หลากความเชื่อเกี่ยวกับยา ที่คนไทยคิดว่าเข้าใจถูก

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 30 มิถุนายน 2005.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    <center><img src=http://www.mthai.com/webboard/upload_images/102497.jpg></center>

    ความเชื่อเกี่ยวกับยา
    การที่ได้มาทำงานที่โรงพยาบาลในเมืองเล็กๆก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกไปอีกแบบสำหรับผม
    การทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพ จะรู้สึกอย่างนึง
    และเทียบกับการทำงานในโรงพยาบาลเอกชน ที่ก็รู้สึกไปอีกอย่างนึง

    เมื่อได้มาทำงานในโรงพยาบาลต่างจังหวัด สิ่งหนึ่งที่จะพบคือความเชื่อความเข้าใจของคนที่มารักษาเกี่ยวกับการใช้ยาที่แปลกๆ
    แปลกบางอย่าง แค่ตลก
    แปลกบางอย่างตลกไม่ออก เพราะกลายเป็นการทำให้รักษาไม่หาย
    แปลกบางอย่างนอกจากรักษาไม่หายยังกลายเป็นแย่ไปกว่าเดิม
    พวกที่ตลกไม่ออกทั้งหลายก็เพราะว่าไม่เชื่อในการรักษาและมุ่งมั่นเชื่อว่าสิ่งที่ตนคิดถูกแน่นอน เถียงกันหน้าดำหน้าแดง

    ความเชื่อเหล่านั้นกำลังจะโดนตีแผ่

    1. ยาฉีดดีกว่ายากิน
    ความคิดแบบนี้นำมาซึ่งความยากลำบากในการทำงานทั้งในห้องฉุกเฉิน ห้องตรวจทั่วไป และในตึกผู้ป่วยใน

    ยาฉีด ที่จริงแล้วเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของยาที่ทำออกมาเพื่อใช้สำหรับกรณีที่กินไม่ได้ เช่นผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรืองดน้ำงดอาหาร หรืออาจหวังผลบางข้อเช่นให้ยาออกฤทธิ์ในทันทีในปริมาณมากๆในคราวเดียวกัน
    เวลาผู้ป่วยเขามาด้วยอาการบางอย่าง หลายครั้งที่เขามีความเชื่อว่าการใช้ยาฉีดทำให้หายเร็วกว่าและดีกว่า....
    แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนที่เชื่ออย่างนี้มักมีภาวะที่ยาฉีดไม่ได้ดีกว่ายากินนัก
    เช่นการฉีดยาParacetamol กับกิน... จริงๆก็ไม่ได้ต่างกันมาก เพราะว่ายาparaฉีดเข้ากล้ามใช้เวลาสักพักนึงในการดูดซึม ซึ่งก็พอกับการให้ดูดซึมในกระเพาะน่ะแหละ
    หรือยาปฏิชีวนะหลายๆชนิด ที่ต้องใช้เวลาในการออกฤทธิ์ แต่ว่าผู้ป่วยจะชอบให้ฉีดมากกว่า

    นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการใช้ยาแก้ปวด ซึ่งที่จริงเป็นอุปาทานมากกว่าว่ายาฉีดดีกว่ายากิน

    สัปดาห์ที่แล้วระหว่างกำลังดูผู้ป่วย ก็มีผู้หญิงคนนึงเอามือกุมท้องร้องโอดโอยเสียงลั่นไปทั่ว ลูกเธอเดินเข้ามาทำหน้าเอาเรื่องกับผม บอกว่าแม่เค้าต้องการยาแก้ปวดเดี๋ยวนี้ หลังจากเถียงกันเล็กน้อยผมตัดสินใจไม่ให้ซึ่งก็เกิดความไม่พอใจกับผู้ป่วยและญาติพอควร.. (ผมไม่ให้เพราะเชื่อว่าเธอติดยาแก้ปวดที่เป็นสารเสพติด) หลังจากนั้นพยาบาลก็เลยเอาน้ำเกลือเปล่าๆไปใส่ในขวดน้ำเกลือที่ห้อยอยู่... เท่านั้นเองเธอก็แสดงท่าทางสบายและบอกว่ายานี่ดีมากๆ... ซึ่งมันจะดีได้อย่างไรในเมื่อมันก็เป็นน้ำเกลือที่ให้อยู่นั่นแหละ
    หรือผู้ป่วยที่เวียนหัวมา ให้ยาแก้เวียนหัวกินไปก็บอกว่าไม่หาย แต่พอฉีดยาเข้าไปยังไม่ทันถอนเข็มก็บอกว่าหายแล้ว.....

    มันคืออุปาทานครับ จริงๆ หลายครั้งฉีดน้ำเปล่าก็หาย

    2. กินยาแค่หายก็พอได้แล้ว
    ยาหลายชนิดต้องกินตลอดตามคำสั่งแพทย์
    เมืองไทยมีความเชื่อแบบนี้ จึงทำให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วจากการติดเชื้อมากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีความนิยมกินยาจนอาการดีขึ้นก็หยุด
    การกินยาปฏิชีวนะแล้วหยุด มีผลเสียคือ ยาฆ่าเชื้อได้ไม่หมด ซึ่งในโรคติดเชื้อในลำคอที่ก่อโรคหัวใจนี้ การฆ่าเชื้อไม่หมดก็ทำให้เกิดโรคหัวใจได้
    ผลเสียต่อมาคือเชื้อดื้อยา เพราะยาที่ให้เข้าไปเหมือนเป็นการฝึกซ้อมเชื้อโรคให้แกร่ง

    วัคซีนโรคต่างๆที่คนทำขึ้น คือการทำเชื้อให้อ่อนและปล่อยเข้าไปทีละน้อยจนร่างกายได้รับการฝึกซ้อมและพร้อมสู้กับของจริง
    ส่วนการกินยาฆ่าเชื้อกินๆหยุดๆ ก็เปรียบเหมือนการฉีดวัคซีนให้เชื้อโรคแข็งแรงนั่นเอง
    ความเชื่อนี้ผมได้รับการถ่ายทอดมาจากชาวบ้านในพื้นที่ที่มีความเชื่อในเหตุผลที่ว่า
    "การให้ยานานๆ จะทำให้เชื้อโรคชินและดื้อยา"......
    ความจริงเราให้เพื่อฆ่าเชื้อให้หมดแล้วรีบหยุด ก็เลยไม่มีเชื้อที่เหลือให้ดื้อยา .....
    ปัจจุบันยังเถียงไม่ออกครับ อธิบายไม่ได้

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องยาหลายชนิดที่ต้องกินต่อเนื่องเช่นยาเบาหวาน ยาความดัน และยาโรคหัวใจ
    มีหมอที่เสียผู้ป่วยในความดูแลไป เนื่องจากญาติของผู้ป่วยมาบอกว่ายาที่กินอยู่มีออกในทีวีว่าทำให้เลือดออกง่าย.... ผู้ป่วยหยุดยาโดยไม่บอก แล้วก็เกิดหัวใจวายตายเนื่องจากว่า ยาตัวที่แกกินมีไว้เพื่อป้องกันเลือดแข็งตัวไปจับที่บริเวณลิ้นหัวใจเทียมที่ทำไว้ ผลก็คือเลือดเป็นลิ่มๆไปจับจนหัวใจทำงานไม่ได้และตายไป
    หรืออย่างผมเองที่ผู้ป่วยหยุดยาความดันเอง มารพ.ด้วยเรื่องความดันสูงจนเส้นเลือดแตกในสมองเป็นอัมพฤกษ์ไปเลย

    ดังนั้นรบกวนกินตามสั่งด้วยครับ ถ้าไม่แน่ใจหรือสงสัยก็ถามกันได้

    3. ยาล้างไต
    สุดยอดความอลังการของเรื่องยาที่ผมเคยเจอมา
    มีผู้ป่วยโรคตับระยะท้ายๆ ที่มีปัญหาไตวายร่วมด้วย เขามีท้องมาน โต เต็มไปด้วยน้ำและต้องเจาะน้ำจากท้องบ่อยๆเพื่อไม่ให้น้ำในท้องแน่นจนอึดอัด... และมีปัสสาวะออกวันละ100ccเท่านั้น
    เชื่อไหมครับ พอเจาะน้ำออกมา แทนที่จะเป็นสีเหลืองๆแบบคนปกติ น้ำที่ออกมากลับเป็นน้ำสีน้ำเงินเข้มเหมือนสีน้ำบลูเบอรี่
    จากการสอบถามได้ยินมาว่านั่นเป็น"ยาล้างไต"ที่มีขายทั่วไปในร้านขายยา มีทั้งสีน้ำเงิน สีเขียว สีม่วง สีส้มแดงฯลฯ เขาบอกว่าสีแต่ละสีใช้ต่างกันในแต่ละโรคด้วย
    เอากะเขาสิ...
    ขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยครับว่าไม่มียาล้างไตที่ไปล้างของเสียออกจากร่างกาย ที่กินแล้วมีสีออกมาตามทวารต่างๆน่ะเป็นการกินสีเข้าไปให้ร่างกายขับออกมาต่างหาก

    4. ยาแพงดีกว่ายาถูก
    ความเชื่อโลกแตก
    ในความจริงคือ จริงแค่บางส่วน และอยู่ในพื้นฐานที่ว่า ไม่มีหมอคนไหนที่สั่งยาโดยยึดความถูกแพงเป็นหลักหรอกครับ
    ยาตัวที่ผมชอบยกตัวอย่างคือยาแก้แพ้
    Chlorpheniramine ยาราคาถูก กินแล้วง่วง แต่ก็แก้แพ้ได้ดี
    กับยากลุ่มใหม่ๆ ราคาเม็ดละ10-30บาท กินแล้วแก้แพ้ได้เหมือนกัน บางคนกินแล้วง่วงบางคนกินแล้วไม่ง่วง
    จุดประสงค์ที่รักษาคือแก้แพ้ ถ้ามาด้วยเรื่องผื่นแพ้ การให้ยาราคาถูกแต่ง่วง กับการให้ยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง ก็ไม่มีความแตกต่างกันในแง่การรักษา

    ยาอีกพวกคือยาปฏิชีวนะ
    กรณีที่เคยเห็น เป็นกรณีของคนที่มีความรู้ เข้าinternetและเข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์ได้
    เชื้อโรคตัวปัญหาคือเชื้อ S.Aureus
    เชื้อนี้มีตั้งแต่กลุ่มเชื่องๆ ไปจนถึงกลุ่มร้ายกาจ
    กลุ่มเชื่องๆ ใช้ยาแก้อักเสบcloxacillin ราคาเม็ดละ2บาท กินวันละ10บาท หาย
    กลุ่มเริ่มดุ ใช้ยาที่แพงขึ้น ฉีดวันละร้อยกว่าๆก็เอาอยู่
    กลุ่มดุ ที่มีชื่อว่าMRSA ดื้อยาทั่วๆไปเกลี้ยง มียาที่ได้ผลคือยา Vancomycin
    กรณีนี้คนที่มีเรื่อง ต้องการให้นำยาVancomycinมาใช้ทันทีเพราะเขาไปเปิดดูชาร์ทคนไข้เตียงข้างๆพบว่าคนไข้เตียงข้างๆติดเชื้อนี้ ส่วนญาติของเขาเป็นหนองที่ขา ซึ่งเขากลัวว่าญาติของเขาจะติดเชื้อนี้จึงต้องการให้เอายาราคาแพงมาใช้ทันทีเพราะว่าเขาเบิกได้(ไม่ได้จ่ายเองน่ะแหละ)
    ทางหมอไม่ได้เปลี่ยนให้เนื่องจากว่า ยาVancoนี้ มีคุณสมบัติคือ จัดการเชื้อให้เป็นอัมพาต แต่ไม่ฆ่าเชื้อ การฆ่าเชื้อต้องรอร่างกายจัดการเอง..... รวมไปทั้งเชื้อที่เพาะขึ้นจากผู้ป่วยก็เป็นเชื้อธรรมดา ใช้ยาเม็ดละสองบาทก็พอแล้ว(ยาแบบราคาถูกฆ่าเชื้อไปเลยไม่รอร่างกาย)


    5. ยาชื่อนี้ คือยาแก้โรคนี้ เท่านั้น
    ยาหลายตัว พูดชื่อก็รู้ว่าใช้รักษาอาการอะไร
    เช่นยาParacetamol พูดมาก็รู้ว่าใช้แก้ปวด ยาAmoxy ทุกคนก็รู้ว่าใช้ฆ่าเชื้อโรค

    แต่ยาอีกหลายตัวไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    ยาที่ผมเคยกล่าวถึงคือยาที่ใช้แก้พิษของการฆ่าตัวตายด้วยการกินยาParacetamol......... ตามปกติใช้ในการละลายเสมหะ แต่ก็มีที่ใช้ในการต้านพิษยาPara
    ยาที่ใช้ในการรักษาโรคมาลาเรียหรือไข้จับสั่นไข้ป่าบ้านเรา สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเองได้
    ยาPethidine ที่ใช้แก้ปวดอย่างแรงในเวลาเจ็บครรภ์(และอื่นๆ) นำมาใช้ในการแก้อาการสั่นอย่างรุนแรง

    ผมเคยต้องนั่งเถียงให้แม่ที่ปวดคลอดก่อนกำหนดเข้าใจว่ายาที่เธอได้อยู่เป็นยาลดการบีบตัวก่อนเวลาของมดลูก(ที่กำลังจะทำให้เธอคลอดลูกก่อนกำหนด) ซึ่งเธอเคยเห็นชื่อยานี้เนื่องจากเป็นโรคหอบที่ต้องให้ยาตัวนี้เหมือนกัน
    อาจารย์ท่านนึง ต้องเถียงแม่เด็กหลังจากให้ยาเพื่อแก้อาการฉี่รดที่นอน แต่เมื่อไปหาเภสัชกรแล้ว เธอก็ต้องโกรธหมอมากเมื่อเภสัชบอกว่าลูกเธอกำลังใช้ยารักษาโรคจิต
    หรือผมเองเมื่อไม่นานนี้ ก็ได้จ่ายยาแก้แพ้แบบง่วงให้คนที่มาด้วยเรื่องนอนไม่ค่อยหลับ... พอไปถึง เภสัชกรบอกว่าหมอไม่ได้จ่ายยานอนหลับให้ ให้ไปขอยานอนหลับจากหมอ... พอถึงตอนนั้นผมก็อธิบายเหมือนกับก่อนหน้านั้นว่ายาที่ให้ก็เป็นยาแก้แพ้ชนิดง่วงมาก แต่ผู้ป่วยไม่เชื่อ บอกว่าผมโกหกและต้องการยานอนหลับต่อ

    6. ห้ามฉีดยาตอนมีประจำเดือน
    ตอนแรกความเชื่อนี้ ผมยังติดค้างเอาไว้ เพราะว่ายังไม่มีข้อมูลมากพอ แต่หลังจากเวลาผ่านไป1เดือน ผมได้ลองสอบถามดูจากคนไข้บางคนที่มาตรวจรักษาครับ ถามทั้งเด็ก กลางคน ชรา ก็แปลกใจบ้างที่ว่ามีความเข้าใจเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย
    โดนหมากัด จะฉีดบาดทะยักพิษสุนัขบ้า ก็ไม่ให้ฉีด
    โดนตะปู จะฉีดบาดทะยักก็ไม่ให้ฉีด
    เมื่อถามว่าทำไมก็บอกว่าโบราณห้ามไว้....(อยากถามว่าโบราณแค่ไหนที่มีเข็มฉีดยาใช้ แต่ก็ไม่กล้า)
    เหตุผลที่ให้ต่างๆกันไปครับ กลัวกันไปต่างๆนาๆ
    อันดับ 1 กลัวไข้ทับระดู... ซึ้งปวดหัวมาก เพราะว่าคำว่าไข้ทับระดูในภาษาชาวบ้านนั้นแยกได้เป็นความหมายที่กว้างมาก บางครั้งยายกับแม่กับลูกมาพร้อมกัน ต่างก็มีความหมายของคำว่าไข้ทับระดูไม่ตรงกัน... แต่โดยรวมก็คือ อาการครั่นเนื้อครั่นตัวไม่สบายปวดท้อง ไปจนถึงการมีไข้จริงๆที่วัดได้ และอาจรวมไปถึงการติดเชื้อในอวัยวะสืบพันธุ์
    อันนี้อยากบอกว่าไม่จริงครับ แต่ก็ปวดหัวกลับมาอยู่ดี เพราะว่ายาที่มักจะยัดเยียดให้คนไข้ฉีดทั้งหลายมักเป็นพวกบาดทะยัก ซึ่งหมอมักต้องกึ่งบังคับให้ฉีดเพราะว่าถ้าเป็นแล้วถึงตาย.... ส่วนผลข้างเคียงของวัคซีนบาดทะยักคือ.. ปวดกล้ามเนื้อ...(ชาวบ้านทั่วไปก็จะบอกว่า นี่ไง ไข้ทับระดู)
    อันดับ 2 กลัวเลือดไหลไม่หยุด .... ซึ่งเวลาโดนฉีดไปแล้วก็ไม่เห็นว่าจะไหลไม่หยุดสักที
    อันดับ 3 กลัวเป็นหนองใน หรือติดเอดส์...(อืม มันไม่ติดหรอกครับ)

    ผมขอสรุปว่า ไม่แตกต่างครับ ถ้าฉีดอย่างถูกวิธี

    7. ยาหมดอายุที่1เดือน
    ผมไม่ทราบว่าเป็นความเชื่อทั่วไปหรือเป็นเฉพาะพื้นที่นี้
    เรื่องมีอยู่ว่าผมกำลังตรวจคนไข้อยู่ในห้องฉุกเฉินช่วงเย็น ก็มีคนเดินเข้ามา บอกว่าไม่สบาย เป็นหวัด จะมาขอยาฆ่าเชื้อ
    ว่าแล้วเขาก็หยิบยาขึ้นมาแผงนึงบอกว่าได้ไปเมื่อเดือนก่อน กินไปสามวันหายแล้วก็เลยเก็บอีกแผงไว้ .. นี่ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วเป็นอีกก็จะมาขอยาเดิม

    ผมก็บอกไปว่าเดี๋ยวจ่ายยาไปแผงเดียวแล้วกันเพราะยังมีแผงเดิมที่ได้จากโรงพยาบาล... เขาก็แกะยาออกจากซองแล้วเทลงถังขยะตรงข้างๆทันที ทั้งยาฆ่าเชื้อและยาแก้ปวดยาขับเสมหะ (ราคารวมตามร้านขายยาคือ70-80บาท)แล้วก็สั่งให้ผมจ่ายยาให้เต็มจำนวน
    เรื่องแบบนี้เกิดบ่อยในจังหวัดที่ผมอยู่ครับ สอบถามไปจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม
    กลุ่มแรกเป็นคนที่ใช้สิทธิ30บาทอย่างไร้จิตสำนึก คิดแค่ว่าจ่าย30บาทแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ ส่วนนี้มีกว่าครึ่ง
    กลุ่มที่สอง มีความเชื่อว่ายาที่ได้มาจะหมออายุที่1เดือน ส่วนที่ซองยามีเขียนว่าหมดอายุปีหน้า เป็นการเขียนหลอกให้เก็บยาไว้กินต่อนานๆ

    ที่จริงแล้วโดยทั่วไป ยาจะมีอายุราว5ปีหลังจากผลิต หากเก็บรักษาอย่างถูกวิธี
    ยาบางอย่างเก็บได้นานกว่านั้น บางอย่างได้น้อยกว่านั้น
    ในโรงพยาบาล จะมีเภสัชกรที่คอยคุบเรื่องยาอยู่ หากพบว่ายาใดใกล้หมดอายุ ก็จะสัลบสับเปลี่ยนยานั้นไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงที่ใช้ยานั้นมากกว่า และก่อนจ่ายยาจะต้องเผื่อเวลาไว้ว่าคนไข้ต้องกินยานั้นหมดก่อนยาหมดอายุจริงสัก6เดือนถึง1ปีอยู่แล้ว

    8. ถ้ากินยาแล้วไม่หาย แปลว่าหมอให้ยามาผิด
    เป็นความเชื่อที่เจอได้บ่อยในการทำงานจริง อย่างเช่นบางครั้งคนไข้มาตอนเช้า กลับไปกินยาไปเม็ดนึงไม่หาย กลับมาอีก กินยาไปอีกเม็ดก็ไม่หาย ตอนเย็นก็กลับมาโรงพยาบาลอีก
    โรคหลายโรค เป็นโรคที่ต้องใช้เวลาในการรักษา....บางโรคเป็นโรคแห่งความเสื่อม สิ่งที่เสียไปแล้วร่างกายเราเอากลับมาไม่ได้
    บางโรคปล่อยตัวให้เป็นมานาน การจะควบคุมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
    เป็นโรคกระเพาะมา1ปี เป็นทุกวัน การกินยาเม็ดเดียวก็คงไม่หายได้....
    เป็นโรคถุงลมโป่งพอง เตือนแล้วก็ยังไม่หยุดสูบบุหรี่ การกินยาฉีดยาพ่นยาก็คงไม่ดีขึ้น

    คนไข้อายุ30กว่าๆ เป็นโรคกระเพาะมาหลายปี ที่หัวกระดาษหลายแผ่นระบุไว้ว่าเคยมารักษาหลายครั้ง มีปัญหาเรื่องกินยากลุ่มสเตียรอยด์และNSAIDs(แก้ปวดเมื่อยทั้งหลาย) รวมทั้งเมื่อได้ยาไปก็ไม่ยอมกินโดยบอกว่ารสชาติไม่ดี
    เมื่อมาตรวจก็ได้บ่นว่าหมอคนก่อนๆที่รักษาว่าจัดยาไม่ถูก ...... ที่ว่าจัดยาไม่ถูกก็คือ กินแล้วรู้สึกว่าไม่หายทันที ก็เลยไม่กิน สู้ยาที่แกกินอยู่เดิมไม่ได้ กินแล้วหายปวดเป็นปลิดทิ้ง

    ผมก็พยายามอธิบายเท่าที่ทำได้ แต่ไม่รู้แกจะรู้ตัวแค่ไหนว่าเจ้ายาวิเศษที่แกซื้อมากินเองนั่นแหละเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะ

    9. ท้องเสียต้องกินยาให้หยุดถ่าย จึงแปลว่าหาย
    หลายครั้งจะมีคนไข้มาด้วยเรื่อง ท้องเสีย จะมาขอยาแก้ท้องเสีย
    พอได้ไปก็จะเบ้หน้าว่า ให้มาผิดตัว สิ่งที่ต้องการไม่ใช่น้ำเกลือซอง หรือยาฆ่าเชื้อเม็ดๆ แต่ต้องการยาหยุดถ่าย....

    ที่จริงท้องเสียส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการการให้ยาฆ่าเชื้อเลย เพราะว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียธรรมดาเป็นส่วนมาก
    แต่ที่เป็นปัญหาก็คือกลุ่มโรคที่เวลาติดเชื้อแล้วมีการลามไปทำลายลำไส้หรือติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดต่างหาก
    กลไกการถ่ายเป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันตัวจากการลุกลามของเชื้อ เพราะจะคอยสลัดเชื้อให้หลุดออกไปเสมอ ไม่ให้เข้าทำลายลำไส้ได้ง่ายสะดวกดายนัก

    สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ ให้น้ำเกลือ ทดแทนเกลือแร่ที่เสียไป..... และเมื่อเสียไปทางตูด ก็ต้องกินเข้าไปถ้ายังมีแรงกินได้
    ต่อมาก็คือพิจารณาว่าจะให้ยาฆ่าเชื้อไหม ซึ่งโดยส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องให้
    ส่วนการให้ยาหยุดถ่ายต้องพิจารณาเป็นกรณีไปว่ามีโอกาสเกิดการติดเชื้อรุนแรงหรือไม่ หากไม่มีข้อห้าม หมอก็จะสั่งให้
    แต่ถ้ามีข้อห้ามหมอก็จะไม่สั่ง

    แต่ในชีวิตที่เจอมา ในที่สุดเมื่อออกไปคนเหล่านี้ก็จะไม่เชื่อและไปซื้อตามร้านขายยาและกลับมาโรงพยาบาลด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง

    10. เวลาจะบอกว่ากินยาอะไร ให้เอายามาให้ดู
    สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่เม็ดยาครับ แต่เป็นซองยา
    เพราะว่าเม็ดยานั้น เมื่อลงไปดูกันจริงๆ เราแยกกันได้ยากหากไม่บอกว่าคนไข้เป็นโรคอะไร ไม่ว่าคุณจะจบทางสายอาชีพเภสัชมาโดยตรงหรือไม่ก็ตาม
    การนำตัวยามาตัวเดียว หมอและเภสัชบอกไม่ได้ว่าเป็นยาอะไรหรอกครับ
    นี่ก็รวมทั้งการไม่เอายาตัวนึงไปใส่ในซองอื่น ซึ่งผมเจอมาสดๆร้อนๆ
    คุณป้าเอายามาให้แล้วบอกว่าหมอสั่งตัวนี้ให้กินสองเดือน ผมก็พาซื่อเติมยาให้อีกเดือนนึงตามชื่อยาที่ปรากฎ เนื่องจากชนิดยาและอาการกับการรักษาไปกันได้(เรียกว่าถ้าเดิมไม่สั่งอยู่ก็จะสั่งให้อยู่ดี)
    แต่ปรากฎว่ามันเป็นอีกตัวนึง ซึ่งทางห้องยาจำได้ว่ายาตัวนี้ ไม่มีรูปร่างอย่างนี้ในโรงพยาบาล.... ทั้งที่ป้าแกก็ยืนยันว่ารับยาจากโรงพยาบาล ซักไปมาจึงรู้ว่าแกเก็บเอาไว้ในซองของอีกตัวยานึง....

    และนี่ก็เป็นส่วนเล็กๆอีกส่วนที่อยากนำเสนอครับ
    ปล. อย่ากินยาผิดนะครับ
    หมอแมว

    http://www.mthai.com/webboard/7/102497.html
    http://www.mthai.com/webboard/7/115332.html
     
  2. jit_jai

    jit_jai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +57
    เจอ คำถามแบบนี้เหมือนกัน .......
     

แชร์หน้านี้

Loading...