เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ระยะนี้ติดตามข่าวภัยธรรมชาติติวิปริตแปรปรวนมากสำหรับโลก แน่เลยค่ะต้องเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่ใช่สภาวะปกติทั่วไป

จิตยิ้มอยากนำเรื่องนี้มาลง เพราะว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุสำคัญที่สุดของการเกิดภัยธรรมชาตินี้ เพราะการที่เราหลงยึดอัตตาว่าเป็นเราจึงเป็นเหตุให้เราไม่สามารถทำหน้าที่ของเรา หรือ ของมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้หากยังมีอัตตา หากถ้าเรายังละอัตตามิได้ การอบรมจิตให้มีพรหมวิหารสี่ด้วยหัวใจน่าจะเป็นหนทางพอแก้ไขได้

จะมีใครสักคนไหม! ที่มีพรหมวิหารสี่อย่างแท้จริง....แม้กระทั่งตนเองปราถนาจะไม่เบียดเบียนใคร แต่ถ้าใครมาทำไม่ถูกต้องก็ไม่ยอม คิดว่าเราไม่เบียดเบียนใครก่อน เราเป็นผู้สะท้อนกลับคืนให้แก่ผู้กระทำเท่านั้น คิดว่านี้คือความถูกต้อง แต่จริง ๆ แล้วมิใช่เลย ยังมีสิ่งอะไรมิอะไรตามมาอย่างมากมาย และที่สำคัญจะทำให้เราไม่หลุดพ้น เพราะไม่ใช่หน้าที่ที่ดีงามของมนุษย์

ทุกสรรพสิ่งที่ต่างดำรงและดำเนินตนเองอยู่ในสนามพลังงานจักรวาลร่วมกันนี้ ต่างถูกกำหนดให้มีหน้าที่ช่วยค้ำจุนความสมดุลให้แก่กันและกัน เพื่อสร้างเสถียรภาพร่วมกันอย่างเป็นระบบ นั้นคือหน้าที่ต้องรับผิดชอบบทบาทดังกล่าวนี้ทั้งสิ้น

เช่น ระบบสุริยะจักรวาล ต่างมีหน้าที่จะต้องหยิบยื่นคลื่นพลังงานด้านบวกของตนทั้งหมดนั้นให้แก่ผู้อื่น เพื่อเชื่อมโยงและการค้ำจุนความสมดุลทางพลังงานของกันและกันไว้ให้มั่นคง โดยไม่ทอดทิ้งกัน พลังงานด้านบวก คือ พลังอำนาจแห่งการเหนี่ยวรั้ง ที่นักวิทยาศาสตร์โลกเรียกว่า "แรงดึงดูด"

หน้าที่ของมนุษย์ มักมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง มีมุมมองที่ผิดพลาดและขาดความมีสำนึกที่ถูกต้อง จีงทำให้พากันละทิ้ง หน้าที่หลัก ที่จะต้องแสดงออกและกระทำในสองมิติเพื่อค้ำจุนความสมดุลของตนเองกับผู้อื่นและสรรพสิ่งอื่น ๆ ในอันที่จะสร้างเสถียรภาพร่วมกันอย่างเป็นระบบ

มิติหนึ่งคือ พฤติกรรมด้านบวก เพื่อสร้างเงื่อนไขด้านบวกแก่ผู้อื่น เช่น การให้ทาน การเสียสละทรัพย์สิ่งของ การช่วยเหลือประคับประคองในยามผู้อื่นเสียหลัก(การช่วยให้เขาสามารถทรงกายอยู่ได้โดยไม่ลื่นหกล้ม นั่นเอง) และมิติสองคือ การค้ำจุนกันในทางมิติพลังงานด้านบวกในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก แล้วน้อมนำมันออกมาภายนอกเพื่อหยิบยื่นให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งการกระทำนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากจะมองผ่านมายาที่ทั้งหลายต่างดำรงอยู่ร่วมกันได้ตลอดกาลนั่นเอง

มนุษย์ใช้สังขารร่างกายของตน คิดดี ทำดี พูดดี ต่อผู้อื่นยากขึ้นทุกวัน

มนุษย์ทำความดีงามได้ยากยิ่งกว่าทำในสิ่งไม่ถูกต้อง

มนุษย์ใช้จิตซึ่งเป็นแก่นแท้ของตนเอง เข้าถึงการสร้างผลิตงานใหม่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกกันไม่ได้ เพราะความไม่รู้ และแม้แต่จะรู้ก็ใช้มันไม่เป็น

ภาพรวมเหล่านี้ ตือ ภาพความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบัน ที่เป็นด้านเสื่อมของเผ่าพันธ์มนุษย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเสถียรภาพของจักรวาล อันหมายถึง ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภพในระบบใหญ่ให้ได้โกลาหลวุ่นวาย ในระดับที่ไม่ต่างไปจากความวุ่นวายสับสนที่ปรากฎอยู่ในสังคมแคบ ๆ ของมนุษย์ด้วยกันเองอีกไม่ช้าแน่นอนนี้ หากวันแห่งการมีสติทางวิญญาณของมนุษย์โลกเพื่อ การรู้สำนึกรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ ที่ถูกต้องของการเป็นมนุษย์ เป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ภานในอนาคตอันใกล้นี้

พลังงานด้านบวก ก็คือ "ความรัก" เพื่อการ "ให้" มิใช่รักเพื่อที่จะเอา

เป็นความรักที่รำมาซึ่งความสุขใจที่ได้รัก หรือพอใจที่ได้ให้ในสิ่งที่ตนรัก

ทุกวันนี้มนุษย์ยังไม่รู้ว่า จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้จริงของตนเองนี้เป็นใคร มาอยู่ในร่างกายมนุษย์นี้มาจากไหน และต่างพากันมาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม

มนุษย์มากรายจึงพากันงมงายอยู่กับความไม่รู้ จึงพากันละทิ้งหน้าที่หลัก ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่มองเห็นความเบี่ยงเบนทางจิตสำนึกของตนเองและผู้อื่นในระดับที่ต้องเยียวยา มองเห็นความปริร้าวหนักของประชาคมโลกอันเกิดจากการป่วยทางจิตเพราะรักกันไม่เป็น เพราะมองเห็นในการบกพร่องต่อหน้าที่เพราะไม่รู้หน้าที่ อันล้วนนำพาความเสื่อมให้สังคมโลกในลักษณะของศึกสงครามและความเสื่อมสมดุลของจักรวาลในลักษณะของ ปรากกฎปริตทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกวัน

หนทางแก้ไขนั่นมีอยู่ แต่มนุษย์ทุกคนนั้นต้องให้ความร่วมมือกัน โดยยึดแนวทางการปฏิบัติที่กล่าวดังต่อไปนี้ ควบคู่กับข้อสัจธรรมเอกองค์พระศาสดาที่เป็นสากลทั้งหลาย เพื่อดำเนินชีวิตซ่อมแซมจิตสำนึกที่บกพร่องของตนเองอย่างจริงจังมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

ผู้ที่ฉลาดจะเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงเท่านั้น จะช่วยค้ำจุนสังคมตนเอง รวมทั้งโลกและจักรวาลอันไพศาลนี้

ข้อความนี้เป็นประโยชน์ดีค่ะ นำมาย้ำเตือนกันอีกครั้งค่ะ และหวังว่าจะเป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจตนเองด้วยที่จะลงในครั้งต่อไป และหวังว่าจะเป็นสติแก่วิญญาณของตนเองตลอดไป เชื่อว่าใคร ๆ อาจจะประสบอุปสรรคในเรื่องนี้อยู่ รอค่ะ

 

ทำไมชอบดึงคนเข้าลัทธิละครับไม่เข้าใจเลย.

 

รักที่มีกำลังมากพอ พัฒนาเป็น เมตตา..แล้วจึงเป็น "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"ครับ..

 

การชำระโลกนั้น.นั่นคือ.."มันมากับความมืด มาในช่วงที่ผู้คนหลับไหล"ครับ...กำลังมา กำลังเกิดขึ้น ในหลายๆประเทศและไทยเราครับ.ผู้คนตายหมู่มากขึ้น เพิ่มขึ้น.แต่ใครจะหยุดคิดได้บ้างว่า นั่นคือ การชำระล้างของโลกครับ.

 

นับแต่นี้ไป การชำระล้างของโลก เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงการชำระล้าง ..ผู้คน..ในทุกประเทศ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกลัทธิ ทุกชนชั้นครับ...

 

อย่าได้ประมาท เตรียมเสบียงอาหารกาย เสบียงอาหารใจ ให้พร้อมครับ ไม่มีใครหลีกพ้นไปได้ ต้องเผชิญกันตามวาระที่มาถึงครับ.ผู้มีอาหารใจพร้อมแล้ว คือผู้รอดจากการชำระของโลกใบนี้.เพื่อก้าวต่อไปเป็นคน 2 ยุค..พบพระธรรมมิกราชจักรพรรดิครับ.

 

ธรรมมิกราชจักรพรรดิ ไม่ต้องตามหา ถึงเวลาได้พบเอง ด้วยว่า "เผยโฉม ไม่เผยตัว"

 

ครับคุณทอนเงินเป็นมารหรือครับ? มารมีความสามารถนะครับ มีความสามารถที่ทำได้ครับ ดีครับ.

 

ระวังเป็นกรรมนะครับอันนี้ผมเห็นนักต่อนักลองไปทำสมาธิดูนะครับ

 

ครับ ขออนุญาตครับ เป็นกรรมแบบไหนครับ
ขอบคุณมากครับ

 

จากเท่าที่ทราบในจิตนะครับ คุณทอนเงิน เป็นมารที่ทำลายการทำชั่ว และ รักษาการทำความดีไว้นี่ครับ.จริงมั้ยครับ

 

กรรมที่จะเกิดขึ้นได้สำเร็จนั้น ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว อยู่ที่เจตนาเป็นสำคัญครับ.

 

วันนี้ เมื่อเช้าท้องฟ้ามีแสงแดด บ่ายนี้ แสงแดดหายไป ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนเริ่มตั้งเค้า น้ำฝน น้ำป่า น้ำตา มาชำระล้างอีกรอบครับ.

 

น้ำกำลังมา..ด้วยว่า ฝนมาอีกแล้ว..อากาศก็เริ่มเย็นลง ดาราแฟร์ อยู่ทางเหนือครับ.พื้นที่อื่นอากาศอาจจะร้อนครับ.

 

พื้นที่ใด แล้งน้ำใจ พื้นที่นั้น น้ำมาท่วมกาย
พื้นที่ใด มีโทสะ พื้นที่นั้น ไฟไหม้ลาม อีกพายุ
พื้นที่ใด มีกามโลกีย์ พื้นที่นั้น ดินสั่นไหว น้ำซ้ำเติม..

 

เตรียม ที่นอนเป่าลมไว้แล้ว จะได้ใช้ใหมน้า ลอยน้ำ อาบแดด

 

.ครับท่าน ดีครับ ไม่ผิดหวังนะครับ.

 

ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ ล้วนมีสองมิติในตนเองเสมอ ! ไม่ยกเว้นแม้แต่มนุษย์ คือ มิติกายภาพ (ที่มองด้วยตาเปล่า) และมิติพลังงาน (ที่ไม่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้)

ถ้าเป็นสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ เช่น วัตถุทั้งหลาย ก็จะมีตัวตนแก่นแท้ในมิติพลังงานเร้นอยู่ข้างในอีกรูปธรรมหนึ่งด้วย

ทุกสรรพสิ่งในมิติทางพลังงาน เช่น คลื่นแสง ก็จะมีตัวตนแก่นแท้เป็นอนุภาคโฟตอนที่สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ในมิติทางพลังงานอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น และขณะเดียวกับคลื่นแสงนั้นก็จะมีรูปธรรมในมิติทางกายภาพให้เห็นเป็นมายาด้วย คือ แสงสว่าง นั้นเอง

มนุษย์ต้องรู้ว่าสรรพสิ่งในมิติพลังงานอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกันกับคลื่นแสง จะต้องประกอบด้วย 2 มิติ ในตนเองเสมอ คือ

1.ตัวตนแก่นแท้ในมิติพลังงาน
คือ อนุภาคคลื่นความถี่เฉพาะตัว ที่สั่นสะเทือนอยู่อย่างต่อเนื่อง

2.ตัวตนในมิติกายภาพ
คือ เงามายาของรูปธรรมทางพลังงานชนิดนั้น ๆ นั่นเอง

มนุษย์โลกแทบทุกคนต่างรู้ดีกันอยู่ว่า นอกจากกระบวนการปฏิสนธิในครรภ์มารดา จะต้องอาศัยโลหิตของมารดาแล้วในการก่อสร้างรูปธรรมแห่งกรรมทารกน้อย อันเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในมิติทางกายภาพในระบบดาวเคราะห์โลกแล้ว ยังมีรูปธรรมทางพลังงานอีกรูปธรรมหนึ่งที่เรียกกันว่า "จิตวิญญาณ" เข้าร่วมปฏิสนธิทางวิญญาณกับเครื่องยนต์แห่งกรรมทารกน้อยในครรภ์มารดาด้วย

มนุษย์ต้องรู้ว่า รูปธรรมมนุษย์ที่เรียกว่าเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนเองนั้น มันจะเติบโตเติบใหญ่ หรือว่ามันจะทำอะไรต่ออะไรมิได้เลย หากไม่มี ผู้ขับเคลื่อน หรือ ไม่มีผู้สั่นสะเทือนให้มันเป็น ผู้มีหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมแต่ละคนก็คือ จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ข้างใน ที่เปรียบเหมือนแบตเตอร์รี่รถยนต์

ถ้าเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์คนใด ไม่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้ดำรงอยู่ภายในอีกต่อไป มนุษย์ผู้นั้น ย่อมขึ้นขื่อว่า ตายแล้ว จิตวิญญาณอันเป็นแหล่งสนับสนุนพลังงานขั้นพื้นฐานของเครื่องยนต์แห่งกรรมทั้งระบบนี้ เป็นแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน

สำหรับมนุษย์แล้ว หน้าที่ในส่วนแรกของจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ในแต่ละคนนี้ มันจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีกลไกพิเศษใด ๆ และมิพักต้องมีใครจนแม้แต่ตัวมนุษย์คนนั้น ๆ เองเข้าไปควบคุมมันซึ่งมันจะทำหน้าที่หลัก ๆ 2 ประการ คือ

๑.ให้พลังงานขั้นพื้นฐานแก่เครื่องยนต์แห่งกรรมทั้งระบบ ตลอด 24 ชั่วโมง

๒.สั่นสะเทือนตนเองให้เกิดเป็นพฤติกรรมในทางมิติพลังงานของแก่นแท้ หรือ "มิติทางจิต" หรือ อาจเรียกว่า "มิติคู่ขนาน" ก็ได้ โดยจะสั่นสะเทือนตนเองไปตามการสั่นสะเทือนในทุก ๆ อารมณ์รู้สึกและการนึกคิดของจิตมนุษย์โดยเฉพาะ

จิตวิญญาณของตนนั้นเป็นใคร
จิตวิญญาณของตนนั้นมาจากไหน
จิตวิญญาณของตนเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณของคนจะไปอยู่ที่ไหน

เหตุไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ และไม่เคยคิดจะรู้เรื่องเหล่านี้กันมาก่อนนี่เอง จึงยังส่งผลให้มนุษย์โลกส่วนใหญ่

เป็นมนุษย์กันไม่เป็น!!!!

ขยายความเรื่อง มนุษย์เป็นคนสองมิติ เป็นความรู้ใหม่ในโลกยุคพลังงานใหม่กันค่ะ และทำให้เข้าใจได้ยิ่งขึ้นว่าภัยพิบัติเกิดจากจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไร?

 

"เป็นมนุษย์กันไม่เป็น"...ชอบมากถูกใจจังในประโยคนี้ครับ...