบนมัสการถามหลวงปู่เสาร์ทันที
    เพราะหลวงปู่เสาร์จะต้องเดินธุดงค์ต่อไปที่จังหวัดสกลนคร และเดินทางธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ
    หลวงปู่เสาร์ท่านได้ยังเมตตาแนะนำเพิ่มเติม บอกว่าสามเณรคำพันธ์ต้องตีกลองให้แตกนะ
    ซึ่งท่านหมายถึง ขันธ์ ๕ คือกำหนดรู้ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
    ที่เป็นรูปธรรม นามธรรม ท่านให้ความรู้ความเข้าใจขันธ์ ๕ นี้ให้ดี ให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริงว่า
    เป็นของไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ เป็นธรรมดา หลวงปู่ฯท่านรับแนวทางในการปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์
    มาเป็นแนวปฏิบัติของท่านเรื่อยมา และท่านก็ยอมรับหลวงปู่เสาร์เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน
    และได้ฝึกปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่เสาร์โดยตลอดเพราะวิธีการฝึกปฏิบัติไม่ขัดกับจริตของท่าน
    ทำให้การปฏิบัติบำเพ็ญสมาธิภาวนา ก้าวหน้าเป็นอันมาก ท่านปฏิบัติธรรมกรรมฐาน โดยตลอด
    ในการปฏิบัติธรรมท่านก็มุ่งมั่นต่อการปฏิบัติธรรมด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    และด้วยคำสั่งสอนของโยมแม่ ท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนพระเณรรูปอื่นๆ ท่านเล่าว่าโยมแม่
    ของท่านมักจะพูดคำพูดประโยคหนึ่งให้ท่านฟังเสมอ
    คือประโยคว่า " ลูกเอ๋ย เอ็ดจั่งเพิ้นอย่าสุเอ็ดคือเพิ้น เอ็ดคือเพิ้นอย่าสุเอ็ดจั่งเพิ้น "
    เมื่อโยมแม่ของท่านเห็นเพื่อนบ้านทำในสิ่งที่ไม่ดี โยมแม่จะพูดประโยคนี้ตักเตือนหลวงปู่ฯ
    ท่านได้อธิบายความหมายของคำสอนนี้ ให้ผู้เรียบเรียงฟังว่า
    โยมแม่ของท่านหมายถึงเพื่อนบ้านทำดีเราต้องทำตนเอง ให้ดีตาม เพื่อนบ้นทำไร่ทำนา
    เราก็ทำไร่ ทำนา แต่เราต้องทำได้ดีกว่าเอาใจใส่กว่า เมื่อเพื่อนบ้านทำบุญกุศล
    ก็ให้ทำเหมือนเขา และัให้ได้บุญกุศลจริงๆ อย่าทำเพียงเพื่อสนุกสนาน ด้วยการดื่มเหล้าเมายา
    โดยอ้างเทศกาลทำบุญ คำตักเตือนนี้ ท่านระลึกถึงและปฏิบัติตามเสมอมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  5. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ญาติจังหวัดเลย

    บรรพบุรุษของหลวงปู่ฯ คือ ปู่ ย่า ตาทวด ของท่านมีอาชีพค้าขาย (เป็นนานฮ้อย)
    เดินทางจากอำเภอนาแก จังหวัดนครพนมไปค้าขายที่ประเทศพม่า จากการสอบถามจากหลวงตาทอง
    ได้ข้อมูลว่าปู่ของหลวงปู่ฯ และปู่ของหลวงตาทอง ได้เดินทางไปค้าขายที่ประเทศพม่า
    โดยได้เดินทางไปทางจังหวัดสกลนคร เพชรบูรณ์ ออกไปค้าขายเมืองมอละแมง
    และเมืองดอนขอดของประเทศพม่า โดยซื้อของ ขายของ ไปเรื่อยๆ บรรพบุรุษมีความรู้เดินป่า
    มีวิชาอาคม เก่งกล้า และมีพี่น้อง จำนวนหนึ่งได้ตกลงใจปักถิ่นฐาน อยู่ที่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
    ไม่กลับจังหวัดนครพนม โดยชอบสถานที่ประกอบอาชีพใหม่ และมีหลายคนได้แต่งงานมีคู่ครองอยู่ที่ภูเรือ
    เวลามีพี่น้องผ่านมาก็ชักชวนอยู่ที่จังหวัดเลย ไม่ต้องเดินทางกลับจังหวัดนครพนม
    ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลวงปู่ฯ มีญาติพี่น้องอยู่มากในจังหวัดเลย ด้วยเหตุจากบรรพบุรุษ
    ปู่ ย่า ตา ทวด ของท่านไปค้าขายที่ประเทศพม่า จึงทำให้บรรพบุรุษสอนตัวธรรมพม่าแก่ท่าน
    จึงทำให้ท่านสามารถอ่านตัวธรรมพม่าได้

    มุ่งปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้น

    ด้วยความจริงใจ และจริงจังในการที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะให้หลุดพ้นในวัฏสังขาร
    หลวงปู่ฯ เร่งปฏิบัติธรรม อ่านพระไตรปิฏก อ่านหนังสือตัวธรรมลาว ตัวธรรมขอม
    ศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างและนำมาปฏิบัติด้วย ทำให้ท่านชำนาญในข้อปฏิบัติต่างๆ มาก
    นอกจากนันท่านยังเทศนาสั่งสอนญาติโยมต่างๆ ให้มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ
    หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และได้ทราบข่าวถึงพี่น้องต่างๆ ที่ไปอยู่จังหวัดเลย
    โดยมีน้าชายที่บวชพระที่ไปอยู่จังหวัดเลย ก็ได้ทราบว่าน้าที่บวชพระไปปฏิบัติธรรม
    กับชีปะขาวครุฑ ที่อำเภอภูเรือ
    ชีปะขาวครุฑ หรืออาจารย์ชีปะขาวครุฑเป็นผู้มีอาคมเก่งกล้า สอนวิปัสสนากรรมฐาน เหมือนเกจิอาจารย์
    และครูบาอาจารย์ทั่วๆ ไปสอนลูกศิษย์ จากชื่อเสียงอันโด่งดังทำให้บุคคลทั่วไป
    หรือพระเณรเป็นจำนวนมาก ได้มาปฏิบัติร่วมกับพระอาจารย์ชีปะขาวครุฑ ที่เขตอำเภอภูเรือจังหวัดเลย
    ผู้เขียนได้ถามหลวงตาทองว่า ทำไมหลวงปู่ฯ ต้องไปสัมพันธ์กับชีปะขาวครุฑ
    หลวงตาทองตอบว่า ชีปะขาวครุฑเป็นญาติกันที่อพยพจากอำเภอนาแก ไปอยู่ที่จังหวัดเลย
    ฉะนั้นพอพระเณรที่เป็นญาติไปจังหวัดเลย พี่น้องทางจังหวัดเลยจะอุปถัมภ์เป็นกรณีเป็นพิเศษ
    และสรรพวิชาต่างๆ ของปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษ จะคงอยู่ที่ชีปะขาวครุฑ ด้วยเหตุนี้ทำให้หลวงปู่ฯ
    จึงชักชวนพระภิกษุสองรูปคือ พระอาจารย์วัน และพระอาจารย์บุญ เป็นเพื่อนร่วมเดินทางออกธุดงค์ไปจังหวัดเลย เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมจากชีปะขาวครุฑ ช่วงเวลานั้นหลวงปู่ฯ เป็นเณรอายุสิบแปดปี
    อ้างอิง. คัดลอกจาก
    กระทู้หมู่เฮา • แสดงกระทู้ - ประวัติ ปฏิปทา พระสุปฏิปันโน และบทความธรรมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2012
  6. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ญาธรรมครุฑ

    ญาธรรมครุฑเป็นภาษาอิสาน ที่ชาวบ้านเรียกกัน ญาธรรมครุฑเป็นคนเดียวกันกับชีปะขาวครุฑ หลวงตาทองท่านเล่าว่า ญาธรรมครุฑได้สำเร็จวิชา ครูนอนเดี่ยวผู้ที่ศึกษาวิชานี้สำเร็จจริงๆ จะต้องนอนเดี่ยวคือไม่มีเมีย เพราะได้บรรลุวิชาชั้นสูง ญาธรรมครุฑเป็นผู้ที่มีวิชาเก่งกล้ามากเวลาจะรักษาใคร มีธรรมมาบอกว่าต้องทำอะไร และทราบความเป็นมาของเหตุฯ ที่เกิดทั้งหมด เช่นเวลาเดินทางเข้าเขตบ้านที่มีอาถรรพ์ก็จะรู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร หรือเวลาเดินทางไปไล่ผีจะทราบเลยว่าเป็นผีประเภทใดส่วนมากท่านจะใช้วิธีการที่ไม่รุนแรง แม้กระทั่งสถานที่ใดที่มีอาถรรพ์ ญาธรรมครุฑท่านจะรู้และสัมผัสได้ด้วยธรรม หรือญาณของท่าน
    ออกธุดงค์

    หลังจากที่ได้นัดหมายพระภิษุวัน และภิกษุบุญ เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้กราบลาพระอุปัชฌาอาจารย์มุ่งหน้าเดินทางจากอำเภอนาแกสู่จังหวัดสกลนคร การเดินธุดงค์ได้ผ่านป่าที่น่ากลัว เพื่อฝึกความกล้าของจิต ผู้ปฏิบัติธรรมต้องกล้าที่จะเผชิญกับเหตุการรณ์ต่างๆ กิเลสต่างๆ ยอมสละชีวิต และฝึกจิตไม่ให้หวั่นไวต่ออุปสรรคต่างๆ การเดินทางผ่านบ้านนา ทุ่งบ้าง โคกบ้าง ไปเรื่อยๆ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั้น ช่วงเดินทางผ่านจังหวัดสกลนคร ได้ปักกลดที่บ้านพาน เขตอำเภอสว่างแดนดิน เช้าออกบิณฑบาตรเมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วออกเดินทางต่อไปสู่จังหวัดอุดรธานี พอถึงเขตจังหวัดอุดรธานี ร่างกายของท่านอ่อนแอมาก เมื่อฉันอาหารบิณฑบาตแล้วออกเดินทางธุดงค์ต่อไป ระหว่างทางจะแน่นท้องทรมานมากจนอาเจียนออกมา เมื่ออาเจียนออกมาแล้วร่างกายจะทุเลาลง รู้สึกสบายขึ้นเป็นอย่างนี้มาตลอด เวลาบิณฑบาตมาได้ข้าวไม่ค่อยมาก ท่านจะดื่มน้ำให้มากเพื่อบรรเทาอาการหิว
    สุนัขแม่ลูกอ่อน

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ฯ ได้เล่าให้ฟังว่าได้ไปปักกลดที่บ้านหนองเม็กเป็นหมู่บ้านเล็กๆประมาณ ๓๐ หลังคาเรือนพอรุ่งเช้าขึ้นได้เดินทางเข้าหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาตร ช่วงนั้นสายมากแล้วไม่มีใครตักบาตรเลย ผู้คนในหมู่บ้านเงียบไปหมด ชาวบ้านพอแลเห็นพระภิกษุก้เข้าบ้านปิดประตูเงียบ ท่านคิดในใจว่าวันนี้ไม่ได้ข้าวแน่พอเดินพ้นหมู่บ้านไปหนึ่งหลังคาเรือน เห็นโยมผู้หญิงถือกล่องข้าวมานิมนต์ให้รับบิณฑบาตร ท่านได้รับข้าวเหนียวมาปั้นหนึ่งท่านเดินออกมาที่พัก ได้มีสุนัขสีดำตัวหนึ่งวิ่งออกจากหมู่บ้านตอนแรกคิดในใจว่ามันจะไล่กัด สังเกตดูเป็นสุนัขแม่ลูกอ่อน มันวิ่งตามมากระดิกหางดูแล้วสงสัยมันจะหิวจัด เลยเอาข้าวเหนียวในบาตร โยนให้มันไปมันดีใจคาบก้อนข้าวเหนียว แล้ววิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน วันนี้ตลอดวันได้ดื่มแต่น้ำ ซึ่งเป็นผลดีทำให้ไม่แน่นท้อง ลูกศิษย์ได้ถามทำไมชาวบ้านจึงไม่ใส่บาตร แล้วเข้าประตูบ้านหลวงปู่ฯ ตอบว่าเขากลัวพระกรรมฐานเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2012
  7. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ธุดงค์กลางทุ่งน้ำ

    การเดินธุดงค์ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ในบางครั้งต้องเดินทางขึ้นเขาในบางครั้งก็ลงมายังป่าทึบ ในบางครั้งเดินทางทั้งวันไม่พบหมู่บ้านเลย พระกรรมฐานนักปฏิบัติจะต้องอดทนการเดินธุดงค์ของหลวงปู่ฯ ก็มาถึงจุดหมาย ที่เรียกว่า ปากดง เขตอำเภอนากลาง วันนั้นฝนตกทั้งวันคิดจะหาที่พักก็ไม่เหมาะสม เพราะแต่ละพื้นที่มีน้ำเต็มไมปหมด จุดที่ต้องเป็นดอนก็มีสัตว์จำพวกมด และแมลงทำให้ท่านต้องธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ จนค่ำสองทุ่มเศษๆ ขณะนั้นหูของท่านและภิกษุอีกสองรูปก็ได้ยินเหมือนเสียงท่อนไม้ กระทบกันเสียงดังไปทั่วป่า พระที่มาด้วยกันกลัวเพราะเป็นเวลากลางคืนมองไปเห็นเงาลางๆ ท่านเลยบอกให้หยุดเข้าไปหลบ แอบดูเงาลางๆ นั้น พอเข้ามาใกล้จึงทราบว่าเป็นชาวบ้านแถวนั้น หลวงปู่ฯ เลยถามว่าโยมจะไปไหน พวกเขาตอบว่าออกมาจากป่าจะเข้าหมู่บ้าน พวกเขาถามว่าท่านจะไปไหน หลวงปู่ฯ ตอบจะไปกกโพธิ์ พวกเขาเลยนิมนต์ไปพักที่วัด เห็นพวกเขาจับเต่าได้หลายตัวกระดองเต่ากระทบกันจึงทำให้เกิดเสียงดัง หลังจากถึงวัดได้ไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติกิจสงฆ์ พอรุ่งเช้าก็บินฑบาตรโปรดสัตว์จึงได้เดินทางต่อไป ตลอดวันผ่านบ้านค้อ เข้าเขตดงไม้ช้างและดงช้างตลอด ไม่พบหมู่บ้านเลย จนตะวันใกล้ตกดินก็ถึงบ้านนากลาง ได้ปักกลดในวัดร้าง นอกหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางมานิมนต์ ให้ไปพักในวัดที่หมู่บ้าน เพราะเช้าวันนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ถูกเสือกัด เมื่อกัดแล้วเสือยังวนเวียนอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ชาวบ้านพูดว่าถูกเสือกัดเพราะทำผิดเจ้าที่ ตามคำพูดของคนทรงเจ้า พวกท่านเลยรับนิมนต์พากันมาพักในหมู่บ้าน เมื่อจัดที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ไหว้พระทำสมาธิภาวนา หลวงปู่ฯ กล่าวว่าในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ของท่านนั้น เมื่อจิตสงบมีอารมณ์เป็นหนึ่งมักจะปรากฏ นิมิตพบพระอินทร์เสมอ และจะเป็นเช่นนั้นอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลาที่เดินธุดงค์ ไม่สามารถแก้อารามณ์นี้ได้
    เข้าเขตโขลงช้าง

    การเดินธุดงค์ก็ดำเนินไปตามปกติหลังจากที่ออกบิณฑบาตร และฉันอาหารเสร็จเรียบแล้วก็ลงมือเดินทางต่อ การออกเดินทางในช่วงนี้แรกครึ้มด้วยไม้น้อยไม้ใหญ่ และเข้าสู่เขตป่าใหญ่เข้าไปเรื่อยๆ ตามสังเกตดูป่าทึบจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ และก็ได้พบกับนายพราน พวกเขาได้บอกว่าในช่วงป่าทึบข้างหน้า คือดงช้างผาวัง ขอให้ระวังตัวด้วยเพราะในดงนี้มีช้างโขลงใหญ่ ประมาณร้อยกว่าเชือกอาศัยอยู่ ช้างเหล่านี้ข้ามาจากประเทศลาว พวกนานพรานเตือนด้วยความห่วงใย และได้แนะนำว่าหากพบกับโขลงช้างให้เคาะไม้ให้เกิดเสียงดัง หรือจุดไฟช้างจะตกใจหนีไป ห้ามวิ่งเด็ดขาด ในช่วงแรกฟังแล้วก็ตกใจเหมือนกัน แต่ในจิตมุ่งปฏิบัติธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ยอมสละชีวิตเพื่อธรรมะ ทำให้ความกลัวนั้นลดลงไป ท่านพร้อมคณะเดินทางผ่านผาวัง ไปเรื่อยๆ ได้พบกับรอยดขลงช้างเดินผ่าน ต้นไม้เล็กๆ ล้มเป็นทางกว้างประมาณห้าสิบเมตร บางที่เห็นมีมูลช้าง ใหม่ๆ กองอยู่ บางครั้งได้ยินเสียงหักกิ่งไม้ กินด้วยงวง

    วันนี้ท่านทั้งสามรูป ได้เดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน คือบ้านเต่าไห้ ได้เข้าพักที่วัดในหมู่บ้านนั้น พระที่วัดในหมู่บ้านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และได้เเล่าถึงโขลงช้างในดง ที่ผ่านมาว่ามีช้างอยู่ตัวหนึ่งชื่อ อีดำ เป็นช้างดุร้ายมาก เมื่อสองวันก่อน มันได้พยายามทำร้ายนายพรานที่ไปนั่งห้างยิงสัตว์จนนายพรานตกจากห้าง แต่นายพรานมีไหวพริบจึงทิ้งผ้าห่มลงมาก่อนทำให้มันเข้าใจผิดคิดว่าคนมันเลยชน และเอางาแทงผ้าห่มขาดกระจุยหมด ตัวนายพรานต้องคลานหลบออกมา จึงเอาชีวิตรอดมาได้ ตามตัวอีดำเต็มไปด้วยกระสุนที่นายพรานยิง
     
  8. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    เรื่องราวของหลวงปู่ยังมีอีกเยอะเดี๋ยวค่อยมาต่อกันนะครับ:cool:
     
  9. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    มาปูเสื่อรออ่านตอนต่อไปด้วยคนครับ....:cool::cool::cool:
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  10. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    อีกองค์ในชุดเดียวกัน

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  11. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    อีกองค์ครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  12. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    อีกองค์ที่ได้มาพร้อมกัน
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  13. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    ส่วนองค์นี้ได้มาเมื่อเดือนที่แล้ว

    [​IMG]
    [​IMG]
     
  14. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    อีกซักองค์ครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
     
  15. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    อีกองค์ครับ ได้รับมาจากผู้สร้างครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
     
  16. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    สวยงามทุกองค์เลยครับ..ยินดีต้อนรับนะครับ:cool:
    มีอะไรดี ๆ ก็มาแชร์ประสบการณ์กันได้นะครับ:cool:
    ผมไม่ใช่เซียนพระหรอกนะครับ..เพียงแต่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ก็เลยอยากเผยแผ่บารมีของหลวงปู่
     
  17. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ตอนต่อไปครับ:cool:
    กระท่อมเจ็ดชั้น

    การเดินธุดงค์ของหลวงปู่ฯ และพระทั้งสองรูปยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ปฏิบัติภารกิจคือเดินปักกลด ไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิฝึกฝนอบรมจิตใจ ปฏิบัติธรรม ตลอดคืนตื่นตอนเช้าออกบิณฑบาตร หลังจากนั้น ก็จะเดินทางต่อไป หลวงปู่ฯ ท่านกล่าวว่าช่วงนั้นอยู่ในเขตอำเภอวังสะพุง ท่านและพระอีกสองรูปตกลงกันว่า ทั้งสามรูปจะไม่พูดคุยกันตลอดทาง ต่างคนต่างกำหนดจิตภาวนาไปเรื่อยๆ เดินเข้าเขตอำเภอวังสะพุงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ไม่พบหมู่บ้านเลย แต่ละรูปพากันเดินตรงต่อิไปเรื่อยๆ ไม่พบบ้านเรือนเลย จนกระทั่งเดินเดินทางมาสู่ไร่ข้าวโพดเวลามืดพอดี ไม่พบคนพบแต่กระท่อมอยู่หลังหนึ่งปลูกอยู่กลางไร่ข้าวโพด ทำขึ้นถึงเจ็ดชั้น ก็นึกแปลกใจทำไมถึงสร้างถึงเจ็ดชั้นชาวบ้านเจ้าของกระท่อมคงกลับเข้าหมู่บ้านไปแล้ว เพราะไม่มีใครอยู่เลย ได้แวะเข้าไปพักที่กระท่อมนี้เพราะมืดพอดี ได้ยินเสือร้องระงมไปหมดทั่วทั้งทิศ สลับกับเสียงร้องปีบๆๆ เข้าใจว่าคงเป็นเสียงกวาง หรือ อีเก้ง ที่ตกใจเสียงร้องของเสือ เสียงเสือร้องดังเข้ามาใกล้กระท่อมเรื่อยๆ จนเสียงดังวนรอบๆ กระท่อมมันคงได้กลิ่นคน พระอาจารย์ทั้งสองรูปพูดว่า ให้ระวังตัวใครตัวมัน จะพักอยู่ชั้นล่างคงไม่ได้เพราะต่ำเกินไป เลยต้องขึ้นไปนอนบนชั้นที่เจ็ดจึงทำให้เข้าใจว่าที่เขาสร้างเป็นหลายชั้นก็เพราะป้องกันเสือนั่นเอง
    ปฏิบัติธรรมที่ภูเรือ

    ช่วงที่ท่านเดินทางจากอำเภอวังสะพุง ผ่านหมู่บ้านและป่าต่างๆ มาท่านได้ถามชาวบ้านตลอดทางเพื่อที่จะพบกับญาติของท่านที่เคยเดินทางไปค้าขายที่ประเทศพม่า และมาปักหลัก ปักฐานอยู่ที่ภูเรือ ฐาติของท่านหลายคนที่มาปักหลัก ปักฐาน ได้แต่งงานกับคนอำเภอภูเรือ มีลูกหลาน ญาติพี่น้องมากมาย และหลวงปู่ฯ ก็ได้ทราบข่าวว่า หลวงพ่อจูม ชาวบ้านหนองหอยใหญ่ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ที่เยอพยพมาตั้งรกรากที่ภูเรือท่านอายุมากและ บวชเป็นพระพักอาศัยอยู่ในวัดบ้านวังขาม ท่านเลยเดินทางเข้าไปเยี่ยม พบหลวงพ่อกำลังป่วยอาพาธเป็นไข้ ท่านเลยพักที่วัดบ้านวังขาม เพื่อดูแลอาการป่วยของหลวงพ่อจูม พร้อมกับภิกษุอีกสองรูปที่เดินทางมาด้วยกัน หลังจากนั้นน้าของหลวงปู่ฯ ที่อพยพมาอยู่ที่ภูเรือ พร้อมญาติพี่น้อง ทราบข่าวเลยมาเยี่ยมหลวงปู่ฯ ซึ่งน้าของท่านมีความรู้ด้านสมุนไพร ได้ปรุงยาถวายหลวงปู่ฯ จึงทำให้หลวงปู่ฯ หายจากอาการเจ็บที่บริเวณหน้าท้องที่เกิดขึ้นในช่วงเดินทางธุดงค์ และช่วงที่ท่านปฏิบัติธรรมนี้เอง น้าของท่านได้ถวายวิชายาแผนโบราณ หรือยาสมุนไพรให้ท่านด้วย หลังจากนั้นไม่นานญาติของท่านพาท่านเข้าพบ และปฏิบัติธรรมกับญาธรรมครุฑ หรือชีปะขาวครุฑ ทำให้ท่านได้รับคำแนะนำ และได้รับความรู้ ในเรื่องการปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ครุฑ ท่านนี้เป็นอย่างมากจนเป็นที่ชมเชย ของญาธรรมครุฑ ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นศรัทธาในตัวหลวงปู่ฯ เป็นอันมาก
    ชาวบ้านศรัทธา

    หลังจากปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อจูม ไม่นานก่อนเข้าพรรษา ข้อวัตรในการปฏิบัติของสามเณรคำพันธ์ เป็นที่เชื่อถือของครูบาอาจารย์ พระเณร และญาธรรมครุฑ ทำให้ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือ ไปถึงชาวบ้านแถบนั้น จึงทำให้ชาวบ้านน้ำมี ตำบลท่าลี่ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย เดินทางมานิมนต์ท่านให้ไปจำพรรษา ที่วัดร้างในหมู่บ้าน ท่านจึงรับคำนิมนต์ และเดินทางไปอยู่ที่บ้านน้ำมีตลอดเวลาที่ได้อยู่ที่วัดน้ำมี ท่านได้สร้างความเพียรตลอดวัน ท่านมักจะเดินทางไปพัก เดินจงกรม นั่งสมาธิบนหลังเขาเป็นประจำ ช่วงนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก
     
  18. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ธรรมะหลวงปู่ก่อนนอนครับ

    "ถ้าบ่อของความดีแตก ความดีมันไม่เต็ม
    โอ่งไหแตก น้ำมันไม่อยู่
    ใจแตกคุณงามความดีก็ไม่อยู่
    ฉะนั้นจึงต้องรักษา กาย วาจา ใจ อย่าให้มันแตก"
     
  19. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ผจญภัยหมีใหญ่

    การปฏิบัติธรรมโดยยึดหลักคำสอนของหลวงปู่เสาร์ กนตสีโล และพระอาจารย์ครุฑ ทำให้จิตใจท่านมุ่งหวังที่จะเดินธุดงค์เดี่ยว เพราะจิตใจของท่านมีความเข้มแข็งขึ้น จนเกิดให้มีแรงดลบันดาลใจให้ท่านอยากจะปฏิบัติธรรมรูปเดียวตามลำพังที่ภูเรือ ในครั้งหนึ่งท่านเล่าว่าท่านลงจากเขามาโดยลำพังเพียงรูปเดียว ทางเดินลงมาลำบากกว่าตอนขึ้นเขา หนทางแคบพอที่จะเดินทางได้คนเดียวเท่านั้น ทางเดินก็ลาดชัน บางครังเซถลาหกล้ม ต้องยึดกิ่งไม้เอาไว้ ในขณะที่เดินลงเขาเป็นหนทางแคบๆ วกไปเวียนมา ทันใดนั้นเองท่านได้ก็ได้เจอกับหมีตัวตัวใหญ่เท่าคน ท่านและเจ้าหมีไม่สามารถที่จะหลบกันได้ จึงต่างจ้องมองตากัน หลวงปู่ฯ ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า เราไม่มีเจตนาเบียดเบียน ขออย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าจะเบียดเบียนเลย ขอให้ต่างคนต่างไปเถิด เจ้าหมีก็จ้องมองดูท่านตลอดเวลา จนกระทั่งท่านสังเกตดูว่าสายตาของมันอ่อนลงไม่มีแววตาของความดุร้าย ท่านเลยตัดสินใจตายเป็นตายเดินเฉียดผ่านตัวหมีนั้นเลย และเดินลงเขาตามทางเดินแคบๆ นั้นต่อไป การที่ท่านไม่ได้รับอันตรายจากหมีร้ายคงเป็นเพราะพลังเมตตาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมของท่านนั่นเอง
    ออกธุดงค์เดี่ยวไปยังประเทศลาว

    เมื่อท่านมีประสบการณ์ ในการธุดงค์วัตร พอประมาณทำให้จิตใจท่านเข้มแข็งมีสมาธิจิตที่แกร่งกล้าขึ้น จึงแจ้งพระวัน และพระบุญว่าท่านประสงค์ที่จะธุดงค์เดี่ยวหาประสบการณ์ไปยังประเทศลาว และท่านก็ได้ข้ามฝั่งไปยังประเทศลาวเดินธุดงค์เรื่อยไป ค่ำไหนปักกลดนั่น พอตอนเช้าก็ออกบิณฑบาตร ฉันอาหารตามปกติ และครั้งหนึ่งที่ท่านเดินธุดงค์มีต้นไม้หักพาดก้อนหินใหญ่สองก้อนเป็นทางเดินติดต่อกัน ท่านเดินตามทางแนวต้นไม้ที่หัก และมีความประสงค์จะหย่อนตัวลงไปด้านล่าง ท่านจึงหย่อนตัวลงมาพร้อมกับกลด และบริขารติดตัว พอเท้าแตะถึงพื้นเบื้องล่างท่านก็พบกับควายป่าอย่างจัง ท่านหันหน้าประจันกับควายป่า ไม่มีที่พอจะหลบหลีกได้มันมองดูท่านอย่างดุร้าย มันคงคิดว่าท่านขวางทางมัน ท่านได้แต่ยืนกำหนดจิตแผ่เมตตาเป็นเวลานาน มันก็ยืนจ้องอยู่อย่างนั้น ท่านตัดสินใจกางกลดที่แบกอยู่บ่าลงมากางออกข้างหน้าจนเกิดเสียงดังพรึบ เจ้าควายป่าก็เลยตกใจกระโจนออกนอกทางเดิน ท่านเลยเดินผ่านไปได้ และเดินทางต่อไปเข้าไปยังประเทศลาวผ่านป่าทึบ หุบเขาไปเรื่อยๆ
    แดนหมอผีกระเหรี่ยง

    หลวงปู่ฯ เคยเล่าเหตุการณ์ใ้ห้นายชวลิต ลิขิตวรรณ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่าเมื่อตอนเป็นเณรได้เดินธุดงค์ไปชายแดนติดระหว่างไทยกับลาว อยู่เขตจังหวัดอะไรหลักฐานไม่ชัดแจ้ง ได้ธุดงค์เข้าไปในหมู่บ้านของกระเหรี่ยงได้ไปปักกลดบริเวณนั้น และได้ออกบิณฑบาตรในตอนเช้า พอเวลากลางวันได้มีบุคคลประมาณสามคนมาหา และนั่งใกล้ๆ กลดท่านทราบข่าวภายหลังว่าหัวหน้าคือหมอผีชาวกะเหรี่ยง พอได้พบหลวงปู่ฯ แล้วมีความรักและอยากจะได้มาเป็นลูกศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชาอาคมให้ หมอผีคนนั้นบอกว่าวิชานี้ไม่ใช่จะเรียนได้ทุกคนแม้นแต่แต่ลูกหลานจะเรียนก็ไม่ได้ต้องเป็นคนถูกจริตกับผู้ที่จะมอบ ชาวกะเหรี่ยงหลายคนบนดอยต้องการจะเรียนตนเองก็ไม่ถ่ายทอดให้ มาอ้อนวอนหลวงปู่ฯ อยู่หลายครั้งแต่ก้ไม่สำเร็จ วันที่สองก็เดินทางมาพบหลวงปู่ฯ อีกเพื่อถามความสมัครใจ ถามกี่ครั้งหลวงปู่ฯ ท่านก็ไม่ยอม สักพักหมอผีเห็นไก่ฝูงหนึ่งเดินผ่านมาจึงพูดกับหลวงปู่ฯ ไปว่าไก่ตัวไหนเป็นหัวหน้า หลวงปู่ฯ ไม่ตอบหมอผีพูดว่าตัวใหญ่ๆ นั้นเป็นหัวหน้าคอยดูแล้วกัน หลังจากนั้นหมอผีก็ท่องมนต์คาถา และชี้ไปยังไก่ตัวนั้น ฝูงไก่ตกใจบินหนีไปทั้งฝูงตัวที่หมอผีชี้บินขึ้นสูง และตกลงมาชักตายต่อหน้าหลวงปู่ฯ หลวงปู่ฯได้แต่ปลงสังเวชและย้ายออกจากที่นั้นไปหมอผีก็ตามไปอีกพยายามขอให้เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ฯ ว่าการปฏิบัติของหลวงปู่ฯ เป็นจริงแน่นอนและจะส่งผลไปยังอนาคตข้างหน้า หมอผีว่าไปดูอนาคตข้างหน้าทำไม ดูอย่างหมอผีจะเอาอะไรก็ได้ เงิน ทอง เครื่องถวายยกครูต่างๆ จะเอาอะไรเขาเอามาให้หมด เสวยสุขในปัจจุบันดีกว่ามันเห็นเร็ว ไม่ต้องไปรอข้างหน้า สักพักมีฝูงหมาผ่านมาหมอผีถามหลวงปู่ฯ ว่าไอ้ตัวไหนเป็นจ่าฝูงเป็นหัวหน้า ตัวไหนเก่งที่สุด หลวงปู่ฯ ไม่ตอบมันบอกว่าไอ้ตัวดำใหญ่นั้นเป็นหัวหน้าคอยดูนะ มันเสกคาถาชี้ไปยังหมาตัวที่ว่า ผลปรากฏว่าหมาสะดุ้งและชักตาย หลวงปู่ฯ ได้แต่ปลงสังเวชและแผ่เมตตาให้ ท่านคิดว่าถ้าท่านอยู่ต่อไปสัตว์คงจะตายเพิ่มขึ้นเป็นแน่ จึงหนีออกจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงเดินทางเข้าสู่ชายแดนไทยต่อไปต่อจากนั้นหมอผีก็ไม่ได้ติดตามมาอีกเลย
     
  20. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ..พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันใหม่
    :cool:ธรรมะราตรีสวัสดิ์ครับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...