เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

อยู่ไหนก็เป็นประโยชน์แล้วแต่เจ้าบ้านเขาแล้วกันค่ะ แต่ว่าโฆษณานี่เหมือนมีรายได้
ซึ่งผู้บอกก็ไม่ได้เงินจากการแนะนำ แถมมาเล่าความลึกลับของพลังที่สัมผัสมา
ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้มากมาย ค่าเอกสาร ค่าขนม ค่าห้องอีก อาจารย์ไม่เก็บ
ยังไงลูกศิษย์ต้องหาทางให้อยู่แล้ว ยังไงต้องขอขอบคุณพี่ดาวทะเลทราย
พี่มังกรบูรพา นี่ถ้าอาจารย์สามตาเอาพลังเจไดมาสอน สงสัยโดนอีกเหมือนกัน
เดี๋ยวตัวกลม ขยันกว่านี้ก่อน เหอๆๆๆๆๆ มีศิษย์พี่หลายคนให้ปรึกษาแล้ววววว

 

ท่านดาวทะเลทราย ไปขยายหนังสือให้ตัวโต

เดี๋วทีมงานมาเห็นเข้า 55555 คงได้โดนข้อหา

คนละอีกกระทง แหม! ตัวเราก็อยากช่วย น้อง ๆ

เห่อะ ๆ ๆ ผลบุญเลยตอบสนอง ก๊าก!

 

Sawadee ka,
Arjarn The Third Eyes,khun Toaklom,khun saitat,khun Doa Talay Sai and everybody . I still reading your stories ka.

 

กราบสวัสดีท่านอาจารย์ และท่านผู้รู้ทุกทานนะคะ..
.ไม่ได้แวะมาซะนาน..จำได้ว่าล่าสุดยังอยู่ที่หน้า 64 กลับมาอีกทีไปถึงรร้อยกว่าเลยทีเดียว...ยังไงก้จะมาตามอ่านให้ทันนะคะ

..ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะคะ..สาธุ

 

เหอะๆ คุณดาวทะเลชทรายจะเลี้ยงแต่คุณตัวกลมๆ คนเดียว ดังนั้นขอเรียนว่า คุณตัวกลมๆ กินคนเดียว ระวังนะจะปวดท้อง เพราะไม่แบ่งผู้อื่น เหอะๆๆๆๆ

เป็นพวกอิจฉาตาร้อน

ว่าแต่ที่เรียนมันอยู่ตรงไหนหว่า คุณดาวฯ แจ้งข่าวมาแต่ไม่ยักกะแจ้งสถานที่และเวลาเลย แล้วต้องแป๊ะเจ๊ยเท่าไรน้อ??? ตอบด้วยค่ะ

 

เรียนคุณดาวฯ

ยานี้มันแก้ริสซี่หนะคะ ที่มันงอกที่ลำไส้ใหญ่ไงคะ ตกลงยานี้ไม่เวิร์คหรือคะ กำลังว่าจะไปหาซื้อเถาเพชรสังฆาตอยู่เลย เอาไงดีหว่า
หรือจะต้องใช้แต่กระดูกปลาฉลามจริงๆ จึงจะหาย
หลายตังค์นะคะ กระเป๋าแฟบเลย

ไม่เอาแล้วค่ะเรื่องปวดท้อง ทรมานมาก

 

เรียน the third eyes

ดิฉันไม่เคยได้ไปงาน มินิพลังจิตสักที อยากเรียนวิชาบ้าง ที่อาจารย์ทำให้เห็นคราวนั้น เป็นการไปพบอาจารย์ครั้งแรก เพื่อเปิดหน่อตาที่สามให้กว้างขึ้น แต่อาจารย์ก็ไม่ได้สอนอะไร แค่ให้ดูเฉยๆ หลายปีมาแล้ว

ดิฉันทราบว่าต้องมีวิธีการสร้าง แต่ไม่ยังรู้ว่าต้องมีการลื้อทิ้งด้วย ทำไงล่ะ

ดิฉันเข้าใจว่าการสร้างกำแพงมนตรา เหมือนการสร้างกำแพงแก้ว ใช่หรือเปล่าคะ?

บทที่ว่า....

นะโมตัสสะ ฯฯฯ
พุทธังคุ้ม..ธรรมมัง....อิติ... นะโมพุท.....ขอกำแพง... เจ็ด..คุ้มกัน...เถิด

ใช่หรือเปล่าคะ กราบเรียนถามย้ำอีกที เหอะๆๆ

แล้วตอนลื้อออกต้องทำยังไงอะ คะ
จะเอาไปใช้ป้องกันบ้าน แทนหมาทหาร เพราะเขาไปสวรรค์แล้วหนะค่ะ

 

การสร้ากำแพงมนตราแท้จริงมิจำเป็นต้องท่องคาถาใดเลยอยู่ที่จิตและบารมีผู้ที่เสกมากกว่า
เพราะถามคาถาไมก็ทำกันไม่ได้หลอกครับ ต่อให้ไม่มีกำแพงแค่มีคนที่มี อภิญาแรงๆก็เป็น
เกราะออกมาล้อมไว้โดนอัตโนมัติอยู่แล้ว ผีหรือคุณไสยสิ่งไม่ดีก็ไม่เข้าอยู่แล้วครับ

 

ปกติ ผม ไม่ ได้ เป็นคนลำเอียง.......นะ
ออกจะ........... ตรง จะตายไป

มาได้เลย ครับ ให้ พร้อมหน้าพร้อมตา เลี้ยงได้ ครบทุกคนแหละครับ
เพราะ ตอบได้ ถูก ทุกคน ..... ก็ ต้องเลี้ยง ทุกคน

เรื่องเรียนพลังยูเรอัส ระดับพื้อนฐาน 1-2
เรียนวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฏาคม 2552
ตั้งแต่ เช้า 9.00 น. ถึง 16.00 น.
สถานที่เรียน ตึกธนาคารกรุงไทย สาขา ถนนพระราม 2 ชั้น3

รายละเอียดอื่นๆ โทรมาถามผมได้ 081-497 2008

ที่ไม่ได้ ให้ รายละเอียด มาตั้งแต่แรก
ก็เพราะ ตรงนี้ มันเป็นกระทู้ เรื่องเล่าก่อนนอน
มันคนละเรื่องกัน
ทั้งๆ ที่รู้ ว่า อ.สาตา แกใจดี คงไม่ว่าอะไรหรอก

 

หมายถึง 5 กรกฏาคม 2552 หรือเปล่าคะ

วันนี้วันที่ 8 มิถุนายน

 

เรื่องยา ขนานนี้ คงต้องลอง คุยกับ อ.สุวิ อีก ที หนึ่งครับ
ที่ ทดลอง
ผมไม่รู้ ว่าใช้รักษา อะไร
รู้ เพียง อาการ มี ปวดท้องนิดหน่อย อาจจะถ่ายบ้าง
มี กระแสไหล ซ่าลงไป ตามขา ตามเข่า ด้วย

เรื่องกระดูก ปลาฉลาม ไม่แพง นะ แต่จะไปซื้อที่ไหน ได้ละ
ถ้าหูฉลาม อย่างดี แพง หน่อย

 

ขอคุณ มากๆ ครับ
คุณทางสายธาตุ

เป็นวันอาทิตย์ ที่ 5 กรกฏาคม ครับ ผม

 

คาถาบังไพร ที่เคยได้ยินจากนิยายเรือนมยุรา
ที่บังไม่ให้ใครเห็นบ้านหรือเรือนที่อยู่นั้นๆได้
ฟังดูคล้ายๆกับกำแพงมนตรานะคะ

แต่คิดว่าคงไม่เหมือนกัน คาถาบังไพร ไว้ซ่อนบ้าน
กำแพงมนตรา กันสิ่งอัปมงคลไม่ให้เข้ามาในบริเวณสถานที่นั้นๆ

เข้าใจถูกต้องใช่ไหมคะ

 

อ่านถึงตรงนี้งานเข้าเลย

ใครมีวิธีทำให้เลิกเป็นคนขี้สงสัย ลังเลได้บ้าง เหอะๆๆ

ต้องปรึกษาหมอสุวิไหมคะ หรือมีสมาธิจะช่วยได้ ใครก็ได้ตอบที่ ช่วยด้วย


ใจมันอยากเป็นเชอล็อกโฮม มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม อยากเป็นคนไขปริศนา ก็เลยต้องสงสัยไปทุกเรื่อง แล้วถ้ามีใครเก่งกว่า ได้ฟังเขาก็จะปลื้ม แล้วก็จะกลายร่างเป็นปลิง ถามเขาไปทุกเรือง เห็นเขาเอนดูหน่อยเป็นไม่ได้ กลายร่างเป้นเจ้าหนูจำไม จำไม จำไม

นิสัยอย่างนี้ถ้าเป็นเด็กถามครูสมัยเรียนคงเก่ง แต่เก่งและสนในนอกเรื่องมากกว่า 5555+

คุณดาวฯ มีข้อเสนอแนะไหมเจ้าคะ

 

กราบขอบพระคุณคุณ visnu ค่ะ

ดีใจที่คุณเข้ามาชี้แจง แต่พอชี้แจงแล้วก็ยังงง

"อยู่ที่จิตและบารมีผู้เสกมากกว่า" แสดงว่าถึงรู้คาถา แต่ว่าถ้าเราไม่มีจิตและบารมี ก็ไม่สามารถทำได้ใช่ไหมคะ??

แล้วถ้าไม่ฝึก แล้วจะเก่งเปล่า?? นี้พูดเผื่อผู้ที่ฝึกการมีสติ สมาธิ อยู่บ้างหนะคะ

ส่วนเรื่องเกราะล้อมตัว นี้คงหมายถึงการฝึกเกสา โลมาฯ เหมือนอย่างที่คุณสุวิเคยเล่าให้ฟัง (ขอข้ามกระทู้หน่อย)

แต่ดิฉันมีจุดประสงค์ป้องกันภัยให้นะเจ้าคะ เป็นการปรารถนาดีให้ครอบครัวมีสุข ดังนั้นรบกวนชี้แจงเพิ่มถึงวิธีด้วยเจ้าค่ะ

 

สิ่งที่พวกเราใช้กัน ส่วนใหญ่ คือโองการ
ไม่มีคาถา ไม่มีอาคม
เพียงใช้จิตกำหนด และสั่งการ
มีเพียงเท่านี้

จงอ่านข้อความนี้ สุวิได้บันทึกไว้นานแล้ว
จะทำให้พวกท่านเข้าใจมากขึ้น

วิทยาการแห่งเทพมนุษย์<O</O
มวลความรู้ต่างๆที่เหล่าเทพมนุษย์นำลงมาถ่ายทอด มีเพียง ห้าสาย
แต่ละสายมีมวลความรู้แยกย่อยพิสดารลึกลงไปอีกมากมายจนสุดบรรยาย
ในปัจจุบัน วิทยาการเหล่านี้ได้สาบสูญการถ่ายทอดไปมากมายเหลือเพียงกระพี้ บางอย่างก็เหลือเพียงเรื่องเล่าเป็นนิยาย ปรัมปรา
ในเมืองไทยเรา วิชาเหล่านี้ยังมีหลงเหลือ กระสานซานเซ็น ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พอจะมี เป็นน้ำเป็นเนื้อบ้างก็เช่น วิชาพยากรณ์
ส่วนวิชชาอื่นๆก็มีแทรกกระจักกระจายอยู่ในคัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ ในคัมภีร์มหาทักษา ในพระไตรปิฎก ฯลฯ
ผู้ที่เข้าใจและเป็นในธรรมแห่งพระผู้มีพระภาคฯ จะเป็นวิชชาเหล่านี้เอง (ในบาง ส่วน) อย่างอัตโนมัติ โดยเฉพาะในส่วนของ โองการ และ พระเวทย์

วิทยาการห้าสายแห่งเทพมนุษย์ <O</O
1. สาย ว่าด้วย “โองการ”<O</O
2. สาย ว่าด้วย “พระเวทย์”
3. สาย ว่าด้วย “พระไสย”
4. สาย ว่าด้วย “มายา”<O</O
5. สาย ว่าด้วย “ตรรกะ” (วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน)<O</O
<O</O
ในวิชชาทั้งห้าสายล้วนมีฐานจาก “ความรู้ บนความจริงแท้” (Fact)
จิตจะเป็นผู้สั่งการ อำนาจแห่งพลัง (ปราณ) หรือเครื่องกล จะเป็นผู้ดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งต้องไม่ขัดกับความจริงแท้<O</O
ในบันทึกโบราณ กล่าวถึงการสร้างโลก ในพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าสร้างโลก โดยใช้คำสั่ง เช่น แสงสว่างจงบังเกิด, พื้นดินพื้นน้ำจงเกิดขึ้น ฯลฯ
ในพระไตรปิฎก ก็มีบันทึกถึงการใช้คำสั่งเช่นกัน บ้างก็อ้างความจริงแท้ (ด้วยอำนาจจิต) และกำกับด้วยคำสั่งให้สิ่งที่ต้องการเกิดเป็นจริงขึ้น เช่น
พระองคุลีมาล ได้กล่าวคำพูดอ้างถึงความจริงในใจท่าน และให้พรแก่หญิงมีครรภ์ ให้มีความสวัสดี
ในนิทานชาดกเล่าถึงพระโพธิสัตว์ ลูกนกคุ้ม เมื่อประสพภัยไฟป่าไหม้เข้ามาใกล้รังที่ท่านอยู่
ลูกนกนั้นได้กล่าวคำอธิฐานโดยอ้างความจริงแท้ ด้วยอำนาจจิต และสั่งให้ไฟป่านั้นจงหลีกไป
คำกล่าวของพระอริยะเจ้าทุกระดับดังกล่าว คำพูดของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล ล้วนเป็นอำนาจแห่ง “โองการ”
แต่ผู้ที่นำคำกล่าวของพระอริยะเจ้า เช่นคาถาองคุลีมาล คำกล่าวของลูกนกคุ้ม มากล่าวซ้ำอีกเพื่อให้เกิดสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ใช้นั้นคือ “พระเวทย์”<O</O

ผู้ที่มีอำนาจแห่งโองการ เมื่อมีความต้องการจะถ่ายทอดความรู้แห่งอำนาจนี้(เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง) แก่ชนทั่วไปผู้ปารถนาในอำนาจนี้ แต่ไร้ซึ่งพื้นฐาน
ท่านจะสร้างคำกล่าวที่ผูกขึ้นเป็นวลี พร้อมคำสั่งโองการกำกับลงไปในวลีนั้นเพื่อให้ศักสิทธิ์
และอาจสร้างอุปเท่ห์แห่งวิชากำกับไว้ และมอบให้คนผู้นั้นไปท่องบ่น บ้างก็สั่งกำกับให้มีจิตวิญญาณคอยดูแลให้คำกล่าว
วลีและอุปเท่ห์ นั้นเกิดความศักดิ์สิทธิ์เป็นจริงเมื่อมีผู้นำไป ใช้ วลีและอุปเท่ห์ นั้นก็คือ พระเวทย์ และพระไสย
ความแตกต่างของพระเวทย์ และพระไสย อยู่ที่วิธีและการวางทิฐิในการสร้างและการใช้
ปกติพระเวทย์ จะใช้เพื่อความสุขและเป็นอิสระ
ส่วนพระไสย จะใช้เพื่อการควบคุมและบังคับ
ส่วนอุปเท่ห์แห่งวิชาและการวางค่ายกลนั้นคือ มายา วิชาฮวงจุ้ยทีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของมายา(ที่เป็นจริง) <O</O

ส่วนวิชาที่ว่าด้วย ตรรกะ อันเป็นรากฐานแห่งวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเป็นวิชชาที่ ค้นคว้าหาความเป็นจริงแท้ของทุกสรรพสิ่ง
ด้วยการค้าคว้าและทดลอง และนำผลที่ได้มาใช้งาน ด้วยการสร้างวัตถุ อันได้ แก่ เครื่องกล / เครื่องอิเล็คโทรนิค มาควบคุม
ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับโองการ ซึ่งมีความแตกต่างกันอยู่ที่ โองการใช้อำนาจจิตและปราณในการสร้างงาน <O</O

วิชชาเป็น หมายถึงวิชชาที่มีชีวิต สามารถเติบโตและมีพัฒนาการในตัวเอง ไร้รูปแบบที่ตายตัว เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ในปัจจุบันสมัยตลอดเวลา

โองการและตรรกะ ล้วนเป็นวิชชาเป็น<O</O

วิชาตายหมายถึงวิชาที่มีรูปแบบตายตัว แตกต่างถือเป็นผิดใช้งานไม่ได้ ไม่มีพัฒนาการ พระเวทย์, พระไสย, และมายา ล้วนเป็นวิชาตาย

ข้า สุวินันท์ ผู้บันทึก
บันทึก ณ วันที่ 8 เมษายน 2548<O</O​

 

มีคำสอน ของ อ.ชุม ไชยคีรี
อยู่ ตอนหนึ่ง
คนที่จะเรียน คาถาอาคม ได้ ขลัง ได้เก่ง
มีอยู่ สองพวก
1. คน ที่ฉลาด ที่สุด รอบรู้ เข้าใจ อะไรได้ดี จนถึงแก่น
2. พวก ที่ โง่ สุด สุด คือ ไม่รู้ อะไร แต่ ยึดมั่น ในคำสอนของอาจารย์
ทำตามไป อย่างไม่ รังเร สงสัย เลย

ส่วน พวก ครึ๋งๆ กลางๆ มีความรู้ แต่ก็ไม่พอ ที่จะ รู้ เข้าใจ ได้ ถ่องแท้

ได้แค่ คิด ไป ว่า เช่นนั้น เช่นนี้ จริง รื้................หรือไม่ใช่


พวกนี้ มั่ว ไปเสีย เวลา กับ ความสงสัย นั่งคิด อยู่นั่นแหละ
ไม่ได้ลง มือ สักที...................................................

 

การเป็นคนขี้สงสัย ไม่ใช่ความผิด

สุวินับเป็นคนขี้สงสัยมากๆ ทำไม ทำไมๆๆๆๆๆๆ
คำถามเหล่านี้ล้วนถูกป้อนสู่ครูบาอาจารย์ ตลอด

บางท่านก็ตอบเราไม่รู้เบื่อ
บางท่าน ร้องเฮอะ... คำเดียวแล้วสบัดก้นหายวับไปกับตาและไม่กลับมาอีก
บางท่าน ก็ย้อนรอย สอนครึ่งๆกลางๆ แล้วตั้งคำถามกลับ ทำไมตอนนั้นทำได้ ตอนนี้ทำไม่ได้ และต้องหาคำตอบมาให้ท่าน
หาไม่จะถูกตบกระโหลก (เจ็บนะจิบอกห้าย)

ถูกย้อนรอยหนักขึ้น ทำให้เราต้องซอกแซกรู้
เลยรู้ว่าที่สอนไว้เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ สอนไม่จบ
แต่ท่านก็บอกให้รู้ในทำนองว่า เองหาส่วนประกอบรายละเอียด เอาเองนิ


ความสงสัยของคุณอธิษฐาน เป็นสิ่งดี (สะกดถูกไหมหว่า เดี๋ยวหน้าแตก หมอไม่รับเย็บ)
แต่คุณอธิษฐาน ยึดมั่นในอัตตามากเกิน
ยึดมั่นในสิ่งที่รู้ที่เห็นมา ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้
หากผิดจากที่รู้ ถือว่าผิด ทำให้ต้องยึดมั่นในหลักการไว้ เดี๋ยวผิด เดี๋ยวทำไม่ได้
ลองศึกษาเรื่องวิชาเป็น วิชาตายดู จะเข้าใจ

ความจริงยึดมั่นในอัตา สำหรับโลกมนุษย์ เป็นสิ่งดี แต่ต้องวาง(อุเบกขา)เป็น จึงเกิดประโยชน์
วางอุเบกขาลูกเดียว ก็กลายเป็นคนไม่เอาไหน เช่น มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ปล่อยๆมันเถอะ อย่าใส่ใจมันเลย
อย่างนี้ เรียกว่าวางอุเบกขาไม่เป็น

 

สาธุ คร้าบบ อ.สุวิ
ชอบแนวทางของอ.สุวิจริงๆครับ
เจอกี่ที่ อ่านกี่ที ไม่รู้เบื่อ
ยิ่งนานวัน ยิ่งเข้าใจว่าการพิจารณาให้ถี่ถ้วน
โดยยึดความไม่ประมาทนั้นสำคัญจริงๆฮะ..

เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก

 

วันนี้ ได้ รับ ฟัง จาก อ.สุวิ ถือเป็น ลาภ อันยิ่ง

ลาภ หู ลาภ ทางปัญญา ......

มิใช่ ลาภ ปาก นะครับ.................