๑๔พ.ยวันพระบิดาแห่งฝนหลวง๕๑ปีธ เป็นดั่งฝนดับไฟ

ในห้อง 'ข่าวในพระราชสำนัก' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 14 พฤศจิกายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    ๑๔พ.ย'วันพระบิดาแห่งฝนหลวง'๕๑ปี'ธ เป็นดั่งฝนดับไฟ'

    14 พ.ย..."วันพระบิดาแห่งฝนหลวง"


    51 ปี..."ธ เป็นดั่งฝนดับไฟ"


    [​IMG]

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    นับจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2498 ที่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ได้เสด็จพระราชดำ เนินไปทรงเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงพบว่าราษฎรได้รับความทุกข์ร้อนจากปัญ หาน้ำท่วม และ "ฝนแล้ง" จึงก่อเกิดแนวพระราชดำริในการแก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของราษฎร ทรงตรัสขึ้นในช่วงขณะนั้นตอนหนึ่งว่า.....
    "เมื่อมีน้ำ น้ำก็มากไป เมื่อน้ำลดก็แห้งแล้ง เมื่อฝนตกน้ำท่วมบ่าลงมาจากภูเขา เพราะไม่มีสิ่งใดหยุดเอาไว้ ต้องสร้างเขื่อนเล็กๆ ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาจะช่วยให้กระแสน้ำค่อยไหลอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก สิ่งนี้จะแก้ปัญหาแห้งแล้งได้"
    และเมื่อพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูท้องฟ้า ทรงพบว่าท้องฟ้ามีเมฆมาก แต่เมฆเหล่านั้นถูกพัดผ่านพื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เมฆเหล่านั้นรวมตัวตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น และทรงบันทึกไว้ว่าความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของ....."โครงการฝนหลวง"!!!
    ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอคณะรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทย เชิดชูพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะทรงเป็น....."พระบิดาแห่งฝนหลวง"!!!
    และรัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็น "วันพระบิดาแห่งฝนหลวง" เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงเป็นนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวงด้วยความทุ่มเทและเสียสละ เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของพสกนิกรไทยจากภัยแล้ง
    ทั้งนี้ เนื่องจากปี 2549 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี การจัดงาน "วันพระบิดาแห่งฝนหลวง" จึงมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เพื่อเผยแพร่พระอัจฉริย ภาพและพระปรีชาสามารถ ตลอดจนพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระองค์ ที่ทรงมุ่งมั่นในการประ ดิษฐ์ คิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีฝนหลวง ซึ่งได้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อแผ่นดินไทย ตั้งแต่เริ่มต้นการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรกในปี 2512 เป็นต้นมา จนทรงประสบผล สำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้น เกิดเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีฝนหลวงพระราชทานให้เป็นหลักการและกระบวนการขั้นตอนการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนในปี 2516 และมิได้ทรงหยุดยั้ง ทรงพัฒนาเทคนิคเพื่อให้การประยุกต์เทคโนโลยีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้นตลอดมา จนถึงปัจจุบันฝนหลวงมีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานถึง 51 ปี ซึ่งเป็นปีที่ 60 แห่งรัชกาล
    ในปีนี้ "วันพระบิดาแห่งฝนหลวง" ได้กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน ตั้ง แต่เวลา 09.00-17.00 น. ณ ท่าอากาศยานหัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดให้เข้าชม "ฟรี" นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย "สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร" ได้จัดนิทรรศการนำเสนอผ่าน Multimedia สมบูรณ์แบบทั้ง แสง สี เสียง และภาพ มีเทคนิคการจัดนิทรรศการในระ ดับเดียวกับการจัดงานนิทรรศการครองสิริราชสมบัติ 60 ปี ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา โดยเสนอเนื้อหาที่ถ่ายทอดถึงแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และเรื่องราวในการทรงงานโครงการฝนหลวง แบ่งออกเป็น 9 โซน ดังนี้..... ​

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    "โซนที่ 1"....."พระราชดำริริเริ่ม"
    14 พฤศจิกายน 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์จากนคร พนมไปกาฬสินธุ์ ทรงพบสภาพความแห้งแล้งของภูมิประเทศแถบนั้น พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูท้องฟ้า และทรงพบว่าท้องฟ้ามีเมฆ ซึ่งน่าจะทำฝนได้ แนวพระราชดำรินี้เป็นจุดเริ่มต้นของ "โครง การฝนหลวง" ในเวลาต่อมา
    "โซนที่ 2"....."เฉลิมพระเกียรติพระบิดาฝนหลวง"
    ห้องที่จัดฉายภาพที่ใช้เทคโนโลยี Magic Vision ภาพยนตร์เสมือนจริงบอกเล่าเรื่องราวการคิดค้นเทคโนโลยีฝนหลวง เพื่อสนองพระราชดำริของ "ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล" โดยผู้เล่าเป็นนักวิชา การจากสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ที่จะนำผู้ชมไปสัมผัสบรรยากาศการทดลองทำฝนหลวงบนท้องฟ้าครั้งแรก เมื่อ 20 กรกฎาคม 2512 จนทำให้พสกนิกรชาวไทยได้รับความชุ่มชื่นจากโครงการพระราชดำริฝนหลวงตราบจนถึงทุกวันนี้
    "โซนที่ 3"....."ปวงประเทศพร้อมใจยกย่อง"
    เป็นส่วนการแสดงพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับฝนหลวง เป็นที่เผยแพร่ทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ ทำให้ผู้แทนของรัฐบาล นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญ ในสาขานี้จากทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ต่างก็สนใจ มีทั้งที่เดินทางเข้ามาขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในไทย และขอให้ผู้เชี่ยวชาญไทยเดินทางไปในประเทศของตนเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้ก็มี
    "โซนที่ 4"....."พระอัจฉริยภาพนำทางดุจเทียนส่อง"
    แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้านการพัฒนาเทคโน โลยีฝนหลวง และโปรดเกล้าฯพระราชทานให้เป็น "ตำราฝนหลวงพระราชทาน" ตั้งแต่วันที่ 1 มีนา คม 2542 เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติการฝนหลวงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
    "โซนที่ 5"....."พระเกียรติก้องระบือไกล"
    เป็นห้องโถงแสดงภาพรางวัลและสิทธิบัตรต่างๆ ที่นานาชาติได้ทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียวของโลก ที่ได้รับการชื่นชมพระอัจฉริยภาพที่ทรงศึกษาค้นคว้าจนทรงเอาชนะธรรมชาติได้ ​

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    "โซนที่ 6"....."ธ เป็นดั่งฝนดับไฟ"
    จัดจำลองบรรยากาศป่าที่แห้งแล้ง โดยแสดงถึงสภาวะภัยแล้งเมื่อปี 2541-2542 ซึ่งเกิดไฟป่าและพื้นที่เกษตรกรรมขาดแคลนน้ำ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดส่งคณะปฏิบัติการฝนหลวงกู้ภัยแล้งไปตั้งฐานปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษจนกู้วิกฤติได้สำเร็จ ฯลฯ
    "โซนที่ 7"....."เป็นแรงใจสร้างฝนล้นไหลหลั่ง"
    ประกอบด้วยเทคนิค Magic Vision แสดงภาพการประชุมวางแผนปฏิบัติการทำฝนหลวงในพื้นที่แห้งแล้งของคณะปฏิบัติการฝนหลวง เมื่อนักบินเดินไปขึ้นเครื่องบิน และแสดงปฏิบัติการทำฝนรวมถึงกระบวนการที่ฝนตกลงมา
    "โซนที่ 8"....."ดั่งน้ำทิพย์พร่างพรายคลายทุกข์เข็ญ"
    แสดงรายละเอียดการบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
    "โซนที่ 9"....."เย็นศิระเพราะพระบริบาล"
    แสดงภาพของความชุ่มฉ่ำจากสายฝนที่โปรยปรายลงมาฝนหลวง นำความร่มเย็นมาสู่ประชา ชนทั่วทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
    การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่ประชาชนชาวไทยจะได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติ และร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นนักประดิษฐ์และคิดค้นโครงการฝนหลวง อันเปรียบประดุจ.....
    "น้ำทิพย์คลายทุกข์เข็ญ"!!!
    แก่ปวงชนชาวไทย จวบถึงปัจจุบันนับเนื่องได้ 51 ปี ​



    ที่มา:หนังสือพิมพ์แนวหน้า
    http://www.naewna.com/news.asp?ID=35351#news
     

แชร์หน้านี้

Loading...