ติดตามสถานะการณ์

Clima Extremo 24


คอสตาริกา



ในชั่วโมงแรก ๆ ของเมื่อวานวันที่ 20 มกราคมภูเขาไฟRincón de la Vieja ปะทุก้อนหินร้อนระอุ


องค์กร Volcanes sin Fronteras รายงานการระเบิดครั้งใหม่ที่ภูเขาไฟRincón de la Vieja เมื่อวานนี้โดยผู้ที่ครบกำหนดเมื่อ 1:30 น. เวลาท้องถิ่น วันอาทิตย์นี้ภูเขาไฟRincón de la Vieja โยนก้อนหินออกมา


วันอาทิตย์นี้เวลา 1:30 น. เวลาท้องถิ่นมีการบันทึกการระเบิดซึ่งมีผู้ได้ยินไปไกบ มากกว่า 8 กม. ในชุมชน Gavilán และ Buenos Aires ของ Upala


หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านรายงานจากGavilánทางออกของก้อนหินซึ่งในขณะที่มีการสังเกตในรูปถ่ายหลายรูปสอดคล้องกับ pyroclastic เมตริกหินพุ่งออกมาในรูปแบบ ballistic ซึ่งถึง 500 เมตรระยะทางและอาจเกิน 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (42 m / s)


เมื่อเวลาประมาณ 2:15 น. มีการสร้างลาฮาร์ซึ่งเปลี่ยนสีของลำธาร Azufrada และแม่น้ำPénjamoซึ่งเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีเทาขุ่นด้วยกลิ่นกำมะถันหิน ที่มีความสูงถึง 40 ซม. ซึ่งทำให้เกิด เสียงที่ดังมาก ในขณะที่มันล่องไปและเพิ่มขึ้นอย่างมากในระดับของแหล่งน้ำ


ในกรณีของแม่น้ำPénjamoระดับเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เมตรโดยฉับพลันและช่องทางขยายมากกว่า 6 เมตรในแต่ละระยะขอบ


ในทางกลับกันในแม่น้ำNiñoของ Upala (15 กม. จากภูเขาไฟ) มันเปลี่ยนเป็นสีเทาและเพิ่มความเป็นกรดด้วยกลิ่นกำมะถัน เป็นที่สังเกตอีกครั้งถึงการตายของสัตว์น้ำ เช่น Pseudothelphusidae ตระกูล (ปูน้ำจืด) และปลาในตระกูล Chacaridae (ปลาซาร์ดีน) ด้วยดวงตา และเหงือก ที่ถูกเผาไหม้ โดยไม่มีเกล็ดและผิวหนังถูกเผาบางส่วน


ในระยะขอบของแม่น้ำที่ได้รับผลกระทบ ที่แตกต่างกันเราสามารถสังเกตเห็นโคลนสีเทาและชั้นสีเหลืองซึ่งเป็นกรดมาก (pH = 1) ตามนักภูเขาไฟวิทยาขององค์กร บอก


เจ้าหน้าที่ของคอสตาริกาแจ้งเตือนว่ามีการปะทุที่ทรงพลังซึ่งลงทะเบียนเมื่อวานนี้ที่ภูเขาไฟรินคอนเดอลาเวียทางตะวันตกเฉียงเหนือของคอสตาริกาซึ่งขว้างก้อนหินและการไหลของตะกอนและน้ำที่เรียกว่าลาฮาร์


ขั้นตอนที่รุนแรงที่สุดของการระเบิดของภูเขาไฟตั้งอยู่ 179 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงเหนือของ San Joséกินเวลานานห้านาทีในตอนเช้าซึ่งมันปล่อยกระแส lahar ไปยังแม่น้ำในพื้นที่


การแจ้งเตือนการปะทุที่ออกโดยหอสังเกตการณ์ภูเขาไฟและแผ่นดินไหวของคอสตาริกา (Ovsicori) นำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการเทศบาลฉุกเฉิน เพื่อติดตามสถานการณ์และรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นรัฐบาลกล่าวในแถลงการณ์ Alexander Solis ประธานบริหารของ คณะกรรมการสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ (CNE) เรียกร้องให้เพื่อนบ้านเฝ้าระวังช่องทางของแม่น้ำและลำธารก่อนที่การเคลื่อนไหวที่เป็นไปได้ของวัตถุภูเขาไฟที่มีต่อชุมชนใกล้กับยักษ์ใหญ่ (ภูเขาไฟ)


"ไม่มีรายงานการตกของเถ้าถ่าน แต่ lahar ในแม่น้ำPénjamoและลำธาร Azufrada" Solís ที่ไปยังพื้นที่Rincón de la Vieja เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยคณะกรรมการเหตุฉุกเฉินในท้องถิ่นและประเมินการกระทำที่เป็นไปได้ ในเชิงป้องกัน El Rincón de la Vieja เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีการใช้งานมากที่สุดในคอสตาริกา และตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ

 

Clima Extremo 24

แอฟริกาใต้

เกิดเพลิงไหม้ที่ไม่สามารถควบคุมได้ใน Hartenbos Heuwels ประเทศแอฟริกาใต้วันนี้ 21 มกราคม

บ้านสองหลังถูกทำลายและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงคนหนึ่งบาดเจ็บ ในตอนนี้ไม่มีการอพยพออกไป "

 

Clima Extremo 24

แอฟริกาใต้

ไฟป่าใน Mossel Bay, Hartenbos Heuwels, แอฟริกาใต้วันนี้

ไฟถูกกระจายไปตามสายลม บ้านสองหลังถูกอพยพออกไปแล้ว ก็ถูกทำลาย บ้านอื่นถูกคุกคามด้วยไฟไหม้ ไม่มีการอพยพประชาชน แต่พวกเขาออกจากบ้านเพราะกลัวไฟที่คุกคามพื้นที่

 

Clima Extremo 24

แอฟริกาใต้

ภาพอื่น ๆ ของไฟที่คุกคามนิคม Hartenbos, Hartenbos Heuwels, แอฟริกาใต้ในช่วงบ่ายของวันนี้

ไฟที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นคุกคามบ้าน โดยกระจายไปตามสายลม ซึ่งบ้านสองหลังได้รับผลกระทบไปแล้ว

 

Clima Extremo 24

แอฟริกาใต้

พายุโซนร้อนเดสมอนด์เป็นพายุแรกที่อยู่ใกล้กับมาดากัสการ์ และโมซัมบิก

เดสมอนด์คาดว่าจะสัมผัสแผ่นดินในโมซัมบิก ในวันอังคารที่ 22 มกราคม ตามเวลาในแอฟริกา

พายุโซนร้อนเดสมอนด์กำลังสัมผัสโลกว่าเป็นพายุโซนร้อนที่ไม่รุนแรง ปละมีแนวโน้มว่าฝนตามชายฝั่ง และจะขยายตัวไปยังแผ่นดิน

มีแนวโน้มว่าพายุจะสลายตัวหลังจากลงขึ้นฝั่งไม่นาน

ขณะนี้พายุมีความรุนแรงปานกลาง โดยมีลมกระโชกแรง 100 กม. / ชม. โดยจะมีพายุเขตร้อนต่ำอื่น ๆ ที่ก่อตัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของมาดากัสการ์ ซึ่งคาดว่าจะข้ามเกาะและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่องแคบโมซัมบิกในสัปดาห์หน้า

มีการออกคำเตือนพายุไซโคลนให้กับประชาชนในประเทศโมซัมบิก ซึ่งทอดยาวไปตามชายฝั่งจาก Beira ถึง Nacala และผู้อยู่อาศัยได้รับคำเตือน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเงื่อนไขที่รวมถึงคลื่นทะเลที่จะสูง 2 ถึง 4 เมตร และอันตรายน้ำท่วมชายฝั่งและภัยคุกคามจากน้ำท่วมภายในประเทศ

 

Clima Extremo 24

แอฟริกาใต้

พายุโซนร้อน Desmond ที่กระทบชายฝั่งของ Beira วันนี้ พร้อมกับลมกระโชกแรง ในแอฟริกาใต้ในบ่ายวันนี้

 

Clima Extremo 24

แอฟริกาใต้

อีกวิดีโอของพายุโซนร้อนเดสมอนด์ที่กำลังเข้าสู่ชายฝั่งของโมซัมบิกด้วยลมแรง ในบ่ายวันนี้ วันที่ 21 มกราคม

 

Clima Extremo 24

อิหร่าน

อิหร่านประกาศ: เราพร้อมแล้วสำหรับสงครามที่จะนำไปสู่การทำลายล้างอิสราเอล

กองทัพอิหร่านพร้อมที่จะทำสงครามเพื่อ "การหายไปของอิสราเอล" หัวหน้ากองทัพอากาศอิหร่านกล่าวเมื่อวันที่ 21 มกราคม

โครงสร้างพื้นฐานของสนามบินดามัสกัส ประเทศซีเรีย ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากเหตุการโจมตีด้วยระเบิดจาก อิสราเอล

มีรายงานว่ามีทหารเสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีก 6 ราย จากซีเรีย จากเหตุระเบิดอิสราเอล

พลเรือน 11 คนถูกสังหารโดยการทิ้งระเบิดของอิสราเอลไปยังซีเรีย

การป้องกันของกองทัพอากาศในซีเรียทำลายขีปนาวุธข้ามเรือ และระเบิดอิสราเอลกว่า 30 ลูก

 

Clima Extremo 24

อัฟริกา

การโจมตีทางทะเล (พวยน้ำ) ที่ Lake Bunyonyi ใน Kabale, Uganda วันนี้, 21 มกราคม

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


06.59 น. 22 ม.ค. 62 แผ่นดินไหวในทะเล ขนาด 6.0 ความลึก 10 กม. บริเวณ Sumba Region ประเทศอินโดนีเซีย ห่างจากไทย 2,600 กม. ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย ศภช./ปภ.

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 21) หมอปราเสริฐ-ลูกสาว ลาออกจากบอร์ดโรงพยาบาลกรุงเทพ และ บางกอกแอร์เวยส์ พร้อมสู้คดี : ความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังจากกรณี ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ และลูกสาวได้สร้างราคาหุ้นสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ ล่าสุดทั้ง 2 ได้ประกาศลาออกจากการเป็นผู้บริหารรวมไปถึงลาออกจากบอร์ดผู้บริหารด้วย

บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS และ บมจ. การบินกรุงเทพ หรือ BA ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ และ ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ได้ขอลาออกจากการเป็นบอร์ดและการเป็นผู้บริหารของบริษัททั้ง 2 หลังจากกรณีที่ได้กระทำความผิดฝ่าฝืน พรบ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น BA ในช่วงปี 2558-2559

ดังนั้นเพื่อเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี บุคคลทั้งสองท่านจึงขอลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวข้างต้น มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2562 โดยบอร์ดผู้บริหารของทั้ง 2 บริษัทเตรียมที่จะแต่งตั้งผู้บริหารมาแทน นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย ขณะเดียวกันทั้งปราเสริฐและปรมาภรณ์ ยืนยันว่าพร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อไป

ขณะเดียวกันสำหรับมุมมองของ Credit Suisse มองว่าเหตุการณ์นี้จะเหมือนกับกรณีของ บมจ. ซีพีออลล์ และกรณีของ บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ ที่ผู้บริหารของบริษัทมีปัญหาในเรื่องของธรรมาภิบาลบริษัท ทำให้หุ้นของทั้ง 2 บริษัทลดลงประมาณ 12% ถึง 13% ในช่วง 1 เดือนที่เกิดกรณีนี้ขึ้น แต่สำหรับกรณีของ BDMS นั้นคาดว่าอาจลดลงประมาณ 10% ถึง 15% และราคาสามารถฟื้นตัวได้เร็ว นอกจากนี้ยังคาดว่าการลาออกจะไม่กระทบกับการบริหารแต่อย่างใด

ล่าสุดราคาหุ้น BDMS ได้ลดลงไป 6.78% ส่วนราคาหุ้น BA ลดลงไป 6.35% ในการซื้อขายภาคเช้า

โดย Wattanapong Jaiwat

Source: Brandinside.asia
https://brandinside.asia/doctor-pra...pJcn4dADrzVQsrAx8I7r7OUvajTR7wpSVjBipijRlr6AY

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 21) จีดีพีจีนปีที่แล้วขยายตัว 6.6% ชะลอตัวที่สุดในรอบ 28 ปี: สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% ถือเป็นการชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2533 ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนออกรายงานเมื่อวันจันทร์ เกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาสที่ 4 หรือไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ขยายตัวที่อัตรา 6.4% แม้ลดลง 0.1% จากไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกันซึ่งจีดีพีเติบโตที่อัตรา 6.5% แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเมื่อคำนวณรวมอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศตลอดทั้งปีที่แล้วปรากฏว่าขยายตัวที่ระดับ 6.6% ลดลง 0.1% จากสถิติของปี 2560 ซึ่งจีดีพีเติบโตที่ระดับ 6.7% ขณะเดียวกันยังถือเป็นการชะลอตัวของจีดีพีมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งเศรษฐกิจของจีนในตอนนั้นขยายตัวที่ระดับเพียง 3.9% โดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าเป็นสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมืองที่จัตุรัสเทียนอันเหมินซึ่งเกิดขึ้น 1 ปีก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบรรยากาศทางเศรษฐกิจของจีนเผชิญกับแรงเสียดทานอย่างหนักจากภายนอก นั่นคือกรณีพิพาททางการค้ากับสหรัฐที่ลุกลามให้กลายเป็นปัญหาระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของรัฐบาลวอชิงตันอีกหลายประเทศ โดยสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดเมื่อปีที่แล้ว จากการที่สหรัฐและจีนต่างกำหนดแลพเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าสำคัญตอบโต้กัน จนกระทั่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เห็นชอบร่วมกันระหว่างการหารือนอกรอบการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 แห่ง "จี20" ที่กรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา "สงบศึกการค้า 90 วัน" ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ปีที่แล้ว.

Source: เดลินิวส์ออนไลน์
https://www.dailynews.co.th/foreign/688910

- China's 2018 growth slows to 28-year low, more stimulus seen
https://www.reuters.com/article/us-...6v3aiBDAE8iM6JdbiO8-t_IGvmH6pz-lNMDjOUUJDwgmA

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 21) ส่งออกไทยเดือน ธ.ค. หดตัวต่อเนื่องที่ -1.72%YOY รวมทั้งปี 2018 ขยายตัวที่ 6.7%YOY : มูลค่าการส่งออกไทยเดือน ธ.ค. 2018 หดตัวที่ -1.72%YOY หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่2 จากเดือน พ.ย. 2018 ที่หดตัว -0.95%YOY

- มูลค่าการส่งออกทองคำขยายตัว 20.9%YOY ตามการขยายตัวที่สูงในตลาดสวิตเซอร์แลนด์ อีกทั้งบางตลาดในเอเชีย เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง ทั้งนี้หากหักสินค้าทองคำ พบว่ามูลค่าส่งออกหดตัวที่ -2.1%YOY ขณะที่ในปี 2018 มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ที่ 6.7% ต่อปี และหากหักสินค้าทองคำ จะขยายตัวที่ 4% ต่อปี

- สินค้าหลักที่มีการหดตัว ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (-13.5%YOY) ยางพาราและผลิตภัณฑ์ (-8.4%YOY) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-22.8%YOY) ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ (-25.8%YOY) เครื่องใช้ไฟฟ้า (-1.7%YOY) และข้าว (-5.5%YOY) ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่หดตัวนั้น มีสาเหตุหลักจากราคายางพารา เดือนธันวาคมที่ปรับตัวลดลง -9.5%YOY ขณะที่ราคาของข้าวส่งออกไทยมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เสียตลาดให้แก่คู่แข่งผู้ส่งออกข้าว เช่น อินเดีย เวียดนาม และกัมพูชา

- ด้านมิติของการส่งออกรายประเทศ พบว่ามีการหดตัวในหลายตลาดสำคัญ ได้แก่ การส่งออกไปยังตลาดจีน (-7.3%YOY) ยุโรป (-5.0%YOY) ซีแอลเอ็มวี (-4.2%YOY) เกาหลีใต้ (-9.1%YOY) ไต้หวัน (-9.0%YOY) อินเดีย (-12.9%YOY) ออสเตรเลีย (-7.6%YOY) ตะวันออกกลาง (-16.0%YOY) และแอฟริกา (-5.9%YOY) ขณะที่มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 0.6%YOY โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญคือ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์พลาสติก นอกจากนี้ การส่งออกไปยังญี่ปุ่น และอาเซียน-5 ยังสามารถขยายตัวได้ที่ 2.7%YOY และ 8.0%YOY ตามลำดับ

• ภาพรวมการส่งออกสินค้าของไทยที่ปรับตัวลดลงสอดคล้องกับหลายประเทศในภูมิภาค โดยจากรูปที่ 1 แสดงอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกไทย (Year on year growth) ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังปี 2018 มีการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกในหลายประเทศในเอเชีย นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกในเดือนธันวาคม บางประเทศในกลุ่มข้างต้นมีการหดตัวครั้งแรกในรอบหลายปี ได้แก่ สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยหดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี 2 เดือน และ 5 ปี 11 เดือนตามลำดับ

• สินค้าส่งออกไทยหลายรายการยังคงได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกที่ถูกตั้งเก็บภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯ ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (แผงโซลาร์) และเครื่องซักผ้า-เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ ซึ่งเดือนธันวาคม มีการหดตัวในตลาดสหรัฐฯ ที่ -91.1%YOY และ -26.6%YOY ตามลำดับ หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ทำให้มูลค่าการส่งออกของสินค้ากลุ่มดังกล่าวในภาพรวมทุกตลาดหดตัวที่ -52.2%YOY และ -6.4%YOY ตามลำดับ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกของสินค้าดังกล่าวไปยังตลาดสหรัฐฯ ทั้งปี 2018 หดตัวที่ -72.8% และ -51.1% ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าส่งออกเหล็ก-เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ในตลาดสหรัฐฯ ที่ 12.9%YOY และ 75.0%YOY และในภาพรวมทุกตลาดส่งออกของสินค้าดังกล่าวยังขยายตัวได้ที่ 3.6%YOY และ 7.8%YOY ตามลำดับ

• สินค้าส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ผ่านห่วงโซ่อุปทาน ยังคงมีการหดตัวต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังจีนในหมวดแผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบซึ่งคาดว่าบางส่วนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าจีนที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯ มีการหดตัวที่ -9.8%YOY และ -42.1%YOY ตามลำดับ อย่างไรก็ดี สินค้าประเภทเม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ เช่นกัน ยังคงสามารถขยายตัวได้ดีที่ 10.7%YOY และ 45.5%YOY ตามลำดับ

• มูลค่าการนำเข้าหดตัวที่ -8.15%YOY พลิกหดตัวจากการเติบโตที่ 14.7%YOY ในเดือนก่อนหน้า นำโดยหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปหดตัว -20.9%YOY อย่างไรก็ดี ตัวเลขหดตัวดังกล่าวมาจากการหดตัวของการนำเข้าทองคำเป็นสำคัญ โดยในเดือนธันวาคม มูลค่าการนำเข้าทองคำหดตัวมากถึง -82.2%YOY ทำให้หากหักสินค้าทองคำ การนำเข้าสินค้าหมวดวัตถุดิบจะหดตัวเพียง -1.9%YOY และการนำเข้าในภาพรวมจะพลิกกลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.1%YOY นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าทุนก็มีการหดตัวเช่นกัน โดยหดตัวที่ -3.1%YOY และ -2.7%YOY ตามลำดับ ในส่วนของการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง มีการขยายตัวที่ 12.3%YOY ทั้งนี้ การนำเข้าปี 2018 เติบโตที่ 12.5% ต่อปี และหากหักสินค้าทองคำ จะขยายตัวที่ 13.0% ต่อปี

Implication:
- อีไอซีคาดการณ์อัตราเติบโตของการส่งออกไทยปี 2019 ให้ขยายตัวที่ 3.4% ชะลอลงจากปี 2018 เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวชะลอลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางทรงตัว ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปและเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญของไทย นอกจากนี้ สินค้าส่งออกไทยหลายกลุ่มยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าทั้งจากมาตรการที่ประกาศใช้ไปแล้วในปีก่อนหน้า และมาตรการเพิ่มเติมที่จะเริ่มใช้ในปีนี้ โดยยังต้องติดตามท่าทีของทางจีนและสหรัฐฯ ต่อข้อตกลงด้านสงครามการค้าซึ่งระหว่างนี้ยังอยู่ในช่วงของการเจรจา 90 วัน โดยจะหมดอายุในวันที่ 1 มีนาคม 2019 ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% สำหรับสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้เริ่มใช้มาตรการแล้วในเดือนกันยายน 2018 ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์การเจรจาล่าสุด พบว่าในระยะสั้น จีนมีท่าทีประนีประนอมในการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากทางสหรัฐฯ มากขึ้น อย่างไรก็ดี หากพิจารณาข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ต่อจีน ก็พบว่ามีแนวโน้มสูงที่จะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่น ข้อเรียกร้องด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตลาดภาคบริการและเกษตรกรรม เป็นต้น โดยอีไอซีประเมินว่า ทั้งสองฝ่ายน่าจะสามารถมีข้อตกลงได้ภายในครึ่งหลังของปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020

- อีไอซีประมาณการการเติบโตของการนำเข้าของไทยปี 2019 ขยายตัวที่ 3.6% ชะลอลงจากการขยายตัวที่ 12.5% ในปี 2018 จากแนวโน้มการชะลอตัวของการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออก ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางทรงตัว ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ดี อีไอซีคาดว่าสินค้านำเข้าประเภทสินค้าทุนและอุปโภคบริโภค จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามทิศทางการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนในประเทศ ทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ

โดย พนันดร อรุณีนิรมาน และ จิรายุ โพธิราช
https://www.scbeic.com/th/detail/product/5712

Source: Economic Intelligence Center (EIC)

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 21) บทความวิจัยเรื่อง Chasing Returns with High-Beta Stocks : ทฤษฎี Capital Asset Pricing Model (CAPM) เป็นทฤษฎีทางการเงินที่โด่งดัง และเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังกับความเสี่ยงของตลาด โดยความเสี่ยงนี้วัดได้จากค่าที่เรียกกันว่า Beta ในตลาดหลักทรัพย์ของหลาย ๆ ประเทศพบว่าหุ้นที่มี Beta หรือความเสี่ยงในการลงทุนต่ำ มักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าที่ทฤษฎี CAPM คาดไว้ และในทางตรงกันข้าม หุ้นที่มี beta สูง มักให้ผลตอบแทนที่ต่ำเกินควร ซึ่งปริศนา low beta anomaly นี้ได้กลายเป็นปริศนาสำหรับนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนทั่วโลกมาเป็นเวลานาน

งานวิจัยพบ low beta anomaly ในกองทุนรวมแบบเปิดของไทย (open-ended equity mutual funds) โดยคณะผู้วิจัยคาดว่าเป็นเพราะผู้จัดการกองทุนมักมีพฤติกรรมวิ่งไล่ตามผลตอบแทน (return chasing behavior) ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะผลการดำเนินงานของกองทุนมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของดัชนี หรือผู้จัดการกองทุนเองอาจมีข้อจำกัดในการลงทุนและบริหารความเสี่ยงของกองทุนในหลาย ๆ ด้าน

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า ผู้จัดการกองทุนมักเลือกระดับของ beta ในการลงทุนตามการไหลเข้าและออกของ fund flows แต่พฤติกรรมนี้ส่วนมากจะเป็นสำหรับกองทุนใหญ่ที่มีสิทธิพิเศษทางด้านภาษี และส่วนมากผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มี high beta มากกว่า low beta โดยกองทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นที่มี beta ที่ต่ำหรือสูงมาก ๆ มักให้ผลตอบแทนในอนาคตที่น้อยกว่ากองทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นที่มี beta ไม่สูงหรือต่ำเกินไปนัก
ท่านสามารถอ่านบทความวิจัยฉบับเต็มได้ที่ https://bit.ly/2VTz4En

โดย ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น และ ดร.คณิสร์ แสงโชติ

Source: PIER FB

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 21) ลุยหั่นภาษีครั้งใหญ่ หวังคืนชีพศก.จีน : เศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณขยายตัว อ่อนแรงในปีนี้ ทำให้ "จีน" ตัดสินใจเดินหน้ามาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "การหั่นภาษีแบบครอบคลุม"ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและภาคธุรกิจ เพื่อหวังรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ก่อนหน้านี้ หลิวคุน รัฐมนตรีคลังจีน เปิดเผยในที่ประชุมงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลางจีน (CEWC) เมื่อเดือน ธ.ค.ว่า มาตรการหั่นภาษีในปีนี้มีแนวโน้มสูงเกินวงเงินปีที่แล้วอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านหยวน (ราว 6 ล้านล้านบาท) โดยหนังสือพิมพ์ ไชน่า เดลี่ คาดการณ์ว่า ในปี 2019 วงเงินมาตรการดังกล่าวจะอยู่ที่ทั้งหมด 1.5-2 ล้านล้านหยวน (ราว 7-9 ล้านล้านบาท) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าจะมีการประกาศมาตรการหั่นภาษีในเดือน มี.ค.ระหว่างการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (เอ็นพีซี)

ทั้งนี้ มาตรการปรับลดภาษีของจีนจะดำเนินการควบคู่ไปกับการใช้นโยบายการเงินในเชิงผ่อนคลายยิ่งขึ้นของธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ซึ่งเริ่มเปิดเผยออกมาบ้างแล้ว เช่น การปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 1% เมื่อเดือน ม.ค.เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน

สำหรับมาตรการหั่นภาษีส่วนแรก มุ่งไปที่ "การลดภาระภาษีบุคคลธรรมดา"ด้วยการขยายการให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นการชั่วคราว ซึ่งเพิ่งเริ่มมีผลเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ครอบคลุมรายจ่าย 6 ด้านด้วยกัน คือ ค่าเล่าเรียนลูก ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อ ค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายแรง ค่าใช้จ่ายดูแล ผู้สูงอายุ ค่าดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน และค่าเช่าบ้าน โดยบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ ซิเคียวริตี้ส์ คาดการณ์ว่า การหักลดหย่อนดังกล่าวจะลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายลง 1.16 แสนล้านหยวน/ปี (ราว 5.43 แสนล้านบาท)

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ต.ค.จีนเพิ่งขยายช่วงรายได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีจาก 3,500 หยวน (ราว 1.6 หมื่นบาท) ไปอยู่ที่ 5,000 หยวน/เดือน (ราว 2.3 หมื่นบาท) หรือคิดเป็น 6 หมื่นหยวน/ปี (ราว 2.8 แสนบาท)

ด้านนิกเกอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า แม้ในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ภาษีเงินได้จะเป็นสัดส่วนสำคัญของภาษีทั้งหมดที่รัฐรีดรายได้เข้าคลัง แต่ในจีนนั้นคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ซึ่งจีนก็ยอมเฉือนเนื้อเพิ่ม เพราะหวังมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากกว่า

สำหรับ "การลดภาษีให้ภาคธุรกิจ"จีนเพิ่งประกาศแผนลดภาษีและให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในเดือนนี้ โดยบริษัทที่มีรายได้ไม่ถึง 1 ล้านหยวน (ราว 4.6 ล้านบาท) จะเสียภาษี 5% และเอกชนรายได้ระหว่าง 1-3 ล้านหยวน (ราว 4.6-14 ล้านบาท) จะเสียภาษี 10% ลดลงจากเดิมอยู่ที่ 25% ซึ่งธุรกิจ 95% จะเข้าเกณฑ์การปรับลดภาษีดังกล่าว ตามการรายงานของซินหัว

นอกจากนี้ รัฐบาลยังยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Micro Business) และผู้มีอาชีพอิสระที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 1 แสนหยวน (ราว 4.68 แสนบาท) ซึ่งขยายช่วงรายได้จากเกณฑ์เดิมอยู่ที่ 3 หมื่นหยวน (ราว 1.4 แสนบาท)

ทั้งนี้ มาตรการทั้งหมดข้างต้นสำหรับธุรกิจจะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปี และมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระภาษีได้ถึง 2 แสนล้านหยวน/ปี (ราว 9.36 แสนล้านบาท)

ขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังพิจารณาจะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งคิดเป็น 40% ของรายได้ภาษีทั้งหมดของจีน เพิ่มเติมอีกให้ธุรกิจหลายภาคส่วน จากเดิมที่เคยลดไปแล้วเมื่อเดือน พ.ค.ปี ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันธุรกิจเสียภาษีนี้ในอัตราแตกต่างกันไปตั้งแต่ 6% 10% หรือ 16% นอกจากนี้ จีนยังพิจารณาลดภาษีประกันสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในภาระรายจ่ายมหาศาลสำหรับบริษัทจีนด้วย

แม้การใช้แผนหั่นภาษีเพิ่มครั้งใหญ่จะยิ่งเท่ากับเฉือนเนื้อตัวเองจากแหล่งรายได้สำคัญ แต่ในวันที่จีนกำลังแย่และเสี่ยงต่อการเห็นจีดีพีโตช้าที่สุดในรอบกว่า 30 ปี การกระตุ้นครั้งนี้จึงอาจเป็นเดิมพันที่ต้องยอมเสี่ยงเพื่อปลุกชีพจรเศรษฐกิจมังกรขึ้นมาอีกครั้ง

ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

Source: Posttoday

- Tax cuts could be the 'front line' of China's fight against slowing growth, experts say
https://www.cnbc.com/2019/01/21/chi...nO_n_ys8rfm67arOqYxwbfmnvUlbgKpvIiGo6oweHY3RM

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 21) Update: กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน กังวลปัญหาสงครามการค้าและเศรษฐกิจยุโรปที่อ่อนแออาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงในระยะต่อไป: กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ International Monetary Fund (IMF) ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงสู่ระดับร้อยละ 3.5 และร้อยละ 3.6 ใน ปี 2019 และ ปี 2020 ตามลำดับ โดยเป็นการปรับลดลงจากการประมาณการเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2018 ที่คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.7 ในปี 2019 และ 2020 และเป็นปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน ของ IMF

การปรับลดประมาณการดังกล่าวเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงมากกว่าที่คาด ขณะที่โอกาสของการเกิดกรณี no-deal Brexit ที่ปรับสูงขึ้น และความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ถือเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับมุมมองทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด รวมถึงส่งผลให้ตลาดเงินมีความผันผวนมากขึ้น

การอ่อนแอลงของเศรษฐกิจยุโรปในช่วงที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศยุโรปได้รับผลกระทบจาก fuel emission standards รูปแบบใหม่ ที่ถูกนำมาบังคับใช้อุตสาหกรรมยานยนต์ และส่งผลกระทบต่อตัวเลขการส่งออกของเยอรมนี นอกจากนี้เศรษฐกิจยุโรปยังได้รับผลกระทบจากปัญหาแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอิตาลีและสหภาพยุโรปในประเด็นด้านงบประมาณขาดดุล

IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.8 ในปี 2018 สู่ร้อยละ 1.6 ในปี 2019 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถูกปรับลดลงจากร้อยละ 1.9 ในการประมาณการเมื่อเดือน ต.ค. 2018 ขณะที่เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาโดยรวม IMF คาดการณ์ว่า จะขยายตัวชะลอลงจากร้อยละ 4.7 ในปี 2018 สู่ร้อยละ 4.5 ในปี 2019 ซึ่งเป็นการปรับลดตัวเลขประมาณการลงร้อยละ 0.2 จากเมื่อเดือน ต.ค. 2018 โดย IMF ให้เหตุผลว่า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยภายนอก ทั้งปัญหาความตึงเครียดในประเด็นการค้าระหว่างประเทศ การปรับสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ เงินดอลลาร์ สรอ. ที่แข็งค่า กระแสเงินทุนไหลออก และราคาน้ำมันที่ผันผวน

ตัวเลขประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ IMF อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ จำเป็นต้องเตรียมแผนการรองรับสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงมากขึ้น โดย นาง Christine Lagarde (IMF Managing Director) กล่าวว่า หลังจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณขยายตัวต่ำลงกว่าที่คาด รวมถึงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยตนเพียงต้องการสื่อสารว่า โอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วจะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างแน่นอน และเรียกร้องให้ธนาคารกลางต่างๆ เตรียมพร้อมรับมือกับ “serious slowdown” ผ่านการสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งเพื่อรองรับต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

Source: BoTSS
******************
IMF หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.5% ปีนี้, 3.6% ปีหน้า : กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในวันนี้ ขณะที่เตือนว่ายังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ

ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6% ในปีหน้า โดยต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว

การดำเนินการของ IMF ในวันนี้ ถือเป็นการปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน
IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการขยายตัว 2.0% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า ส่วนกลุ่มประเทศเกิดใหม่ จะมีการขยายตัว 4.5% ในปีนี้ และ 4.9% ในปีหน้า

IMF เดือนว่า เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง ขณะที่เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลงมากกว่าคาด

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

- A Weakening Global Expansion Amid Growing Risks:https://blogs.imf.org/2019/01/21/a-...I80SOZT-NehQTedWa0ClDlujiGaxptsXZDNGrBUJsTobw

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 21) เยอรมนีเตรียมสกัด'หัวเว่ย' ร่วมตั้งเครือข่ายโทรคมนาคม : รัฐบาลเยอรมนีกำลังพิจารณาห้ามหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ของจีน มีส่วนร่วมในการติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคมรุ่นใหม่ บนพื้นฐานด้านความมั่นคงแห่งชาติ ถือเป็นการเดินตามรอยสหรัฐ และ ชาติพันธมิตรอื่นๆ

ที่ผ่านมา ตะวันตกบางประเทศได้ตัดสินใจ แบนหัวเว่ยไม่ให้เข้าตลาดโทรคมนาคมในประเทศ หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐ บรรยายสรุป กับบรรดาชาติพันธมิตรว่า หัวเว่ย เป็นบริษัท ที่ทำงานให้รัฐบาลจีน พร้อมทั้งเตือนว่า อุปกรณ์เครือข่ายของบริษัทแห่งนี้อาจมีประตูหลังที่สามารถใช้เป็นช่องทางใน การจารกรรมทางไซเบอร์ แม้ หัวเว่ย จะยืนกราน ปฏิเสธและบอกว่าความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีมูลความจริง

แฮนเดลสบลัทท์ หนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวัน ของเยอรมนี รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลเยอรมนี ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แองเกลา แมร์เคิล กำลังพิจารณายกระดับ ข้อบังคับด้านความมั่นคงที่เข้มงวดขึ้น รวมถึง แนวทางอื่นๆเพื่อกีดกันหัวเว่ยออกไป

แหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่กำลังหารือกันเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานด้าน ความมั่นคงที่หัวเว่ย ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ ซึ่งผลที่ตามมาคือบริษัทจีนถูกขัดขวางไม่ให้ เข้าร่วมในการวางเครือข่ายโทรคมนาคม

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารของกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี ที่ตอบคำถามของ คาทารินา โดรเก ส.ส.จากพรรคกรีนส์ พรรคฝ่ายค้าน ระบุว่า ยังไม่ได้บทสรุปเกี่ยวกับกระบวนการในการบรรลุมุมมองร่วมกันในมาตรการต่างๆที่เป็นรูปธรรมในเรื่องนี้

ยุโรป กลายเป็นสมรภูมิสำคญในการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลปักกิ่งและรัฐบาลวอชิงตัน ที่บรรดานักวิเคราะห์ต่างเห็น ตรงกันว่า อาจบ่อนทำลายเป้าหมายความเป็นหนึ่งด้านเทคโนโลยีในยุคทศวรรษที่ 21 ของสองชาติมหาอำนาจโลก

หัวเว่ย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยไล่ตาม โนเกียและอีริกสัน ขณะนี้กลายเป็นผู้นำในตลาดโลก ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่สหรัฐไม่เคยครองแชมป์มาก่อน ซึ่งเมื่อวันพุธ (16ม.ค.) ที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรสทั้งพรรค เดโมแครตและพรรครีพับลิกันร่วมกันเสนอร่างกฎหมายห้ามบริษัทอเมริกันจำหน่ายชิปและชิ้นส่วนไฮเทคให้แก่ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ แซดทีอี คอร์ป รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมของจีนรายอื่นๆ ที่ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรหรือกฎหมายควบคุมการส่งออกของสหรัฐ

ส่วนเมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ดอยช์ เทเลคอม แถลงว่าจะทบทวนยุทธศาสตร์ การทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหัวเว่ย ส่วนออเรนจ์ ของฝรั่งเศส ระบุจะไม่จ้างบริษัทจีนสร้าง เครือข่ายข่ายโทรคมนาคมยุคถัดไปในฝรั่งเศส สายสัมพันธ์ระหว่างชาติตะวันตกและจีนเริ่มตึงเครียดตามลำดับจากกรณีนางเมิ่ง หว่านโจว ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงิน (ซีเอฟโอ) ของหัวเว่ย และบุตรสาว ของผู้ก่อตั้งถูกจับที่เมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา เมื่อเดือนธันวาคมตามการร้องขอของสหรัฐ และเป็นไปได้ว่าจะถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปสหรัฐ

ด้านนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย ปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่บุตรสาวถูกทางการแคนาดาจับกุมตัว โดยยืนยันว่าบริษัทหัวเว่ย ไม่เคยได้รับคำร้อง ของจากรัฐบาลในการถ่ายโอนข้อมูลที่ละเมิดกฎระเบียบใดๆ

Source: กรุงเทพธุรกิจ

- Huawei could be banned from 5G in Germany: https://www.cnbc.com/2019/01/18/hua...-WDuwGfNebanMzEz27okpKlMmuJOFYabuC3tATW2talwU

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 22) Theresa May ปฎิเสธแนวคิดการจัดให้มีการลงประชามติ Brexit ขึ้นใหม่อีกครั้ง และยังคงยืนยันแนวทางการเจรจาแก้ไข Backstop ด้านเขตแดนบนเกาะไอร์แลนด์ เพื่อให้ร่างข้อตกลง Brexit ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรของสหราชอาณาจักร: นาง Theresa May นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรปฏิเสธแนวคิดการจัดให้มีการลงประชามติ Brexit ขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนสหราชอาณาจักร โดย นาง May ระบุว่า สหภาพยุโรปไม่น่าจะยินยอมให้มีการขยายระยะเวลาของ Article 50 ออกไป หากสหราชอาณาจักรยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนที่จะทำให้ร่างข้อตกลง Brexit ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และตนไม่เห็นด้วยกับการยุติการบังคับใช้ Article 50

นาง May กล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรสหราชอาณาจักร ถึงแนวทางที่จะนำมาปรับใช้เพื่อให้สภาเห็นชอบต่อร่างข้อตกลง Brexit ว่า 1) ตนจะมีความยืดหยุ่นและเปิดเผยมากขึ้นกับสภา 2) จะพยายามรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมและสิทธิของแรงงาน (ตามที่พรรค Labour ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านพยายามเรียกร้อง) และ 3) พยายามหาแนวทางแก้ไขปรับปรุงประเด็น Backstop บนเกาะไอร์แลนด์

ด้านนาย Michael Roth ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ระบุว่า สหภาพยุโรปพร้อมที่จะเจรจากับสหราชอาณาจักร แต่ต้องการ “clear signal” ในแนวทาง Brexit จากสหราชอาณาจักร พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรพิจารณาประเด็น Brexit ใหม่อีกครั้ง โดยแสดงความเห็นว่า การจัดการลงประชามติอีกครั้งเป็น “last hope”

ขณะที่นาง Helen McEntee รัฐมนตรีด้านกิจการยุโรปของไอร์แลนด์ ปฎิเสธแนวทางการเจรจาแบบทวิภาคีกับสหราชอาณาจักรในประเด็น Brexit รวมถึงปฎิเสธความเป็นไปได้ในการแก้ไขข้อตกลง Good Friday Agreement (GFA) หรือ Belfast Agreement ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ระบุถึงรูปแบบการปกครองภายในระหว่างสหราชอาณาจักรกับไอร์แลนด์เหนือ รวมถึงรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เพื่อหาทางออกให้กับประเด็นปัญหา Backstop

รัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรหลายท่านระบุถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดย นาย Richard Harrington รัฐมนตรีด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร ระบุว่า no-deal Brexit ไม่ควรเกิดขึ้น เนื่องจาก กรณีดังกล่าวจะเป็นหายนะ และตนพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่งทันทีหากรัฐบาลมีนโยบายที่ยอมให้กรณีดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของนาย Steve Brine รัฐมนตรีด้านสาธารณสุขที่ระบุว่า เป็นการยากที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปหาก นาง May ปล่อยให้เกิด no-deal Brexit ขึ้น

Source: BOTSS

เพิ่มเติม
- Theresa May makes last-ditch Brexit bid to win over UK lawmakers:
https://www.cnbc.com/2019/01/21/the...f_xWe-AN3ijxVJIKAUkVxVVxtR2xMdT78K9omPnG7p3Ao

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 22) ฝรั่งเศสปรับกูเกิล 50 ล้านยูโร เหตุละเมิดกฎคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว : สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคฝรั่งเศส ประกาศปรับบริษัทกูเกิล เป็นจำนวนเงิน 50 ล้านยูโร (57 ล้านดอลลาร์) เนื่องจากได้ละเมิดกฎคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของสหภาพยุโรป (EU)

วงเงิน 50 ล้านยูโรดังกล่าว ถือเป็นวงเงินสูงสุดที่ทางสำนักงานได้เคยสั่งปรับบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐ
เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสระบุว่า กูเกิลขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้ใช้งานเกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัทต่อข้อมูลส่วนตัว
ทั้งนี้ EU ประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR) ในเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่กฎหมายดังกล่าวถือเป็นการยกเครื่องกฎหมายข้อมูลส่วนตัวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 20 ปี

กฎหมาย GDPR ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้ดีขึ้น และทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 4% ของรายได้ทั่วโลกของบริษัทที่กระทำผิดกฎหมาย

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

- French watchdog slaps Google with $57 million fine under new EU law :
https://www.cnbc.com/2019/01/21/fre..._XD8r_8LezDpb4o9746MFRJULWDCy-VdiWamr_aqjPMn8

 

กลุ่มทหารเวเนฯก่อขบถพยายามโค่นอำนาจปธน.มาดูโร สุดท้ายโดนรวบ
เผยแพร่: 22 ม.ค. 2562 05:30 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รอยเตอร์ - รัฐบาลเวเนซุเอลาเผยในวันจันทร์(21ม.ค.) ได้ปราบปรามพวกทหารขบถกลุ่มหนึ่ง หลังกลุ่มคนเหล่านี้ได้ขโมยอาวุธและลักพาตัวเจ้าหน้าที่หลายคน พร้อมกับโพสต์วิดีโอทางสื่อสังคมออนไลน์เป็นภาพนายทหารยศจ่ารายหนึ่งเรียกร้องให้ประชาชนลลุกฮือโค่นอำนาจประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร

พวกเจ้าหน้าที่มากกว่า 20 คนโจมตีที่ค่ายของกองกำลังพิทักษ์ชาติแห่งหนึ่งในย่านโคติซาของกรุงการากัส ห่างจากทำเนียบประธานาธิบดีไปราวๆ 1 กิโลเมตร แต่รัฐบาลเผยว่าพวกเขาถูกต่อต้านอย่างหนักแน่น ขณะที่แหล่งข่าวเผยว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้นราวๆ 3.00น.(ตรงกับเมืองไทย 14.00น.)

ต่อมาพบเห็นผู้ประท้วงเผาถังขยะและรถยนต์อยู่ด้านนอกค่ายดังกล่าว หลังจากเจ้าหน้าที่ 25 นายถูกจับกุม ในสัญญาณความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลัง มาดูโร เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งสมัย 2 เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ในขณะที่รัฐบาลต่างทั่วโลกไม่รับรอง โดยระบุว่ามันมันไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แม้เหตุการณ์นี้บ่งชี้ถึงสัญญาณความไม่พอใจภายในกองทัพ แต่ดูเหมือนมันจะเกี่ยวข้องกับเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น ซึ่งมีศักยภาพเพียงเล็กน้อยในการใช้กำลังบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแแปลงภายในชาติเศรษฐกิจเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ขณะที่ประชาชนก็ประสบกับภาวะขาดแคลนอาหารและเวชภัณฑ์ยา

"กองทัพปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อลักษณะพฤติกรรมนี้ ซึ่งเกือบแน่นอนว่ามันมีแจงจูงใจคือผลประโยชน์ด้านมืดของพวกขวาจัด" รัฐบาลแถลงผ่านสื่อมวลชนแห่งรัฐ

มาดูโร เข้าพิธีสาบานตนเมื่อวันที่ 10 มกราคม ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่าความเป็นผู้นำของเขานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลังศึกเลือกตั้งปี 2018 ที่ถุกมองอย่างกว้างขวางว่ามีการโกงอย่างมโหฬาร ทำให้ประเทศต่างๆทั้วโลกไม่รับรองรัฐบาลของเขา

เหล่าแกนนำฝ่ายค้านและพวกผู้ขัดขืนที่หลบหนีอยู่ในต่างแดน เรียกร่องกองทัพหันไปจัดการกับ มาดูโร ความเคลื่อนไหวที่ประธานาธิบดีรายนี้ประณามว่าเป็นความพยายามยุยงก่อรัฐประหาร

ฮวน กุยโด ประธานรัฐสภาสภาที่ควบคุมโดยฝ่ายค้าน บอกว่าเหตุลุกฮือครั้งนี้เป็นสัญญาณความไม่พอใจของกองทัพ ขณะที่ทางสภาพเคยสัญญาว่ามอบคำรับประกันแก่พวกเจ้าหน้าที่ที่ช่วยจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แม้เขาบอกว่าไม่ต้องการเห็นกองทัพเข้ามามีเอี่ยวในความขัดแย้งภายในก็ตาม

"เราต้องการยืนเคียงข้างบุรุษที่อยู่ข้างประชาชน รัฐธรรมนูญและต่อต้านการแย่งชิงอำนาจ" เขาเขียนบนทวิตเตอร์

อย่างไรก็ตามศาลสูงฝักใฝ่รัฐบาลของเวเนซูเอลา พิพากษาในวันจันทร์(21ม.ค.) ว่าไม่รับรอง กุยโด ในฐานะประธานสภาและประกาศว่าการกระทำใดๆขององค์กรนี้ถือเป็นโมฆะ

กุยโด ซึ่งได้รับเลือกเป็นประธานสภาเมื่อวันที่ 5 มกราคม เผยว่าเขามีความตั้งใจแต่งตั้งประธาธิบดีรักษาการมาทำหน้าที่แทน มาดูโร หากว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ด้วยเป้าหมายคือยุบสภาและจัดการเลือดตั้งอย่างเสรีและยุติธรรม หลังจากรัฐสภาประกาศว่า มาดูโร คือผู้บุกรุกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว กระตุ้นให้ทางศาลสูงร้องขอให้สำนักงานอัยการหาข้อสรุปว่าพฤติกรรมของประธานรัฐสภารายนี้เข้าข่ายก่ออาชญากรรมหรือไม่

ในวิดีโอที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ พบเห็นกลุ่มนายทหารติดอาวุธในชุดสีมืดปรากฏตัวอยู่ที่ค่ายโคติซา โดยที่ผู้นำกลุ่มได้ปราศรัยกับกล้องและเรียกร้องชาวเวเนซุเอลาสนับสนุนการก่อขบถของพวกเขา

"พวกคุณทุกคนขอให้เราขึ้นสู่ท้องถนนเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ นี่ไงเราอยู่ที่นี่แล้ว เรามีทหารที่นี่ วันนี้ประชาชนจงออกมาสนับสนุนเรา" ชายในวิดีโอกล่าว โดยอ้างตัวเองว่าชื่อ หลุยซ์ บันเดรส

รัฐบาลบอกว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ยึดยานพาหนะ 2 คันจากสถานีตำรวจในเขตมาคาเรา ทางตะวันตกของกรุงการากัส จากนั้นก็ขับข้ามเมืองไปยังค่ายทหารในเขตปาตาเร ทางตะวันออกของเมืองหลวง โดยที่นี่เองที่พวกเขาลงมือขโมยอาวุธจากคลังแสงและลักพาตัวเจ้าหน้าที่ 4 คน

หลังจากโจมตีค่ายคอติซา กองกำลังด้านความมั่นคงก็เข้าล้อมกรอบพวกเขา แต่พวกชาวบ้านหลายสิบคนที่เข้าข้างเจ้าหน้าที่ขบถ ได้ปิดกั้นถนนและจุดไฟเผาขยะ พร้อมตะโกนว่า "อย่ามอบตัว" จนกระทั่งพวกทหารต้องยิงแก๊สน้ำตาเข้าสลายพวกเขา "ทหารมีสิทธิ์ลุกฮือ เราต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะตอนนั้นเราไม่มีน้ำหรือไฟฟ้าใช้แล้ว" ผู้ประท้วงรายหนึ่งกล่าว

สหรัฐฯและหลายชาติในละตินอเมริกา บอกว่ามาดูโรได้กลายเป็นเผด็จการแล้ว ในขณะที่ผู้นำรายนี้ล้มเหลวในด้านนโยบายต่างๆจนฉุดเวเนซุเอลาเข้าสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาก ด้วยอัตราเงินเฟ้อตอนนี้กำลังขยับเข้าใกล้ 2 ล้านเปอร์เซ็นต์แล้ว

https://mgronline.com/around/detail/9620000007338