เรื่องเด่น @.. บุพการีกับการสร้างบารมี ฯลฯ..@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 ธันวาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    วันนี้วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ "วันเปิดสามแดนโลกธาตุ" ตรงกับวันคล้ายวันละขันธ์ของคุณแม่ชีแพงศรี โลหิตดี (โยมมารดาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ตอนวาระสุดท้ายของโยมแม่ เราไปยืนอยู่หน้ากุฏิ กุฏิหลังเล็ก ๆ มีแต่ลูกหลานเฝ้าอยู่เต็มไปหมด โยมแม่ร่างกายอ่อนลง ๆ ๆ เราตั้งใจไปถามจริง ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า ‘เป็นอย่างไรล่ะโยมแม่ ดูอาการแม่นี้จะอยู่ได้ไม่นาน จิตใจแม่
    เป็นอย่างไร?’
    แม่พูดขึ้นทันทีเลยว่า ‘จิตใจแม่ดี จิตใจแม่สง่าผ่องใสตลอดเวลา ไม่วิตกวิจารณ์กับความเป็นความตายเลย’
    หลังจากนั้นมาได้สองวันหรือสามวันแม่ตื่นเช้าขึ้นมาบอกลูกๆ ว่า ‘เออ! แม่จะไม่พ้นวันนี้ แม่คงจะไปวันนี้แหละ’
    ตอนเช้าวันนั้นพอเวลา ๘ โมง ๔๕ นาที
    โยมแม่ก็เสีย ไปอย่างสงบเงียบเลย
    องค์หลวงตาได้ปรารภถึงโยมมารดาของท่านว่า..
    “...พูดถึงโยมแม่เราพอใจในการปฏิบัติธรรม โยมแม่ได้หลักไม่สงสัยเลย ดีไม่ดีจะไม่กลับมาเกิดอีกก็ได้ .. หยุดพักนี่แล้วออกจากนี่ก้าวผึงเลย ถึงไม่ถึงที่สุดในขณะ
    นั้นก็ก้าวเตรียมพร้อมแล้วที่จะพุ่ง ..โยมแม่เราไม่กลับมาเกิดแล้วล่ะ ไปนิพพานข้างหน้าเลย.. "
    #วันเปิดโลกธาตุ
    วันเปิดโลกธาตุเป็นงานบุญประจำปีที่สำคัญอีกงานหนึ่งของวัดป่าบ้านตาดและเป็นที่รู้จักกันในบรรดาลูกศิษย์ขององค์หลวงตาตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคมของทุกปีองค์หลวงตากล่าวถึงความเป็นมาของวันเปิดโลกธาตุดังนี้
    “โยมแม่ตายวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ..
    จึงเรียกว่า วันครบรอบ จากนั้นก็ถือโอกาสนั้น เอาโยมแม่เป็นต้นเหตุอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาทั่วแดนโลกธาตุในวันที่ ๓๐ เพราะฉะนั้นเขาถึงบอกว่าวันเปิดโลกธาตุ คือ เราเป็นคนพูดเอง โดยถือโยมแม่เป็นเหตุ แล้วบำเพ็ญกุศลแผ่เมตตาจิต อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุ ในวันที่ ๓๐ นี้”
    ด้วยเหตุนี้ งานบุญเปิดโลกธาตุจึงเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะได้มีโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว รวมทั้งเป็นการสร้างบุญกุศลเพื่อตนเองอีกด้วย และที่สำคัญยังเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุทั้ง
    กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ จะได้มีโอกาสมาร่วมอนุโมทนาบุญนี้โดยทั่วกัน
    สำหรับสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากไร้ญาติพี่น้องหรือมีญาติพี่น้องแต่ไม่เคยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้และอยู่ในวิสัยที่รับได้ก็จะมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลบุญจากผู้ร่วมบุญทั้งปวงซึ่งมีองค์หลวงตาพระอรหันต์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่เป็นผู้นำในการแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลผลบุญไปทั่วทุกภพภูมิโดยไม่มีประมาณ ดังนี้
    “...นั่นเห็นไหมล่ะกองบุญกองมหากุศลกองพะเนิน คนละเล็กละน้อย ๆ รวมกันมาแล้วบำเพ็ญมหากุศลเพื่อสัตว์โลก อุทิศส่วนกุศลแผ่กระจายไปในบรรดาพวกเปรตพวกผีไม่มีญาติมีวงศ์จะได้รับทั่วหน้ากัน เพราะอันนี้ แผ่กระจายไปเลย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าเป็นญาติเป็นวงศ์อะไร เป็นญาติด้วยกันหมดแล้วกระจาย จึงเรียกว่าทำบุญแผ่โลกธาตุ ..นี่ละกองไทยทานที่พี่น้องทั้งหลายบริจาครวบรวมกันบริจาคมานี่จะไปส่งไปทางวัดป่าบ้านตาด ไปหากองบุญใหญ่ทางนู้นวันที่ ๓๐ พฤษภาฯ ถือเอาวันโยมแม่เสียไป วันนั้นเป็นวันที่จะตั้งเมตตาจิต บริจาคอุทิศส่วนกุศลให้ถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่มีความจำเป็นทั่วหน้ากัน และทั่วโลกดินแดนด้วยนะ ผู้มีญาติมีวงศ์ก็ได้อาศัยญาติวงศ์ผ่านไป ๆ เป็นยุคเป็นคราวไป แต่ผู้ไม่มีก็เสวยกรรมไปเรื่อย ๆ ไม่มีญาติก็ไม่มีใครช่วยญาติเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ "
    :: ::::: #ประวัติคุณแม่ชีแพงศรี_โลหิตดี ::::: ::
    #โยมแม่ชมเชยการเทศน์
    เนื่องจากโยมแม่ขององค์หลวงตามิได้ฝึกหัดอ่านเขียนหนังสือมาเพราะสมัยก่อน การศึกษายังไม่เจริญดังเช่นปัจจุบัน จึงต้องอาศัยลูกหลานหรือนักปฏิบัติธรรมสตรีที่มาพักภาวนาที่วัดป่าบ้านตาดให้ช่วยอ่านหนังสือที่ท่านเป็นผู้เขียนให้ฟังทุกวัน ดังนี้
    “...เรื่องโยมแม่ .. คุณหญิงส่งศรี(เกตุสิงห์)
    หนึ่ง คุณเพาพงา (วรรธนะกุล) หนึ่ง เวลามาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดแล้วตอนบ่าย ๔ โมง จะผลัดกันมาอ่าน “หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น”ให้โยมแม่ฟังทุกวัน อ่านวันละชั่วโมง หรือ ๔๐กว่านาทีทุกวัน ๆ จนกระทั่งจบ
    เราเข้าครัวออกครัวก็อย่างที่เราเข้าอยู่นี่ โยมแม่โมโหแทนลูก เข้าออกอยู่อย่างนั้น พอไปที่ศาลา วันนั้น
    ไปธุระกับพระ ไม่ใช่ไปโดยลำพัง เราดูนั้นดูนี้
    อันนั้นไปด้วยมีกิจธุระ พอเห็นเราเข้าไปโยมแม่
    ปุบปับมาเลย ตอนนั้นไม่มีใคร ศาลาหลังเล็กๆ
    แม่มาก็มานั่งพักล่างพื้นดิน พักบนคือฟากไม้ไผ่
    สับไม้ไผ่ เราก็ขึ้นไปนั่งนั้น พอเรานั่งปั๊บแม่ก็ว่า
    ‘ให้แม่ชมเชยสักหน่อยนะ’
    ‘ชมเชยอะไรกัน? ทีตอนเป็นเด็กเป็นเล็ก
    ทั้งดุทั้งด่าทั้งเฆี่ยนทั้งตี เวลาโตมาแล้วมาชมเชย
    หาอะไร’ เราว่าอย่างนี้แหย่ แม่กับลูกแหย่กัน
    ทางแม่ก็ตอบดีนะ ‘โอ๋ย! เวลาเป็นเด็ก
    ก็เป็นอย่างหนึ่ง มันน่าเฆี่ยนน่าตีก็เฆี่ยนตีเอา
    บ้างแหละ ทีนี้เวลาโตมาแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
    แม่ชมเชยสักหน่อย เวลาแต่งหนังสือทำไมถึง
    ได้เลิศเลอหยดย้อยเอานักหนา แต่งหนังสือ
    ประวัติท่านอาจารย์มั่นนี้อ่านจบแล้ว แม่ซาบซึ้ง
    มาก บางทีน้ำตาร่วงเลย อัศจรรย์ธรรมพระพุทธเจ้า
    ก็อัศจรรย์ น้ำตาร่วงเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นด้วย
    ที่หลวงปู่มั่นท่านได้รู้ ได้เห็น ท่านดำเนินยังไง
    ก็อัศจรรย์ แล้วอัศจรรย์ผู้แต่งนี้ก็อัศจรรย์
    สำนวนนี้ทำไมถึงแต่งดิบแต่งดี’
    เราบอกว่า ‘ก็หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระองค์
    เลิศเลอก็แต่งเลิศเลอตามเรื่องของท่านทุกกิทุกกี
    ผู้แต่งไม่ได้เลิศอะไรนะ’
    ‘โอ๋ย! หลวงปู่มั่นเลิศเลอก็รู้ว่าเลิศเลอ
    ผู้แต่งนี่ก็แปลกๆ อยู่นะ ไม่มีอะไรๆ แต่งดีอย่างนี้
    ไม่ได้ แม่จึงขอชม’ ว่าอย่างนั้นนะ แล้วแม่ก็พูดว่า
    ‘จะให้ใครแต่งอย่างนี้แต่งไม่ได้นะ ทำไมถึงหยดถึงย้อยเหมือนไม่ได้เกิดในหัวอกของแม่เลยลูกคนนี้ ฟังตรงไหนไพเราะเพราะพริ้งตามกันไป ธรรมท่านก็เลิศ ผู้เขียนนี่ก็เลิศ ไม่งั้นเขียนไม่ได้’
    จากนั้นเราก็ถามแม่บ้างว่า ‘แล้วเป็นยังไงที่ขอเงินไปซื้อหนังสือมาเรียนมาแล้วมาแต่งหนังสือให้โยมแม่อ่าน แล้วเป็นยังไง มันคุ้มค่าไหม’
    ‘คุ้มมหาคุ้มลูกเอ๊ย...’ แม่ว่าอย่างนั้น
    เพราะตามธรรมดาพ่อกับแม่ไม่เคยชมลูก
    นิสัยพ่อแม่นี้กดตลอด การชมนี้ไม่เอา
    เราพูดถึงเรื่องหนังสือ เรื่องเอาจริงเอาจัง
    เงินของโยมพ่อโยมแม่ส่งไป เราไม่ยอมที่จะไปซื้อนั้นซื้อนี้มาใช้พิเศษของเจ้าของ ไม่เอานะ ต้องเพื่อหนังสือเท่านั้นๆ เราจริงจังมาก…
    #เริ่มเทศน์เพื่อคนป่วย
    ในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ สตรีซึ่งเป็นศิษย์องค์หลวงตาท่านหนึ่งชื่อคุณเพาพงา วรรธนะกุลได้ป่วยไข้ ไม่สบายจึงไม่คิดทำงานทางโลกอีกต่อไป
    คุณเพาพงาได้เขียนจดหมายขอมาปฏิบัติจิตตภาวนาเตรียมรับกับมรณภัยที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ตามที่ขอและตั้งใจไปแสดงธรรมเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
    “...คุณเพาเราเสีย(ชีวิต) ไปกี่ปีแล้วปี ๒๕๑๙-๒๕๒๐ ไม่รู้นะ เหตุที่ว่าอย่างนั้นก็คือว่า คุณเพานี้เป็นโรคมะเร็งในกระดูกข้าง ๆ นี้หมอเขาบอกว่าอยู่อย่างนานได้ ๖ เดือน แกก็หมดหวังแล้ว เลยเขียนจดหมายไปหาเราที่อุดรฯ
    หมอว่าอย่างนั้นแล้วเหมือนว่าหมดหวังละ เลยเขียนจดหมาย ‘อยากจะมาภาวนาก่อนตาย’
    เราก็พูดเป็นสองพักเอาไว้(ตอบจดหมาย)
    ‘ถ้าไปภาวนาธรรมดา ๆ นี้ อยากอยู่ที่ไหน ไปที่ใดไปก็ได้ ไม่ไปก็ไม่ว่า’ เราว่างั้นนะ
    ข้อสอง‘ถ้าตั้งใจจะภาวนาจริง ๆ เพื่อเห็นโทษแห่งความ
    ตายของตัวเองแล้วก็ เอา! ไปได้’
    เราว่าสองพัก พอแกได้รับจดหมายตอนเย็นวันนี้แกก็ออกเดินทางเลย ตอนเช้าไปถึงแล้ว ไปรถยนต์ ‘อ้าว จดหมายได้รับหรือยัง’
    ‘ได้รับเมื่อเย็นวานนี้ พอได้รับแล้วก็มาเลย’
    ‘เอ้า ถ้าอย่างนั้นให้เลือกเอา กุฏิที่อุไร ห้วยธารอยู่ กับกุฏิคุณหญิงก้อย สองหลังนี่ให้เลือกเอา เป็นที่สงัด จะพักหลังไหนก็ได้’
    ก็ตอบว่า ‘พักหลังคุณหญิงก้อย’
    แต่ก่อนมันเตี้ย ๆ พึ่งยกขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้...
    ตั้งแต่วันนั้นมาเราเข้าไปเทศน์ให้ฟังทุกวันนะ ดูเหมือนเป็นปี ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙เทศน์ให้ฟังทุกเย็น พอตกเย็นมาจวนมืดแล้วไปกับท่านปัญญา ท่านปัญญาเป็นผู้อัดเทป
    เราไปเทศน์ให้ฟังทุกเย็น ๆ เลย เว้นแต่วันไหน ประชุมพระ หรือเรามีธุระจำเป็นเราก็บอกล่วงหน้าเอาไว้ว่าวันพรุ่งนี้จะไม่เข้ามา
    นอกจากนั้นเทศน์ทุกวัน ๆ ดูเหมือน ๙๐ กว่ากัณฑ์ ไปอยู่
    นั้นตั้ง ๓ เดือน นั่นละจึงได้หนังสือเล่มที่ว่า
    “ศาสนาอยู่ที่ไหน” หนึ่ง
    “ธรรมะชุดเตรียมพร้อม” หนึ่ง
    สองเล่มนี่ที่เทศน์ติดกันไปเรื่อย ๆเป็นหนังสือสองเล่มนี้ก็อยู่ในย่านปี ๒๕๑๙ มั้งแกเสียปีนั้น เราลืม ๆ เสีย …”
    #โยมแม่ได้หลักใจฟังเทศน์ลูก
    ในช่วงที่ท่านเมตตาสงเคราะห์คนป่วยในคราวนี้เอง ทำให้โยมแม่ของท่านมีโอกาสฟังธรรมอย่างต่อเนื่องเกิดผลด้านจิตใจ ดังนี้
    “...โยมแม่ก็ได้มาฟังเทศน์ ไม่มากละเทศน์
    ก็ดูเหมือนประมาณสัก ๓๐ นาทีละมั้ง แต่ละกัณฑ์ ๆ ละ ๓๐ หรืออย่างมากก็ ๔๐ นาทีหากเทศน์ทุกวันเลย ... นี่ละที่เทศน์สอนคุณเพาพงา เทศน์ติดเทศน์ต่อ เทศน์ไม่หยุดไม่ถอย ตั้งแต่นั้นมาแล้วก็ไม่เคยเทศน์อย่างนั้นอีกนะ มีหนเดียวเท่านั้นในชีวิตของเราที่เทศน์ติดกันไปเลย ใน
    ๓ เดือนเทศน์ทุกคืน ๆ เว้นวันประชุมพระ ถ้าวันไหนประชุมอบรมพระไม่เข้า
    นอกจากนั้นเข้าหรือมีธุระจำเป็นที่จะไปไหนก็ไป
    โยมแม่จึงได้กำลังใจที่ไปเทศน์สอนคุณเพา
    โยมแม่ได้กำลังใจตอนนั้น ถึงขนาดที่ว่าพอคุณเพากลับไปแล้วก็พูดเปิดอกกับเรานิมนต์เราให้ไปเทศน์
    ‘วันไหนไม่มีแขกคนมา ถ้าอาจารย์ว่างก็ขอนิมนต์มาเทศน์
    สอนอบรมแม่บ้างนะ เวลาฟังเทศน์นี้ไม่ได้บังคับจิตใจ พอ
    เริ่มเทศน์จิตจ่อปั๊บเท่านี้เทศน์นี้จะกล่อมลง แล้วแน่วเลยไม่ต้องบังคับ จิตสงบได้ทุกครั้งเลยไม่มีพลาด
    ฟังกัณฑ์ไหนได้เหตุผลเลย ไม่ต้องบังคับ
    พอเสียงธรรมเริ่ม สติก็เริ่มจับจิตเกี่ยวโยงกันโดยลำดับ
    ความรู้กล่อมลง ๆ ธรรมเทศนากล่อมใจแน่วลง สงบแน่วๆๆ ถ้าแม่ทำโดยลำพังตนเองนั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง อยากนิมนต์อาจารย์มาเทศน์เป็นการช่วยทางด้านจิตตภาวนาได้ดี’
    นั่นละตั้งรากตั้งฐานได้แน่นอนก็ตรงนั้น
    แต่เราก็ไม่ได้ไป เพราะงานเราก็มีของเรา
    ก็ฟังเฉย ๆ ไม่ได้ไปตามนิมนต์ เพราะงานเรามาก
    นี่ละโยมแม่ตั้งหลักตั้งฐานจิตได้ตั้งแต่บัดนั้นมา
    พอฟังเทศน์จิตนี้ไม่ต้องบังคับ บอกเลย พอเริ่ม
    เทศน์เท่านี้จิตจ่อ สติลงที่จิตจ่อปั๊บเทศน์นี่ จะไหลเข้ามา นั่นฟังซิเทศน์จะไหลเข้ามาเพราะสติอยู่กับใจ
    มันก็เหมือนคนอยู่ในบ้าน แขกคนมาจากที่ไหน ๆ ก็รู้ว่าใครเป็นใครมา นอกจากไม่อยู่บ้านเสีย แขกมาขโมยมา โจรมาก็ไม่รู้เมื่ออยู่ในบ้านแล้วก็รู้
    อันนี้สติอยู่กับใจ
    พอเทศน์นี้ธรรมะก็ไหลเข้าไปเลย ธรรมะสัมผัสใจ สัมผัสติดสัมผัสต่อ จิตจ่อฟังมันก็แน่วลง ไม่ได้บังคับยาก
    บอกอย่างนั้นเลยนะโยมแม่พูด
    ‘เวลาฟังเทศน์นี่ไม่ได้บังคับเลย พอเริ่ม
    เทศน์จิตเริ่มจ่อปั๊บแล้วก็หมุนเข้าลงแน่ว
    บอกว่าทุกกัณฑ์ไม่เคยพลาด แม่จึงอยากให้อาจารย์มาเทศน์ เป็นการช่วยการภาวนาของแม่ได้ดี ดีกว่าที่บำเพ็ญภาวนาโดยลำพังตนเอง มันเคยอยู่อย่างนี้แหละ พอฟังเทศน์นี้ลงปั๊บ ๆ แต่ถ้าเราภาวนาโดยลำพังเราเองจะให้
    ลงอย่างนี้ นั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง มันต่างกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นการเทศน์นี้ จึงเป็นเครื่องกล่อมใจได้เป็น
    อย่างดี’
    ที่โยมแม่พูดก็ถูกต้อง คือเสียงเทศน์เสียงธรรมกับความรู้นี่มันรับกันเกี่ยวเนื่องกันโดยลำดับทีนี้ความรู้มันก็ไม่ส่ายแส่ไปรับที่ไหนได้มันรับแต่เสียงธรรมอย่างเดียว ๆ ติดต่อสืบเนื่อง ๆ แล้วลงโยมแม่พูดเองเลยและมีข้อแม้อันหนึ่ง ‘แต่ต้องเป็นเทศน์ของอาจารย์ เทศน์องค์อื่นแม่ไม่อยากฟัง ถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์ จิตมันไม่ลงนะจิต ถ้าเป็นเทศน์อาจารย์แล้วจิตมันลงได้ง่าย’
    ไปอย่างนั้นนะ ก็ตรงไปตรงมาเหมือนกัน
    ‘เวลานี้แม่หูสูงแล้วนะ’
    ทางนี้ก็จ่อเข้าไป ‘ระวังนะหูสูง เดี๋ยวมันจะเป็นหูหมานะ’
    ทางนั้นก็แว้ดขึ้นมาทันทีว่า ‘มันจะเป็นหูหมาได้อย่างไร นี่มันหูคน’
    ‘อ้าว มันก็เป็นตรงที่สูง ๆ นั่นแหละ’ เลยเงียบเลย สู้ลูกไม่ได้…
    จากนั้นก็พูดถึงเรื่องการเทศนาว่าการ
    ‘แม่ ก็เคยฟังมามากต่อมากแล้ว’ เพราะนิสัยโยมแม่เป็นคนชอบวัดแต่ไหนแต่ไรมา
    ‘ ท่านเทศนาว่าการอยู่นั้นก็ฟังไปธรรมดา ๆ ไม่ได้สะดุดใจ และไม่ค่อยเห็นผลในขณะที่ฟังเหมือนอาจารย์เทศน์ให้ฟัง เวลาอาจารย์เทศน์ไม่ได้ออกไปข้างนอกนะ
    ตามปริยัติท่านเทศน์เล่านิทานนั้นนิทานนี้ ไปเราก็ฟังไปเลย จิตมันไม่เข้า แต่เวลาอาจารย์เทศน์ ไม่เทศน์อย่างนั้น เทศน์ตีเข้ามา ๆ’
    เราก็ไม่เคยคิดว่าตีเข้ามายังไง แต่มันก็เป็นในหลักธรรมชาติของธรรมที่ตีตะล่อมจิตที่มันดีดมันดิ้นเข้ามา ๆ จนเป็นความสงบ ๆเทศน์ทีไรตีเข้ามาทั้งนั้นไม่ได้ออกข้างนอกเหมือนปริยัติทีนี้ตีเข้ามาหลายครั้งหลายหน
    จิตมันก็ลงสงบได้ ๆ ต่อไปมันก็สงบแน่วเลย
    พอเริ่มเทศน์ปั๊บมันก็เริ่มลงเลย นี่ละที่ว่าแม่หูสูงแล้วนะ เทศน์องค์อื่นไม่อยากฟังถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์
    นี่ละที่ว่าแม่ลงลูกก็คือแม่ของเราเองลงจริง ๆ ลงโดยหลักธรรมชาติทั้ง ๆ ที่เราเป็นลูกการบวชเรียนมาตั้งแต่เริ่มบวช การปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่ใด ศึกษาเล่าเรียนและ
    ปฏิบัติในป่าในเขา ได้รับความทุกข์ความทรมานขนาดไหนไม่เคยเล่าให้โยมแม่ฟังนะเพราะไม่เคยมีโอกาสที่จะไปพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูก ก็เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไปหมดเลย
    เพราะฉะนั้นเรื่องราวการบวชของเราโยมแม่จึงไม่ทราบ ดีไม่ดีคนอื่นทราบยิ่งกว่าโยมแม่เพราะไปก็ไปธรรมดา
    อย่างที่ว่าเข้าไปในครัว มีอะไรก็พูด จากนั้นไปเลย ที่จะไปพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูกนี้ไม่เคยมี ออกปฏิบัติไปอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่เคยเล่า ไม่เคยพูด ศึกษาเล่าเรียนเป็นยังไงการปฏิบัติธรรมเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ๆไม่เคยเล่านะ มีแต่ไปก็เทศน์อย่างนี้เลยจนกระทั่งตายจากกัน
    โยมแม่ไม่ทราบเรื่องราวของเรา เรื่องการออกปฏิบัติทราบตั้งแต่เวลาเราไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แม่เล่าให้ฟัง
    ‘โห พอได้ทราบว่าอาจารย์ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น จากศึกษาเล่าเรียนแล้วก็ไปอยู่ ทราบข่าวมาว่าอาจารย์ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แหม! แม่ดีใจจนขนลุกเลยพอทราบว่าไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เพราะเป็นพระที่เลิศเลออยู่แล้ว แม่เคารพนับถือมานานแล้ว ดีใจเอามาก’
    ส่วนเราที่บวชมาแล้วไปเล่าเรื่องราวของตัวเองที่บวชให้แม่ฟัง ไม่เคยมีไม่ว่าทางด้านปริยัติ ทางด้านปฏิบัติ หนักเบามากน้อยไม่เคยเล่า ตลอดจนแม่จากไป ไม่เคยเป็นเหมือนทั่ว ๆ ไป เราไม่เคยเล่า และไม่เคยพูดในฐานะแม่กับลูกเลย เป็นธรรมดาไปเลย ...
    โยมแม่เรียกเราว่า “มหา”
    ครั้นต่อมาค่อยเลื่อนชั้นขึ้น
    จนกระทั่งวาระสุดท้ายเรียกว่า
    “อาจารย์” โยมแม่ลงเราจริง ๆ นะ
    ‘เราก็พอใจที่ได้บวชโยมแม่’ ...”
    #สอนโยมแม่แม้วาระสุดท้าย
    องค์หลวงตาเมตตาเล่าเหตุการณ์ในวาระสุดท้ายของโยมแม่ ดังนี้
    “...บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูงๆ เอาจนเต็มเหนี่ยวตามสายทางแห่งธรรม บางทีมันก็เกี่ยวข้องกับตัวเอง ถึงกาลเวลาที่จะดับจะเป็นจะไป หรือจะเป็นจะตายอะไร มันก็ว่าของมันไปตามเรื่อง ด้วยหลักความเป็นจริงของธรรม
    โยมแม่ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้เลยเชียวว่า
    ‘โอ๊ย! แม่ไม่อยากได้ยินเลยอย่างนั้น คือมันเหมือน
    เป็นรูปเป็นภาพว่าลูกตาย’
    เราก็พูดสวนทันทีว่า ‘ไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน มันจะเป็นจะตายด้วยกันทุกคน อย่าไปหวั่นไหวภายนอกซิ เรื่องความเป็นความตายเป็นหินลับปัญญา ให้พินิจพิจารณาให้มันคล่องแคล่วในเรื่องความตายแล้วจะไม่กลัวตาย
    ที่พูดนี้ ไม่ได้พูดด้วยความกล้าความกลัวตายอะไรเลย พูดตามหลักความจริง แม่จะมาเสียใจทำไม’
    เราก็พูดอย่างนั้นโยมแม่ลงจริง ๆ
    บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูง ๆ เอาจนเต็มเหนี่ยว
    โยมแม่มีนิสัยใจนักบุญอยู่แล้ว ไม่เคยลดละเรื่องวัดเรื่องวา ไปฟังเทศน์ทุกวันพระเป็นประจำ เอาถึงไหนถึงกันมาตลอดตั้งแต่เรายังไม่บวช เวลาเราบวชแล้วยิ่งหนาแน่นเข้ามา ๆ จนกระทั่งได้ออกบวช มีความแน่นหนามั่นคงมากในใจตลอดมา…
    ตอนวาระสุดท้ายของโยมแม่ เราไปยืนอยู่หน้ากุฏิ กุฏิหลังเล็ก ๆ มีแต่ลูกหลานเฝ้าอยู่เต็มไปหมด โยมแม่ร่างกายอ่อนลง ๆ ๆ เราตั้งใจไปถามจริง ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า ‘เป็นอย่างไรล่ะโยมแม่ ดูอาการแม่นี้จะอยู่ได้ไม่นาน จิตใจแม่
    เป็นอย่างไร?’
    แม่พูดขึ้นทันทีเลยว่า ‘จิตใจแม่ดี จิตใจแม่สง่าผ่องใสตลอดเวลา ไม่วิตกวิจารณ์กับความเป็นความตายเลย’
    หลังจากนั้นมาได้สองวันหรือสามวันแม่ตื่นเช้าขึ้นมาบอกลูกๆ ว่า ‘เออ! แม่จะไม่พ้นวันนี้ แม่คงจะไปวันนี้แหละ’
    ตอนเช้าวันนั้นพอเวลา ๘ โมง ๔๕ นาที
    โยมแม่ก็เสีย ไปอย่างสงบเงียบเลย
    นี่แหละจิตเมื่อได้รับการอบรม จิตจะมีหลักยึด คือธรรมเป็นหลักยึดแล้วจะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวกับสิ่งของเงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์ สิ่งใดก็ตามที่เคยพัวพันกันมาด้วยความดีอกดีใจว่าเจ้าของมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ เวลาธรรมเข้าสู่ใจพลังของ
    ธรรมหรือคุณค่าของธรรมนี้จะครอบหมด ๆ
    สิ่งเหล่านั้นจะจางไป ๆ ๆ จิตเลยเข้ามาสู่ธรรม
    เมื่อเข้ามาสู่ธรรมแล้วก็หนุนกันอยู่นี้
    เย็นสบาย อะไรจะขาดจะเหลืออะไรจะหมดไปสิ้นไปไม่สนใจ อันนี้ไม่หมด สง่างามอยู่ภายในใจนี้ละเรียกว่า ใจเป็นธรรม ใจมีธรรมเป็นที่เกาะสบายอย่างนั้น
    เราไม่วิตกวิจารณ์สำหรับโยมแม่เสียไปแล้วบอกโยมแม่ชัดเจนว่า ‘โยมแม่ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์การเป็นการตาย ป่าช้าเผาศพโยมแม่อยู่หน้าศาลานะ ลูกเป็นเจ้าภาพทั้งหมดเป็นเจ้าของศพโยมแม่ ลูกจะจัดการทั้งหมดเลย’
    พอโยมแม่เสียแล้วเอาไปเผาที่หน้าศาลาอัฐิของโยมแม่ ลูกเขาจะแบ่งไปไหนก็ไม่ทราบหากว่าเหลือบ้างไปฝังที่ต้นโพธิ์บริเวณกลางวัดป่าบ้านตาดนั่นเอง
    จึงเป็นที่เชื่อได้ว่า โยมมารดาของท่านได้ประสบสุคโต นับว่าสมเจตนารมณ์ของท่านอย่างยิ่งที่ได้ทดแทนพระคุณโยมมารดาอย่างเต็มที่
    สมดังที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญไว้ว่า
    “ผู้ใดทำมารดาบิดาให้ตั้งอยู่ในคุณความดี มีศรัทธา ศีล ปัญญา เป็นต้น ผู้นั้นชื่อว่าได้สนองคุณท่านเต็มที่”
    โยมมารดาได้จากโลกนี้ ไปด้วยอาการอันสงบเมื่อมีอายุย่างเข้า ๙๓ ปี ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๕ และด้วยเหตุนี้เองในทุก ๆ ปีของวันที่ ๓๐ พฤษภาคม (วันทำบุญโยมมารดา หรือ วันทำบุญเปิดโลกธาตุ)
    องค์หลวงตาไม่เคยละเว้นและไม่ลืมที่จะทำบุญระลึกถึงพระคุณโยมมารดา สิ่งนี้ย่อมแสดงถึงความซาบซึ้งในบุญในคุณของโยมมารดาแบบไม่สร่างซา
    #บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกจากหนังสือ "ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์" ; พิมพ์เมื่อปี ๒๕๕๔ ; หน้า ๔๖๐ - ๔๖๕
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
    #เกร็ดธรรม(เสริมประวัติคุณแม่ชี)
    บทสนทนาของหลวงปู่หาสมัยหนุ่มกับแม่ชีสูงอายุวัดป่าบ้านตาด
    เมื่อองค์หลวงปู่เป็นพระกรรมฐานหนุ่ม(พระสมุห์หา สุภโร)เดินทางจากวัดบ้านคำคา จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อไปฟังธรรมจากพระอาจารย์มหาบัวในสมัยนั้น พอไปถึงวัดป่าบ้านตาด ปรากฏว่าพระอาจารย์มหาบัวท่านไม่อยู่จึงเดินสำรวจภายในวัด ก็ได้เจอแม่ชีสูงอายุกำลังตากกล้วยสุกในกระด้ง ท่านจึงถามว่า
    พระสมุห์หา ; แม่เอ๋ย มาบวชอยู่วัดป่าวัดดง ปรารถนา ทิพยสมบัติอันใด สวรรค์ชั้นไหนหนอ
    แม่ชี ; ลูกพระเอ้ย แม่ออกจากบ้านจากเรือน ออกทำความพากความเพียรภาวนา อย่าว่าแต่ทิพยสมบัติในสวรรค์นั้นเลย แม้แต่พรหมชั้นใดแม่ก็ไม่ได้ปรารถนาแม่มาปฏิบัติเพื่อละเพื่อทิ้งโลกนี้และโลกหน้า พรหมสมบัติ ทิพยสมบัติ สวรรค์สมบัติก็โลก แม่เพลิดแม่เพลินแม่ก็มาเกิดอีก เวียนตายเวียนเกิด ไม่จบไม่สิ้น แม่ไม่เพลิดเพลินในโลกทั้งที่เป็นมนุษย์ และเป็นทิพย์ ลูกพระก็เหมือนกันนะ ทำความเพียรนะลูก คนได้พระนิพพานมีเอนกคุณมากล้น ทิพยสมบัติ ทิพยพรหม จะได้เศษได้เสี้ยวอะไร
    หลวงปู่หาสอนพวกเราว่าได้ฟังธรรมวันนั้นเหมือนได้อริยะทรัพย์มหาศาล อย่าดูเบาผู้หญิง ในธรรมะไม่มีตัวผู้ตัวเมีย ไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่เพศสาวก หญิงก็สาวกชายก็สาวก สาวกแปลว่าผู้เชื่อผู้ฟัง ถ้าเชื่อถ้าฟังก็เรียกว่าเพศสาวก ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็เป็นสาวกะสังโฆ หญิงก็ดามชายก็ตาม ได้เหมือนกันหมด อย่าว่าตนเป็นลูกผู้หญิงผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายก็มีมากมาย ในธรรมะไม่เลือกหญิง เลือกชาย ปฏิบัติได้ก็ถึงธรรมได้ถ้วนหน้า อย่าน้อยอก น้อยใจว่าเป็นหญิงแล้วบวชไม่ได้ เป็นหญิงถ้าตั้งใจ ปฏิบัติก็พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน
    ภายหลังเมื่อเอารูปเก่า ๆ ในหนังสือองค์หลวงตาถวายให้ท่านดู ท่านก็ชี้ว่าเป็นแม่ชีคนนี้ แม่ชีสูงอายุวันนั้นคือคุณแม่แพงศรี โลหิตดี โยมมารดาองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน นั่นเอง
    *คัดลอกจากเพจหลวงปู่หา สุภโร วัดสักกะวัน จ.กาฬสินธุ์
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
    #อย่าดูเบาผู้หญิงในธรรมะไม่มีตัวผู้ตัวเมีย
    “...แม่ออกจากบ้านจากเรือน ออกทำความพากความเพียรภาวนา อย่าว่าแต่ทิพยสมบัติในสวรรค์นั้นเลย แม้แต่พรหมชั้นใด แม่ก็ไม่ได้ปรารถนา แม่มาปฏิบัติเพื่อละเพื่อทิ้งโลกนี้และโลกหน้า พรหมสมบัติ ทิพยสมบัติ สวรรค์สมบัติก็โลก แม่เพลิดแม่เพลินแม่ก็มาเกิดอีก เวียนตายเวียนเกิดไม่จบไม่สิ้น แม่ไม่เพลิดเพลินในโลกทั้งที่เป็นมนุษย์ และเป็นทิพย์ ลูกพระก็เหมือนกันนะ ทำความเพียรนะลูก คนได้พระนิพพานมีเอนกคุณมากล้น ทิพยสมบัติ ทิพยพรหม จะได้เศษได้เสี้ยวอะไร
    หลวงปู่ชอบสอนพวกเราว่าได้ฟังธรรมวันนั้นเหมือนได้อริยะทรัพย์มหาศาล อย่าดูเบาผู้หญิง ในธรรมะไม่มีตัวผู้ตัวเมีย ไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่เพศสาวก หญิงก็สาวกชายก็สาวก สาวกแปลว่าผู้เชื่อผู้ฟัง ถ้าเชื่อถ้าฟังก็เรียกว่าเพศสาวก ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็เป็นสาวกะสังโฆ หญิงก็ตามชายก็ตาม ได้เหมือนกันหมด อย่าว่าตนเป็นลูกผู้หญิง ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายก็มีมากมาย ในธรรมะไม่เลือกหญิงเลือกชาย ปฏิบัติได้ก็ถึงธรรมได้ถ้วนหน้า อย่าน้อยอกน้อยใจว่าเป็นหญิงแล้วบวชไม่ได้ เป็นหญิงถ้าตั้งใจ ปฏิบัติก็พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน..”
    ธรรมะคุณแม่ชีแพงศรี โลหิตดี
    วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
    กราบ กราบ กราบ
    _/\_ _/\_ _/\_
    =AZWPZGdjJW1fXJbxRcXlJhbPpmHAuhf7f8HW3fL_e118K87N9gSMNZRB9CcrWJNYrwHfPXoTWYbNgnp-uqBsTMDa5Y58C1Jrz9a1Lu-WdZgnXUTUP3EhexgStg3PjDfRh4LvXrC5BoHiMoGOhRb1o69bmuK1mfWruXZVyjPY6TjAZkRQC8FxofF2En0S5hEYCo0&__tn__=EH-R'] 0j2Qr6VRTcW1P7PCkPlAnTUcinPH8U1H5RKJKtnFDZ_&_nc_ohc=OwqA5VnRIIAAX99ee3j&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    หลวงปู่ดู่เคยเล่าให้ฟังว่า การระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ สามารถช่วยคุ้มครองป้องกันภัยแก่เราได้จริง ท่านว่า
    โยมผู้หนึ่งมาเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับประสบการณ์สมัยไปทำงานที่ต่างจังหวัดทางแถบอีสานว่า ปกติเขาเป็นคนไม่แขวนพระ แต่ก่อนนอนทุกคืน เขาจะกราบหมอนพร้อมกับระลึกถึงคุณของพ่อแม่ เขาก็ทำงานอยู่ที่นั่นอย่างปกติสุข
    กระทั่งเช้าวันหนึ่งที่ร้านกาแฟ มีคนแปลกหน้ามาทักเขาว่า คุณมีอะไรดี แขวนพระอะไรอยู่หรือ ?
    คนแปลกหน้าผู้นั้นบอกว่า เขาเป็นคนเล่นคุณไสย เขาตั้งใจทำของใส่คนแปลกถิ่น แต่สงสัยมากว่า ทำไมครั้งนี้จึงทำอะไรไม่ได้ เขาสารภาพอย่างเปิดเผยเพราะหวังจะขอดูของดี
    โยมท่านนั้นบอกว่า ตัวเขาไม่ได้พกวัตถุมงคลใดๆ เลย
    คนทำของก็ยิ่งงง แล้วถามต่อว่า ในเมื่อคุณไม่ได้แขวนพระหรือพกพาวัตถุมงคลใดๆ ติดตัว แล้วกิจวัตรในแต่ละวัน คุณทำอะไรบ้าง
    พอเล่ามาถึงกิจวัตรก่อนนอนที่ต้องกราบหมอนระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่
    คนทำของก็เลยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า อาจเป็นเพราะเรื่องนี้กระมังที่คุ้มครองชายแปลกถิ่นผู้นี้
    คนทำของจึงบอกว่า งั้นขอให้คืนนี้ คุณเว้นการทำกิจวัตรดังกล่าว หากของที่ผมทำส่งไปมีผล ผมจะเป็นผู้แก้ให้เอง ไม่ต้องห่วง เพราะผมเพียงต้องการรู้ความจริง ขอให้เราเป็นเพื่อนกัน
    และแล้วผลก็เป็นดังคาด คือคนทำของสามารถส่งของออกไปได้สำเร็จ แล้วก็ตามมาแก้ไขให้
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    pG2Tpm2d1qzkgq1bOjdJms_9Z_LvI5KV8b_eRjvgslgY&_nc_ohc=cfFTnahcfNYAX8BQ34K&_nc_ht=scontent.fbkk2-4.jpg
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    " เมื่อแม่แก่ตัวลง "
    เมื่อฉันแก่ตัวลงไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกซักนิด ถ้าฉันทำน้ำแกงหกใส่เสื้อตัวเองหรือถ้าฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนเธอเด็กๆที่ฉันสอนเธอหัดทำทุกอย่าง
    ถ้าฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ... ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำ ๆ จนเธอหลับ
    ถ้าฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลย ยังจำตอนที่เธอยังเล็ก ๆ ได้ไหมฉันยังทั้งกอดทั้งปลอบ เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำ
    ถ้าฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆโปรดอย่าหัวเราะเยะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทน ตอบคำถาม "ทำไม ทำไม" ทุกครั้งที่เธอถามฉันได้ไหม
    ถ้าฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน ตอนที่เธอยังเล็กๆ
    หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ โปรดให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉัน กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญ ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว
    ตอนนี้ถ้าเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉันสนับสนุนฉันให้เหมือนกับที่ฉันสนับสนุนเธอ ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตอนนั้น ฉันพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
    ตอนนี้ ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางของชีวิตโปรดให้ความรักและความอดทนต่อฉัน ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ สายตาอันฝ้าฟางของฉัน มีแต่ความรักอันหาที่สุดมิได้ ให้เธอ
    ขอบคุณภาพจาก: THAILAND "STATUS" NETWORK
    KhvzSg1n1vb_grfVbL-O1TZQ4hh4GfGNfFiUcoGx8OgU&_nc_ohc=sNaNy70-1YQAX8SX8lV&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    gPNvjrcKi71GspXfMVuLBlhoF0DaeGWum9YNLgbR99JQ&_nc_ohc=6NscrLATa_0AX9bvOGO&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    hd13cCRt-2CP0LrnQivsajYzDAtiHWIJiJQ31SZGcC7_&_nc_ohc=GwbWeJ_6VCIAX-S-X_M&_nc_ht=scontent.fbkk2-5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    #บุตรผู้ได้ตอบแทนคุณบิดามารดาแล้ว
    #บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ
    การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
    #ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
    ส่วนบุตรคนใด
    ๑. ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา (มีศรัทธา)
    ๒. ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา (มีศีล)
    ๓. ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา (มีการเสียสละ)
    ๔. ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งในในปัญญาสัมปทา (มีปัญญา)
    ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น ย่อมชื่อว่า อันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา”
    อัง.ทุก. ๒๐/๒๗๘/๗๙
    FpzJjdaHmYvayddQ77eLHFJ4g_0LETPMAfFYZMJb5WFL&_nc_ohc=IdyFqifWR5MAX9_YyE4&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg

    9j5GYj8Zz2JHIC75zAw-lsVIx58ScFwQr_m8zHlT_crR&_nc_ohc=k1JQsp3J_Y8AX8KUiEI&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg
    HQ0YOZB_D7tGxnbSsDUIiJvgUxzNY1XuOUOMgxtFMiqF&_nc_ohc=FZ3L6LQoUtgAX9Hv_lS&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    คำว่า พรหม เป็นชื่อของมารดาบิดา
    ************
    คำว่า พฺรหฺม เป็นชื่อของผู้ประเสริฐที่สุด อธิบายว่า มารดาและบิดาทั้งหลายจะไม่ละทิ้งภาวนา ๔ อย่าง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาในบุตรทั้งหลาย เหมือนท้าวมหาพรหมไม่ละทิ้งภาวนา ๔ อย่างฉะนั้น

    ภาวนา ๔ อย่างนั้นพึงทราบได้ในกาลนั้นๆ คือ

    เมื่อบุตรยังอยู่ในอุทร มารดาบิดาจะเกิดเมตตาจิตขึ้นว่า เมื่อไรหนอ เราจักได้เห็นบุตรน้อยไม่มีโรค มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบบริบูรณ์

    แต่เมื่อใด บุตรน้อยนั่นยังอ่อนนอนแบเบาะอยู่ ถูกไรหรือเรือดกัด หรือถูกการนอนไม่สบายบีฑา ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่. เมื่อนั้น มารดาบิดาได้ยินเสียงบุตรแล้ว จะเกิดความกรุณาขึ้น.

    แต่เวลาบุตรวิ่งเล่นไปมา หรือเวลาอยู่ในวัยที่สวยงาม (รุ่นหนุ่มสาว) มารดาบิดามองดูลูกน้อยแล้ว จิตใจจะรื่นเริงบันเทิง เหมือนผ้าฝ้ายที่ฟอกแล้วร้อยครั้งที่หย่อนลงไปแล้วในฟองเนยใส. เมื่อนั้น มารดาบิดาจะมีมุทิตา.

    แต่เมื่อใด บุตรของมารดาบิดาเหล่านั้น รับหน้าที่เลี้ยงเมีย แยกเรือนไปอยู่ต่างหาก. เมื่อนั้น มารดาบิดาจะเกิดความมีใจเป็นกลางขึ้นว่า บัดนี้ บุตรน้อยของเราสามารถเลี้ยงชีพได้ตามธรรมดาของตนแล้ว. เมื่อเป็นอย่างนี้ ในเวลานั้น (มารดาบิดา) จะมีอุเบกขา.

    คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า พรหมนี้เป็นชื่อของมารดาบิดา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพราะมารดาบิดาทั้งหลายเป็นเหมือนพระพรหม เหตุที่ได้พรหมวิหารทั้ง ๔ อย่าง ในบุตรทั้งหลายตามกาลเวลา ดังที่พรรณนามานี้แล.
    *******************
    ข้อความบางตอนในอรรถกถาพรหมสูตรhttp://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=286

    ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ สพรหมกสูตร ฉบับมหาจุฬา (ภาษาไทย) ฯhttp://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=221

    ฉบับสยามรัฐ (ภาษาบาลี) http://www.84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=25&A=6496




    temp_hash-6abe3bb672a5e2ba5f9418a3837d78e0-jpg.jpg




    -------------------------------------------------
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    38rDn-1LOeRTHeXuFdDyFYO3atzJ8Fw5xItEcjuDMQm&_nc_ohc=S3bMZr1v4rYAX9ht2Nc&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    ?temp_hash=56753eca7aa6227f54fb45bd50f56f0e.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    61vrs5TN693Rypl9EvU7bA9Gvm87L_TaNE&_nc_ohc=io7YY-asJYwAX9SxQy4&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    ...เราไม่ควรลืมตัว
    เราเป็นลูกของพ่อของแม่
    อย่าด่า อย่าเถียง อย่าต่อขานพ่อแม่
    อะไรที่ขัดต่อเหตุผล
    ถ้าพูดหากท่านไม่ฟัง
    ท่านถือว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่
    เราไม่พูดเสียดีกว่า
    หน้าที่อะไรที่เราทำ ก็ทำไปเสีย
    การถกเถียงพ่อแม่ มันเป็นนิสัยไม่ดี
    เรายกให้พ่อแม่เลย เราอย่าไปแตะ
    อย่าไปยุ่ง อย่าไปแย่งชิงเอา
    แล้วเกิดทะเลาะ เรานี่แหละเป็นคนเสีย
    ไปถกไปเถียงท่าน ท่านเลี้ยงเรามา
    เลี้ยงอะไรยากยิ่งกว่าเลี้ยงคน...
    - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -

    ?temp_hash=2fadb22595042d3e5eb60e122d15ebd4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    มารดาและบิดาทั้งหลายจะไม่ละทิ้งภาวนา ๔ อย่าง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาในบุตรทั้งหลาย
    ************
    คำว่า พฺรหฺม เป็นชื่อของผู้ประเสริฐที่สุด อธิบายว่า มารดาและบิดาทั้งหลายจะไม่ละทิ้งภาวนา ๔ อย่าง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาในบุตรทั้งหลาย เหมือนท้าวมหาพรหมไม่ละทิ้งภาวนา ๔ อย่างฉะนั้น
    ภาวนา ๔ อย่างนั้นพึงทราบได้ในกาลนั้นๆ คือ
    เมื่อบุตรยังอยู่ในอุทร มารดาบิดาจะเกิดเมตตาจิตขึ้นว่า เมื่อไรหนอ เราจักได้เห็นบุตรน้อยไม่มีโรค มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบบริบูรณ์
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=286
    ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ สพรหมกสูตร ฉบับมหาจุฬา (ภาษาไทย) ฯ http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=221
    ฉบับสยามรัฐ (ภาษาบาลี) http://www.84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=25&A=6496
    4ecagRdp1Wz9r&_nc_ohc=nggVG_ng9B8AX9arOLR&tn=ECAlnjB_F5X8SX7u&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    P7rGOqGZO7fjXXrB6Itdl6b-6JmpWbwf2C&_nc_ohc=AyIjdka26-MAX9eHDFN&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    U_BzjmI3pfvkEalmcpj6NdXCHlOk8YyKgp&_nc_ohc=g91MZGfpWUoAX9zmtls&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    ตอบแทนคุณมารดาบิดา ด้วยวิธีให้ท่านเป็นผู้มีศรัทธา
    *********
    การตอบแทนที่ทำได้ยาก
    [๓๔] การทำตอบแทนแก่ท่านทั้งสองเราไม่กล่าวว่าเป็นการทำได้โดยง่าย ท่านทั้งสองคือใคร คือ มารดาและบิดา ถึงบุตรจะมีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปีประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง ประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง ปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการบีบนวด และแม้ท่านทั้งสองนั้นจะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะลงบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแล การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรได้ทำ https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=32
    #วิธีตอบแทนคุณมารดาบิดา #มารดา
    sItuRErUpMgO499Q9uoRh9-UG_2vbdBV9T&_nc_ohc=v-W8nYKhH1UAX9E4FPy&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-3.jpg

    พระไตรปิฎกศึกษา
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,138
    ค่าพลัง:
    +70,534
    +++ ทำไม่ดีกับพ่อแม่ +++
    ถาม : (เรื่องทำไม่ดีกับพ่อแม่)
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพ่อแม่ ก็หาโอกาสวันที่เหมาะสมอย่างวันพ่อ วันแม่ หรือวันปีใหม่ วันสงกรานต์ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่าน หากเป็นวันธรรมดา ๆ โผล่ไปพรวดพราดไป ท่านอาจจะยันออกมา เพราะว่าท่านก็ไม่เคยชินกับพฤติกรรมของเรา เคยชินกับที่เป็นตรงกันข้าม เราก็หาวันที่เหมาะ แล้วก็เข้าไปเอ่ยปากขออโหสิกรรม ที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ รับรองได้..ไม่มีพ่อแม่คนไหนใจร้ายใจดำตัดลูกขาด ตัดแต่ปากทั้งนั้น ถึงเวลาพอท่านเอ่ยอโหสิกรรมให้ก็จบเลย เรื่องอโหสิกรรมถ้าไม่ใช่แบบพระอรหันต์คือ ทำดีจนพ้นไปเลย เป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ ก็ต้องให้โจทก์จำเลยอยู่ต่อหน้า แล้วก็เอ่ยปากซึ่งกันและกัน กระแสกรรมจะขาดลง ไม่อย่างนั้นชาตินี้อย่าเผลอมีครอบครัว มีเมื่อไรเจอแน่


    คัดลอกมาจากหนังสือกระโถนข้างธรรมมาสน์ ฉบับที่ ๔๒ เดือน สิงหาคม ๒๕๕๐
    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...