.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    66832658_714696082307717_6238580146517835776_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง

    “คาถาอยู่เย็นเป็นสุข” ภาวนาทุกวัน ครอบครัวมีสุข เกิดแต่เรื่องดีๆ


    ครอบครัว เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของชีวิตคนเรา ที่ทุกคนล้วนต้องการมีครอบครัวที่ดี มีความสุข ไม่มีปัญหาเดือดร้อนใจ หรือทำให้จิตใจต้องเศร้าหมอง นอกจากการทำบุญทำทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร รวมถึงเทวดาประจำตัว ประจำบ้านเพื่อช่วยคุ้มครองคนในบ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยคุณได้ก็คือ “คาถาอยู่เย็นเป็นสุข” ภาวนาทุกวัน ครอบครัวมีสุข เกิดแต่เรื่องดีๆ พระคาถาศักดิ์สิทธิ์ พระเวทบทนี้ตามตำราให้ภาวนาทุกครั้งที่นึกขึ้นมาได้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งคือ เมื่อตื่นนอนตอนเช้าและหลังสวดมนต์ก่อนนอน ปฏิบัติตนเช่นนี้ตัวของผู้สวดและผู้บริกรรมตลอดจนคนภายในครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

    คาถาอยู่เย็นเป็นสุข

    ตั้งนะโม 3 จบ

    "อิติสุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระกุมมะเทวะ ขะมาหิหัง"

    อย่างไรก็ตาม นอกจากจะใช้ด้านคาถาและการทำบุญแล้ว อย่าลืมดูแลครอบครัวด้วยจิตใจ รู้จักรับผิดชอบ รู้จักขอบคุณและขอโทษ มีจิตใจที่เมตตาต่อกัน คอยใส่ใจและช่วยเหลือกันและกันอยู่เสมอเพื่อที่จะกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากทำได้เป็นประจำเชื่อว่าจะต้องเกิดเรื่องที่ดีต่อกันอย่างแน่นอน

    #เพจหลวงปู่ญาท่านสวนฉันทโร
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    67322367_2280564815390460_5681770729314451456_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่ครูบาวงศ์

    เกร็ดประวัติ อภินิหาร ครูบาวงศ์ (๖) โดย อ.เล็ก พลูโต


    เรื่องที่ ๓๓ หลวงปู่ไม่ลาพุทธภูมิ สลับเรื่องลูกศิษย์ท่านอื่น เขียนลงหนังสือบ้างจากหนังสือ พระชัยวงศาปูชนียาลัย

    ประมาณปี ๒๕๓๕ ในช่วงเวลานั้น หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง หลวงปู่มักจะมาโปรดลูกหลานที่วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรีอยู่บ่อยๆ

    มีพระภิกษุรูปนึงถามครูบาว่า "หลวงปู่ไม่ลา (พุทธภูมิ) หรือครับ"

    หลวงปู่ตอบพร้อมคายน้ำหมาก และพูดทีเล่นทีจริงว่า "ขี้เกียจลา"

    พระรูปนั้นถามต่อไปว่า "แล้วอีกนานไหมครับ กว่าจะถึงคิวหลวงปู่"

    หลวงปู่ตอบว่า "จะว่านาน ก็นาน เมื่อตอนอธิษฐานปรารถนาอย่างนี้ ไม่คิดว่ามันจะนาน ไม่อยากลา เดี๋ยวเสียสัจจะ"
    จากหนังสือ สรณะในดวงใจ หลวงปู่กล่าวว่า

    "พระโพธิสัตว์บางองค์ บารมีแก่ แต่ไปนิพพานยังไม่ได้ เพราะเป็นหนี้ลูกหลาน อย่างหลวงพ่อ จะไปนิพพานชาตินี้ ลูกๆ ขอเกาะชายผ้าเหลือง ปรารถนาจะไปนิพานร่วมกับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อโปรด จะติดตามหลวงพ่อไปให้ได้

    หลวงพ่อก็ต้องอยู่เมตตาไปอย่างนี้ เพราะคนที่ขอติดตาม บารมีไม่เท่ากัน ก็ไปลำบาก ลูกๆ ทั้งหลายที่มีกิเลส มีกรรมมาก หลวงพ่อก็ต้องรอจนกว่าจะไปนิพพานได้ทั้งหมด แม้ว่าลูกศิษย์ที่ขอติดตามหลวงพ่อจะถูกจำคุกตลอดชีวิต หลวงพ่อก็จะคอยแต่หลวงพ่อจะไม่คอยสำหรับคนที่มีโทษประหาร"

    ที่ครูบาท่านย้ำเสมอคือ "ลูกๆ ที่บารมีแก่แล้ว ใครไปได้ให้ไปก่อน ไม่ต้องคอยหลวงพ่อ มันช้า"ขอบารมีครูบาวงศ์ คุ้มครองลูกหลานทุกคน
     
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    66852667_1635828546550561_832999625634873344_n.jpg

    *** #วิธีกำหนดรู้ลม๓ฐาน (อานาปานสติ) ***

    ฌานจะเกิดได้ต่อเมื่อ...เรากำหนดรู้ลมหายใจได้อย่างถูกต้อง


    อานาปานสติ แปลว่า ระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์ กรรมฐานกองนี้กรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานใหญ่คลุมกรรมฐานกองอื่น ๆ เสียสิ้น เพราะจะปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ กองนี้ กองใดกองหนึ่งก็ตาม จะต้องกำหนดลมหายใจเสียก่อน หรือมิฉะนั้นก็ต้องกำหนดลมหายใจร่วมไปพร้อมๆกับกำหนดพิจารณากรรมฐานกองนั้น ๆ จึงจะได้ผล หากท่านผู้ใดเจริญกรรมฐานกองใดก็ตาม ถ้าละเว้นการกำหนดเสียแล้ว กรรมฐานที่ท่านเจริญจะไม่ได้ผลรวดเร็วสมความมุ่งหมาย อานาปานานุสสตินี้ มีผลถึงฌาน ๔ สำหรับท่านที่มีบารมีเป็นพุทธสาวก ถ้าท่านที่มีบารมีในวิสัยพุทธภูมิ คือท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์คือท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านผู้นั้นจะทรงฌานในอานาปาน์นี้ถึงฌานที่ ๕

    เมื่อมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นทางกาย ท่านที่ได้ฌานในอาณาปานานุสสติ เข้าฌานในอานาปาน์จนถึงจตุตถฌานแล้ว ทุกขเวทนานั้นจะระงับไปทันที ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเวทนาหายไป แต่เป็นเพราะเมื่อเข้าถึงฌาน ๔ ในอานาปาน์นี้แล้ว จิตจะแยกออกจากขันธ์ ๕ ไม่รับรู้ทุกขเวทนาของขันธ์ทันที

    ท่านที่ได้ฌานอานาปานานุสสตินี้ สามารถรู้กำหนดเวลาตายของท่านได้ตรงตามความจริงเสมอ โดยกำหนดล่วงหน้าได้เป็นเวลาแรมปี เมื่อจะตายท่านก็สามารถบอกได้ว่า เวลาเท่านั้นเท่านี้ท่านจะตาย และตายด้วยอาการอย่างไร เพราะโรคอะไร

    ท่านที่ได้ฌาน ๔ ในอานาปาน์นี้แล้ว จะปฏิบัติในกรรมฐานกองอื่น ๆ อีก ๓๙ กองนั้น ท่านเข้าฌานในอานาปาน์ก่อน แล้วถอยหลังจิตมากำรงอยู่แค่อุปจารสมาธิแล้วกำหนดกรรมฐานกองนั้น ๆ ท่านจะเข้าถึงจุดสูงสุดในกรรมฐานกองนั้น ๆ ได้ภายใน ๓ วันอย่างช้า ส่วนมากได้ถึงจุดสูงสุดของกรรมฐานนั้น ๆ ภายในที่นั่งเดียว คือคราวเดียวเท่านั้นเอง

    วิธีปฏิบัติในอานาปานานุสสติ
    การปฏิบัติในอานาปานานุสสตินี้ ไม่มีอะไรยุ่งยากนัก เพราะเป็นกรรมฐานที่ไม่มีองค์ภาวนา และไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เพียงแต่คอยกำหนดลมหายใจเข้าออกตามฐานที่ท่านกำหนดไว้ให้รู้อยู่หรือครบถ้วนเท่านั้น เวลาหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก พร้อมกับสังเกตลมกระทบฐาน ๓ ฐาน ดังจะกล่าวต่อไปให้ทราบ

    ฐานกำหนดรู้ที่ลมเดินผ่านมี ๓ ฐาน คือ
    ✅ ก. ฐานที่ ๑ ท่านให้กำหนดที่ริมฝีปาก และที่จมูก เมื่อหายใจเข้า ลมจะกระทบที่จมูก เมื่อหายใจออกลมจะกระทบที่ริมฝีปาก
    ✅ ข. ฐานที่ ๒ หน้าอก เมื่อลมผ่านเข้าหรือผ่านออกก็ตาม ลมจะต้องกระทบที่หน้าอก หมายเอาข้างใน ไม่ใช่หน้าอกภายนอก ลมกระทบทั้งลมเข้าและลมออกเสมอ
    ✅ ค. ศูนย์ที่ท้องเหนือสะดือนิดหน่อย ลมหายใจเข้าหรือออกก็ตาม จะต้องกระทบที่ท้องเสมอทุกครั้ง

    ๓ ฐานนี้มีความสำคัญมาก เป็นเครื่องวัดอารมณ์ของจิต เพราะถ้าจิตกำหนดจับฐานใดฐานหนึ่งไม่ครบ ๓ ฐาน แสดงว่าอารมณ์ของจิตอกุศลที่เรียกว่านิวรณ์ ๕ ได้ แต่อารมณ์หยาบ อารมณ์อกุศลที่เป็นอารมณ์กลางและละเอียดยังระงับไม่ได้ สมาธิของท่านผู้นั้น อย่างสูงก็ได้เพียงขณิกสมาธิละเอียดเท่านั้น ยังไม่เข้าถึงอุปจารสมาธิยังไกลต่อฌานที่ ๑ มาก

    ถ้าท่านผู้ปฏิบัติ กำหนดรู้ลมผ่านได้ ๒ ฐาน แสดงว่าอารมณ์ของท่านผู้นั้นดับอกุศลคือนิวรณ์ได้ในอารมณ์ปานกลาง ส่วนอารมณ์นิวรณ์ที่ละเอียด อันเป็นอนุสัยคือกำลังต่ำยังระงับไม่ได้ สมาธิของท่านผู้นั้นอย่างสูงก็แค่อุปจารสมาธิ จวนจะเข้าถึงปฐมฌานแล้ว

    ถ้าท่านผู้ใดกำหนดลมรู้ลมผ่านกระทบได้ทั้ง ๓ ฐาน ท่านว่าท่านผู้นั้นระงับนิวรณ์ละเอียดได้แล้วสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน

    ------------------------------------------
    หนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน
    โดย พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    หน้า ๑๔๒ – ๑๔๔
     
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    67195220_2387824147949628_1354578714599358464_n.jpg

    #คนมานิมนต์เราไปนั่งปรกนั่งเสกมีประจำ เราก็ไม่ค่อยได้ไป


    #เสกวัตถุให้ขลังง่ายนิดเดียวคนมีสมาธิจิตดีๆ เพียงชั่วเวลาแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องไปเสกทีเป็นชั่วโมงๆ เป็นเดือน เป็นปีหรอก บางทีที่ไปก็เพื่อกำลังใจเขา .....

    #ไปเสกสู้ไปสอนไม่ได้ เสกน่ะง่ายนิดเดียว แต่สอนคนให้หลุดพ้นนี่สิยากกว่า

    #เราจึงชอบไปสอนมากกว่า แม้ในที่นั้นจะมีอยู่สัก 2-3 คน หนทางจะไกล แต่ปรารถนาในธรรม เราก็อยากไป .....

    #สอนคนให้หลุดพ้นได้วิเศษอัศจรรย์ยิ่งกว่าเสกพระวัตถุมงคลให้วิเศษศักดิ์สิทธิ์เป็น1000 ๆ เท่า

    #กว่าจะตะเกียกตะกายมาเป็นมนุษย์กันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาก็สั้นนิดเดียว อย่ามัวเพลิดเพลินหลงไหลให้กิเลสมันหลอก สร้างภพสร้างชาติไม่จบไม่สิ้น

    .....................โอวาทธรรมหลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร

    #คณะศิษย์หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
     
  5. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    66278829_1214484045380017_569026357187575808_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่ไดโนเสาร์


    เหตุการณ์เมื่อองค์หลวงปู่เป็นพระกรรมฐานหนุ่ม(พระสมุห์หา สุภโร) เดินทางจากวัดบ้านคำคา จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อไปฟังธรรมจากพระอาจารย์มหาบัวในสมัยนั้น พอไปถึงวัดป่าบ้านตาดปรากฏว่าพระอาจารย์มหาท่านไม่อยู่จึงเดินสำรวจภายในวัด ก็ได้เจอแม่ชีสูงอายุกำลังตากกล้วยสุกในกระด้ง ท่านจึงถามว่า

    พระสมุห์หา ; แม่เอ๋ย มาบวชอยู่วัดป่าวัดดง ปารถนาทิพยสมบัติอันใด สวรรค์ชั้นไหนหนอ

    แม่ชี ; ลูกพระเอ้ย แม่ออกจากบ้านจากเรือน ออกทำความพากความเพียรภาวนา อย่าว่าแต่ทิพยสมบัติในสวรรค์นั้นเลย แม้แต่พรหมชั้นใดแม่ก็ไม่ได้ปารถนา แม่มาปฏิบัติเพื่อละเพื่อทิ้งโลกนี้และโลกหน้า พรหมสมบัติ ทิพยสมบัติ สวรรค์สมบัติก็โลก แม่เพลิดแม่เพลินแม่ก็มาเกิดอีก เวียนตายเวียนเกิดไม่จบไม่สิ้น แม่ไม่เพลิดเพลินในโลกทั้งที่เป็นมนุษย์และเป็นทิพย์ ลูกพระก็เหมือนกันนะ ทำความเพียรนะลูก คนได้พระนิพพานมีเอนกคุณมากล้น ทิพยสมบัติ ทิพยพรหม จะได้เศษได้เสี้ยวอะไร

    หลวงปู่ชอบสอนพวกเราว่าได้ฟังธรรมวันนั้นเหมือนได้อริยะทรัพย์มหาศาล อย่าดูเบาผู้หญิง ในธรรมะไม่มีตัวผู้ตัวเมีย ไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่เพศสาวก หญิงก็สาวก ชายก็สาวก สาวกแปลว่าผู้เชื่อผู้ฟัง ถ้าเชื่อถ้าฟังก็เรียกว่าเพศสาวก ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็เป็นสาวกะสังโฆ หญิงก็ตาม ชายก็ตาม ได้เหมือนกันหมด อย่าว่าตนเป็นลูกผู้หญิง ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายก็มีมากมาย ในธรรมมะไม่เลือกหญิงเลือกชาย ปฏิบัติได้ก็ถึงธรรมได้ถ้วนหน้า อย่าน้อยอกน้อยใจว่าเป็นหญิงแล้วบวชไม่ได้ เป็นหญิงถ้าตั้งใจปฏิบัติก็พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน

    ภายหลังเมื่อเอารูปเก่าๆในหนังสือองค์หลวงตาถวายท่านดู ท่านก็ชี้ว่าเป็นแม่ชีคนนี้ แม่ชีสูงอายุวันนั้นคือ คุณแม่แพงศรี โลหิตดี โยมมารดาองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน นั้นเอง

    จากเพจหลวงปู่ไดโนเสาร์
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    53278986_410487149514941_6744241455323152384_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

    * สัมภเวสี และวิธีช่วยสัมภเวสี *


    #สัมภเวสี คือ คนที่ตายก่อนอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่า อุปฆาตกรรม มาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตาย ทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกไปสอบสวนและจัดการลงโทษ

    มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้ แล้วไปเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับมาเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาอยู่ด้วยความลำบาก อยากจะกินอะไรก็หากินไม่ได้ ผีประเภทนี้เรียกว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด

    *** วิธีช่วยคนตายก่อนอายุขัย (สัมภเวสี) ***

    ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละ ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด ก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน

    คำสอน : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ที่มา : หนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน
     
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    67167054_2616028581741232_7894255421689430016_n.jpg

    พระเหนือโลก โลกลี้ลับ โดย ภักดีภูริ


    #เรื่องครูผู้วิเศษทั้ง๕ที่มีอายุยืนยาวมีชีวิตเป็นอมตะ

    คุรุหรือครูผู้วิเศษทั้ง๕ที่มีความเชื่อกันว่าท่านมีอายุนับพันปีมีชีวิตเป็นอมตะในโลกนี้เชื่อกันว่า ท่านมีอยู่๕องค์ ๑.หลวงปู่โลกอุดร(ไทย) ๒.บรมครูผู่ผู่อ่อง(พม่า)๓.มหาฤาษีบาบาจี(อินเดีย) ๔.สมเด็จลุน(ลาว)และ๕.หลวงปู่สรวงเทวดาเล่นดิน(เขมร)ความเชื่อเรื่องท่านทั้ง๕รูป คือ "คุรุ"หรือครูผู้วิเศษถูกกล่าวถึงมารุ่นสู่รุ่นในหลายประเทศดังกล่าว

    "หลวงปู่โลกอุดรหรือพระอุตรเถระ"ที่คงอยู่เพื่อพุทธกิจรักษาพระศาสนาให้ครบ๕,๐๐๐ปี เพื่อรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่คือพระศรีอาริเมตตรัยมาจุติ ท่านมีชีวิตเพื่ออบรมสั่งสอนศานุศิษย์ตลอดมา ได้วางปฐมบัญญัติพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกในดินแดนสุวรรณภูมิตามหลักศิลาจารึกเป็นอักษรเทวนาคีบ่งบอกเรื่องราวของคณะพระโลกอุดรทั้ง๕องค์ ได้แก่ พระอุตระ พระโสณะ พระฌานียะ พระมูนียะ พระภูริยะ และสามเณรสามรูป(หนึ่งในสามเณรนั้นคือหลวงปู่มั่นแม่ทัพธรรมพระกรรมฐานในปัจจุปัน)และ อุบาสก อุบาสิกา อีกจำนวนหนึ่งได้เริ่มเผยแพร่ศาสนาเป็นครั้งแรกที่วัดช้างค่อม(ปัจจุปันคือวัดมหาธาตุนครศรีธรรมราช)และเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาจนทุกวันนี้

    "บรมครูผู่ผู่อ่อง" คือบรมครูผู้ที่ชาวพม่าและมอญให้ความเคารพนับถือมายาวนานหลายร้อยปีมาแล้ว ท่านสำเร็จวิชาปรอทกายสิทธิมีอายุยาวนานเป็นอมตะ ล่องหนหายตัวเหาะเหิรเดินอากาศได้ ท่านมีลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาจากท่านหลายองค์และมีชื่อเสียงในพม่าเช่น ท่านผู่ดออี ท่านผู่ดอบิว ท่านผู่ด่อป๋วย ผู่ด่อห่าง อาจารย์อุเมี๊ยะขิ่น ท่านโพมินอ่อง
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนได้ถูกกล่าวขานจากชาวพม่าว่าท่านล้วนเป็นผู้วิเศษมีฤทธิมีอายุยืนยาวนาน ทั้งยังมีความเชื่อจนถึงปัจจุปันนี้ว่า"ท่านยังคอยหาสานุศิษย์ที่มีวาสนาบารมีมาร่ำเรียนวิชาจากท่าน"

    "หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูญ" ก็เป็นอีกตำนานของชาวเขมรในเรื่องทิพยอำนาจ รู้เห็นอนาตังคสญาน ท่านแสดงปาฏิหารย์มากมาย แม้ตัวผมเองก็เคยพบกับปาฏิหารย์ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบท่านๆให้หวยถูกทั้งสามตัวบนและสองตัวล่างในงวดเดียวกัน ทั้งยังเคยแสดงฤทธิให้รถทัวร์ติดหล่มเพราะคนขับรถคิดปรามาสท่านจนผมรู้เรื่องนี้ว่าคนขับคิดปรามาสท่านในใจจึงเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่านๆพูดคำเดียวว่า"ไป"รถที่ติดหล่มกว่าสิบชม.ก็ขึ้นจากหล่มทันที ทั้งที่ก่อนหน้าจะเอารถบรรทุกสิบล้อมาดึงก็ไม่ขึ้น เอารถไถนามาฉุดเชือกใหญ่เป็นนิ้วก็ขาด..พอท่านอนุญาติรถก็ขึ้นจากหล่มทันที

    "หลวงปู่สมเด็จลุน"บ้านเวินไซ จำปาสัก สปป.ลาวก็เป็นอีกองค์ที่มีฤทธิเหาะเหิรเดินอากาศ เดินข้ามแม่น้ำโขงมานมัสการพระธาตุพนม พระอาจารย์เกียน ฑีฆายุโก วัดสว่างวัฒนาราม จ.สกลนคร ศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร เคยเห็นสมเด็จลุนข้ามแม่น้ำโขงกับตาตอนที่ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดพระธาตุพนม ท่านเล่าเรื่องเห็นสมเด็จลุนเดินข้ามแม่น้ำโขงให้ผมและเพื่อนอีกสองคนฟังในปีพศ.๒๕๔๒(พระอาจารย์เกียนเคยพิสูจน์การบิณฑบาตรข้าวทิพย์จากเทวดาให้คนที่ไปพิสูจน์ได้ชิมมาแล้วเสียดายท่านมรณะภาพสิบกว่าปีแล้ว ถ้าท่านยังอยู่คงต้องมีการขอให้ท่านพิสูจน์บิณฑบาตรข้าวทิพย์จากเทวดาอีกแน่นอน)

    "ในอินเดียมีโยคีมากมายที่มีอายุยืนหลายร้อยปีทั้งยังแสดงฤทธิให้เห็นเป็นที่ประจักษ์มากมาย เช่นนั่งสมาธิในหิมะที่หนาวเย็นลบกว่า๓๐องศาเป็นเวลาหลายวัน หรือนำร่างท่านไปฝังในดินขาดอากาศหายใจนับเดือนพอขุดนำร่างท่านขึ้นมาท่านกลับไม่ตาย แต่มหาโยคีที่ทั่วโลกให้ความสนใจถูกกล่าวถึงมานานคือ
    "มหาคุรุบาบาจี"ซึ่งคนอินเดียมีความเชื่อว่าท่านมีอายุนับพันปี ท่านเกิดตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัยใกล้Badrinarayanท่านใช้ชีวิตแบบเงียบๆสมถ ภาวนาใต้ต้นไม้ ไม่ฉันท์เนื้อสัตว์ฉันท์เพียงผลไม้เท่านั้น ท่านเป็นคนอ่อนโยนมีใบหน้าที่อ่อนหวานคล้ายสตรีมีสายตาที่อ่อนโยนดูสงบเยือกเย็น ท่านเป็นเสมือนหนึ่งผู้นำจิตวิญญาน และด้วยความเมตตาช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากในอดีตชาวอินเดียจึงนับถือยกย่องท่านว่าเป็นเทพอวตารมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนมีความเชื่อว่าท่านเป็นบุตรของพระศิวะที่อวตารลงมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งกรรม

    ท่านพำนักอยู่ในถ้ำลึกที่มีหิมะปกคลุมมีอากาศหนาวเย็นบนเทือกเขานี้สูงมาก คนทั่วไปยากจะพบท่านๆจึงเหมือน"หลวงปู่โลกอุดร"ทั้งในเรื่องการดำรงค์ชีวิตอมตะ ออกช่วยเหลือสั่งสอนคนให้ทำความดีและทำความเพียรเพื่อพ้นทุกข์ ท่านรับศิษย์เพื่อสั่งสอนสรรพวิชาให้พ้นกฏเกณฑ์ของวัฏฏะสงสารข้ามการเวียนว่ายตายเกิดคนที่เคยพบท่านมักจะบอกว่าท่านไม่แก่เลยเห็นกี่ครั้งก็มาในร่างของหนุ่มน้อยอายุราว๒๕ปี
    ศิษย์ของท่านคนหนึ่งคือท่านโยคีโยคานันท์ได้เคยเขียนเรื่องราวที่ท่านได้พบกับ"มหาโยคีคุรุบาบาจี"ในหนังสือชื่อ Autobiography of A Yogi ว่าท่านพบกับ"มหาคุรุบาบาจี"ในปีค.ศ.1861ถึงค.ศ.1935รวมเวลาถึง74ปี(หนังสือตีพิมพ์ค.ศ.1964)เล่าว่าร่างกายท่านไม่เปลี่ยนแปลงเลย นอกจากนี้ในหนังสือของท่านศรียุกเตศวร ที่ชื่อว่า The Holy Science ก็กล่าวถึงท่านมหาโยคีคุรุบาบาจี เช่นเดียวกัน

    ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์หม่อมนิรนามเคยเล่าเรื่องของท่านคุรุบาบาจีให้ผมฟังว่า สมัยหนึ่งอาจารย์หม่อมนิรนามไตรภูมิเคยธุดงค์ไปทางเหนือของเนปาลแถบหิมาลัย ท่านไดัพบกับผู้วิเศษท่านหนึ่งซึ่งตอนนั้นท่านไม่รู้ว่าเป็นใครมาทดสอบท่านหลายๆเรื่องท่านเล่าว่าผู้วิเศษท่านนั้นหายตัวได้ แสดงฤทธิได้ทุกอย่างครั้งแรกท่านยังคิดว่าผู้วิเศษท่านนี้คือ"บรมครูหลวงปู่โลกอุดร"แปลงกายมาสอนท่าน แต่หลังจากที่ผู้วิเศษท่านนั้นทดสอบท่านอาจารย์นิรนามจนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้บอกว่าท่านคือ"มหาคุรุบาบาจี"

    เมื่อผมพบล็อกเก็ตชิ้นนี้ที่คนที่ไม่รู้จักจะเกิดความสงสัยเพราะรูปด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่โลกอุดร ส่วนด้านหลังเป็นรูปของท่านคุรุบาบาจี ซึ่งคนไม่รู้จักอาจคิดว่าเป็นรูปผู้หญิง ซึ่งจริงๆท่านมหาโยคีคุรุบาบาจีมีรูปลักษณะอ่อนโยนหน้าตาอ่อนเยาว์แม้จะมีอายุนับพันปีแล้วก็ตาม และแวบแรกที่เห็นก็รู้ว่าผู้สร้างล็อกเก็ตชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเพราะอัญเชิญรูป"บรมครูหลวงปู่โลกอุดร"ที่เป็นครูเหนือครูของศิษย์มากมายมานานจนจำกาลเวลาไม่ได้มาอยู่ด้านหน้า และนำรูปของ"มหาโยคีคุรุบาบาจีผู้ทรงฤทธิ"เป็นครูเหนือครูอีกองค์ที่ชาวอินเดียและคนในโลกหลายล้านคนที่ศรัทธาในอิทธิฤทธิปาฏิหารย์มาใส่ในล็อกเก็ตชิ้นเดียวกัน นั่นย่อมแสดงว่าผู้สร้างล็อกเก็ตนี้ต้องสัมผัสได้ในบารมีของบรมครูทั้งสององค์นี้..ว่าผู้สร้างคือใคร.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    3AABA0B5-02AE-40D7-B671-5E93C4668C12.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    "หลวงปู่ขาว กับวิมุตติธรรม"


    " .. เย็นวันหนึ่งเมื่อปัดกวาดเสร็จ ท่านออกจากที่พักไปสรงน้ำ "ได้เห็นข้าวในไร่ชาวเขากำลังสุกเหลืองอร่าม" ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในขณะนั้นว่า "ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจที่พาให้เกิดตายอยู่ไม่หมดก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้สิ้นไป จะต้องพาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด"

    ก็อะไรเป็นเชื้อของใจเล่า "ถ้าไม่ใช่กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน" คิดทบทวนไปมา โดยถืออวิชชาเป็นเป้าหมายแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ "พิจารณาย้อนหน้าถอยหลัง อนุโลมปฏิโลมด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา" นับแต่หัวค่ำจนดึกไม่ลดละการพิจารณา ระหว่างอวิชชากับใจ "จวนสว่างจึงตัดสินกันลงได้ด้วยปัญญา อวิชชาขาดกระเด็นออกจากใจไม่มีอะไรเหลือ"

    การพิจารณาข้าว "ก็มายุติทันทีข้าวสุกหมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิตก็มายุติกันที่อวิชาดับกลายเป็นจิตสุกขึ้นมาเช่นเดียวกับขัาวสุก จิตหมดการถือกำเนิดเกิดในภพต่าง ๆ อย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจ คือความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วน ๆ ในกระท่อมกลางเขา" มีชาวป่าเป็นผู้อุปัฏฐากดูแล

    ขณะที่จิตผ่านดงหนาป่ากิเลสวัฏฏ์ไปได้แล้ว "เกิดความอัศจรรย์อยู่คนเดียวตอนสว่าง พระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชาขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ ถึงวิมุตติหลุดพ้นในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัย" ช่างเป็นฤกษ์งามยามวิเศษเอาเสียจริง ๆ .. "

    "ประวัติหลวงปู่ขาว อนาลโย"
    โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    67119248_2613360185364840_7809149734186123264_n.jpg
    Baramee Rakthamใน ธรรมสโมสร

    เรื่องเล่า "คาถาน่ะไม่ขลังหรอก"

    หลวงพ่อจรัญเล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์จำนวนมากมาให้หลวงพ่อเดิม พุทธสโร เป่ากระหม่อม ท่านก็ว่าแค่ "เพี้ยง ดี" หลวงพ่อจรัญนึกสงสัย เพราะหลวงพ่อเดิมสอนคาถาให้ท่านไปท่องตั้งมากมาย แต่เป่ากระหม่อมให้คนอื่นไม่เห็นท่องคาถาอะไร

    หลวงพ่อเดิมให้คำตอบที่กระจ่างว่า "คาถาน่ะไม่ขลังหรอก เขาเอาไว้ท่อง เอาไว้เป็นองค์ภาวนาเพื่อให้จิตเป็นหนึ่งต่างหาก เหมือนเราจะเดินข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เปรียบเหมือนกำลังจิตที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นอำนาจอันมหาศาล ต้องอาศัยการภาวนาคาถาเพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง ใช้คาถานั่นแหละเป็นองค์ภาวนาต่างสะพานข้ามฟากไป

    "พอจิตข้ามฟากไปถึงจุดหมายปลายทาง คือเป็นหนึ่ง เป็นพลังมหาศาลแล้วก็รื้อสะพาน คือคาถาที่ภาวนาทิ้งไป จิตเป็นหนึ่ง เป็นพลังมหาศาล แล้วเขาเรียกว่าจิตตานุภาพ ฉันจึงไม่ต้องท่องคาถา แต่ใช้เจริญจิตให้เป็นหนึ่งแล้วเป่าลมปราณ อธิษฐานให้เขาสมหวังว่า เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี เข้าใจหรือยังล่ะ ไปท่องต่อไป ท่องให้จิตมันข้ามฟากให้ได้"

    หลวงพ่อเดิม พุทธสโร

    วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์

    -------------------------------------------

    เพิ่มเติมโดยหลวงตาอู๋

    อันนี้เรื่องจริงเลยครับ ตอนที่อาตมายังไม่ได้บวชก็เคยได้ไปอยู่วัดแห่งหนึ่งที่มีพระอภิญญาระดับเหาะเหินเดินอากาศได้ แปลงกายจากคนผอมเป็นคนอ้วน ย่นระยะทาง เดินลงไปในน้ำเพื่อไปเที่ยวเมืองพญานาคด้วยกายเนื้อ เดินเท้าไม่ติดพื้น ฯลฯ เป็นพระอภิญญาในยุคนี้เลย

    อาตมาเคยถามท่านว่า ที่หลวงปู่ทำฤทธิ์อภิญญาย่นระยะทาง เหาะเหินเดินอากาศได้นี้ หลวงปู่ต้องท่องคาถาอะไรหรือเปล่าครับ ท่านตอบว่า "คาถาไม่สำคัญเลย ถ้าเราฝึกจิตจนชำนาญใช้การได้ดีแล้วก็ไม่ต้องใช้คาถาอะไร ใช้แต่จิตเท่านั้น"
     
  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    67108787_2304623329793109_3138749210719944704_n.jpg
    #เล่าสู่กันฟัง
    "หลวงปู่หล้า จันโทภาโส"
    เกจิชื่อดังแห่งวัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ผู้คนทั่วไปมักจะเรียกท่านว่า "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" เนื่องจากปฏิปทาของท่านที่อัศจรรย์เสมือนมี "อภิญญา" คือ "ตาทิพย์-หูทิพย์" ซึ่งทำให้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

    ที่มาของชื่อ "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" นั้น เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งฝนตั้งเค้าว่าจะตกหนัก หลวงปู่หล้าจึงบอกให้พระเณรรีบออกจากกุฏิ เพราะกุฏิเก่าทรุดโทรมและมีต้นลานใหญ่อยู่ข้างๆ ปรากฏว่า วันนั้นฝนตกหนัก กิ่งต้นลานก็หักโค่นลงมาทับกุฏิจนพังเสียหาย แต่ทุกคนปลอดภัย เหตุการณ์นี้จึงทำให้ผู้คนพากันสรรเสริญท่านว่า "ตาทิพย์"

    อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ ครั้งหนึ่งมีคณะผู้มากราบนมัสการหลวงปู่หล้าเกินจำนวนที่แจ้งความประสงค์จะขอของขลังจากท่าน แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับแจกกันครบทุกคนอย่างน่าอัศจรรย์ ... จึงเชื่อกันว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของท่าน

    ไม่เพียงเท่านั้น อดีตครูใหญ่ของโรงเรียนบ้านป่าตึงท่านหนึ่งเล่าเพิ่มเติมว่า เช้าวันหนึ่งประมาณตี ๕ หลวงปู่หล้าได้ให้พระเณรรีบทำความสะอาดวิหาร (ราวกับว่าจะมีแขกมาหาที่วัด) ปรากฏว่า พอถึง ๖ โมงเช้า พระศรีธรรมนิเทศ เจ้าอาวาสวัดสันป่าข่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็นำคณะญาติโยมมาหาท่านที่วัดจริงๆ

    หรือเวลาที่มีชาวบ้านทำของหายหรือถูกลักขโมย เมื่อมาถามหลวงปู่หล้า ท่านก็จะบอกให้ไปตามทิศนั้นทิศนี้ จนกระทั่งได้ของคืนมาทุกครั้ง แต่หากท่านห้ามว่า ไม่ต้องไปตามเพราะจะไม่ได้คืน...ก็จะเป็นจริงตามนั้น

    ปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งก็คือ เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ หัวเมืองเหนือ พระองค์ท่านได้เสด็จนมัสการหลวงปู่หล้าที่วัดจนเป็นที่เอิกเกริก ประชาชนจำนวนมากแห่แหนไปต้อนรับพระองค์อย่างมืดฟ้ามัวดิน เมื่อพระองค์ท่านจะเสด็จกลับ หลวงปู่หล้าก็ได้ถวายพระพรแด่พระองค์ ซึ่งคราวนี้ดูหลวงปู่จะตั้งใจเป็นพิเศษ

    ปรากฏว่า หลังจากล้างรูปขณะที่หลวงปู่หล้าถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่นั้น...มีแสงสีส้มแดงที่หน้าผากของหลวงปู่!! อันแสดงถึงกระแสจิตของหลวงปู่ที่ตั้งใจและอัดอย่างเต็มที่แก่พระราชาผู้เป็นธรรมราชาแห่งแผ่นดินสยาม ...
     
  11. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    67242039_336471207257021_1699021863239286784_n.jpg
    #เล่าสู่กันฟัง
    #วิญญาณหญิงสาวมาขอส่วนบุญ
    .......กับหลวงปู่จันทา ถาวโร..."


    "...มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากบ้านเฉลียงลับมาถึงก็กราบแล้วพูดว่า "ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ"

    ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า "แม่หนูน้อย จงตั้งใจรับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ บุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาขอแบ่งครึ่งให้นะ แม่หนูน้อยจงรับเอาไปเถิด"

    "สาธุ...!" แล้วเขาก็ว่า "ใจร้อน ๆ เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงพ่อแล้ว ใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหมหนอ ?"

    "ไม่ตกหรอกแม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปเสมอนะ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาลเขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ นะ และอำนาจของ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่ใจของแม่หนูน้อยนั้น จะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น"

    เขาก็ว่า "เจ้าค่ะ" จากนั้นก็กราบ ๓ ที แล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิริยบาลไป

    ก็จดจำ รูปร่างลักษณะของแม่หนูน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง

    ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๓ กว่าแล้ว จิตก็เลยถอน เมื่อจิตถอนออกแล้วได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ วัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกันนะ พอตื่นเช้าก็ออกภิกขาจารบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยม ทายกนำอาหารมาถวาย แล้วก็พูดว่า...

    "ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ลูกสาวข้าพเจ้าขาดใจตายแล้วตอนตี ๓ "
    ตอนที่หญิงสาวไปหาในนิมิตนั้นก็เป็นเวลาตี ๓ พอดีถูกต้องตรงกันนะ ก็เลยพูดกับโยมไปว่า...

    "อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้นหมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น เพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิริยบาล ๘ คนมาเอาตัวไป พวกนายนิริยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี่แหละ เขาบอกว่าหญิงสาวอายุ ๑๖ ปีหมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น ทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่านุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือม ใช่ไหม ?"

    "ใช่แล้ว...ไม่ผิดหรอก"

    "ลูกของโยมเป็นคนมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ท่าทางเป็นนักปราชญ์ ใช่ไหม ?"

    "ใช่แล้ว...ลูกของข้าพเจ้า เมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสา ถ้าไม่ได้ทำบุญแล้ว จะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐินหรือบุญอะไร ที่ไหน ใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็น ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร เคยถามเขาว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้ ?"

    ลูกก็ตอบว่า "พ่อแม่นี้เป็นสมบัติเบื้องหน้า สมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติหามาได้ใหม่ ไม่ใช่เป็นสมบัติติดตามมาแต่ภพชาติปางก่อนโน้น ภพชาติปางก่อนโน้นของฉันเป็นเหตุ ถ้าฉันดีแล้วอะไรก็ดีหมด พ่อแม่ก็ดี ถ้าฉันชั่วแล้ว อะไรก็ชั่วหมดทั้งนั้น
    ฉะนั้น ฉันจึงไม่หวั่นไหว เห็นว่าบุญกุศลให้ผลเป็นสุขพาให้พ้นทุกข์ นั่นแหละจะส่งผลมาให้ได้พ่อแม่ที่ดี ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน เพราะกรรมดีของฉันสะสมไว้แต่ปางก่อนโน้น มาชาตินี้จึงได้พ่อแม่ที่ดี ส่วนสมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่นานก็จะจากกันไปเท่านั้น เมื่อจากกันแล้วก็ทอดทิ้งไว้ เอาไปด้วยไม่ได้ทั้งสมบัติภายในและสมบัติภายนอก"
    นั่นแหละ พอฉันเช้าเสร็จแล้ว เขานิมนต์ไปทำพิธีเผาศพลูกสาวที่ป่าช้า ไปแต่เช้าเลยนะ ถามเขาว่า...

    "ทำไมจึงรีบเผาแต่เช้า ?"

    เขาก็ว่า "ต้องรีบปลงภาระหนัก เจ้าของร่างเขาปลงภาระหนักไปแล้ว เราผู้ยังอยู่ก็รีบปลงภาระหนัก เมื่อเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างหมดภาระหนัก"

    เมื่อไปถึงป่าช้า เปิดฝาโลงดูก็เห็นศพมีรูปร่างเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิตเมื่อคืนนั้นแหละ พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้วก็เผาทิ้ง ไม่มีอะไร หมดเพียงแค่นั้น ถูกไฟเผาแล้วก็หมดทุกอย่าง"

    นี่แหละ ไปเห็นเป็นอย่างนั้น ก็น่าอัศจรรย์ใจนะ เห็นว่านรกนั้นมีแท้แน่นอน เพราะได้เห็น ทูตานุทูต คือ นายนิริยบาลเป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีกก็สิ้นสงสัย..."

    หนังสือ "ชีวประวัติ หลวงปู่จันทา ถาวโร" ที่ระลึกงานถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ หน้า ๓๗ - ๓๘
     
  12. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    คุณยายชีนวล มาสอนสมาธิในความฝัน
    ผมเองเป็นคนชอบภาวนา เวลานอนก็ชอบภาวนา บางทีก็เพ่งไปที่ลมหายใจ
    ตัวผมเองก็พอรู้จักยายชีนวล มาไม่นานผ่านเว็บเว็บไซต์คุณอำพล เจน แต่ก็ไม่สนใจอะไร โดยปกติจะละลึกถึงหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    บ้างก็เปิดฟังคำท่านสอนเรื่องการภาวนา

    มาวันหนึ่งก็นอนภาวนาปกติ จนลมหายใจแผ่วเบาไป จนหลับ มีแม่ชีองคหนึ่งมาหาแล้วมานั่งข้างๆ ผมจำได้แม่นเห็นหน้าก็ทราบเลยว่าเป็นคุณยายชีนวล คุณยายบอกไหนภาวนาซิ...ในความฝันก็นั่งภาวนาเพ่งที่ลมหายใจสักพัก คุณยายเลยทดสอบ เหมือนท่านเอากสินไฟ(เป็นลูกไฟกลมๆ)มาเผาที่ขา ผมเองรู้สึกร้อนทันทีแล้วก็ลืมตา(ขณะทำสมาธิในฝัน)

    แล้วคุณยายถามผมว่า "ร้อนไหม" ผมตอบว่าร้อนครับ...

    คุณยายบอกประมาณว่า...ถ้าอยู่ในสมาธิ ไม่ว่าจะร้อนแค่ไหน ร่างกายก็จะไม่รู้สึก(ประมาณนี้)
    ตรงกับคำสอนในประวัติหลวงพ่อพุธ ฐานนิโย ที่เข้าสู่สมาธิในระดับหนึ่ง เรียกเท่าไหร่ท่านก็ไม่ได้ยิน ถูกเตะ ก็ไม่รุ้สึกตัว
    คุณยายบอกผมว่า...ให้ทำสมาธิใหม่ เพ่งใหม่ ที่นี้แหละคุณเอ้ยยย...คุณยายชีนวลเอาก้อนกสินไฟมาจากไหนไม่รู้ ทั้งตัวคุณยายเองก็ลูกเป็นไฟ ท่านจะมเอาาสูมที่ตัวเรา แล้วผมเลยหลับตาเข้าสมาธิตามที่คุณยายบอกได้สักพักจิตก็วูบไปเลย เบาสบาย ไม่มีตัว ไม่ตน เหมือนมีแต่จิต ....
     
  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    A66D0731-E189-40B7-9ED1-496621F74E44.jpeg
    #เล่าสู่กันฟัง

    เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง


    สัจจะแห่งชีวิต
    เมื่อ พ.ศ ๒๕๔๐
    หลวงปู่เริ่มมีอาการไม่สบาย ลูกศิษย์ได้พาไปรักษา
    ที่โรงพยาบาลนครพนม และได้เดินทางไปรักษาตัว
    ที่่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพฯ
    ได้มีครอบครัว คุณกรรณภว์ ธนภควิน
    และครอบครอบ คุณอรุณี อรุณรัศมีโชติ
    เสียค่าใช้จ่ายในการรักษา

    ความเมตตา
    ในขณะที่หลวงปู่กลับมารักษาตัวอยู่ที่วัดนั้น
    ได้มีศิษยานุศิษย์เดินทางมา เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่
    ทั้งที่ท่านยังป่วยไม่สบาย ท่านก็ลุกมาต้อนรับ
    และสนทนาธรรม ท่านบอกว่า
    "เขาเดินทางมาไกล เดินทางเป็นวัน"
    เราเดินไปรับโยม ไม่กี่ก้าว

    หลวงปู่กับศิษย์
    เมื่อท่านป่วยไม่สบาย คณะศิษยานุศิษย์
    ก็ช่วยกันดูแลอุปัฏฐาก แบ่งเวลาหน้าที่
    ข้าพเจ้าได้เองก็ได้เฝ้าไข้ดูแลท่าน
    และได้ฟังเรื่องราวต่าง ที่หลวงปู่เล่าให้ฟัง
    ประสบการณ์แห่งชีวิต......ดังเรื่องต่อไปนี้

    หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ พ.ศ 2540
    แผ่เมตตา
    หลวงปู่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า..
    เมื่อท่านปฏิบัติธรรมกรรมฐานที่วัดป่าแห่งหนึ่ง
    ห่างจากบ้านหนองหอยใหญ่พอสมควร เมื่อท่านทราบว่า สามเณรเปอ ที่พักอยู่วัดบ้านป่วยหนัก
    จึงเดินทางไปเยี่ยม พร้อมกับสามเณรสม ซึ่งเป็นสามเณรอุปัฏฐาก

    ท่านมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรรักษาโรค
    เมื่อเยี่ยมไข้ ซักถาม พอสมควรแก่เวลาแล้ว ก่อนจะกลับได้ให้ ธรรมะข้อคิดกับสามเณร ว่า
    “สังขาร คือร่างกายไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ ให้พิจารณาให้มาก
    เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอนิจจัง มีสุข มีทุกข์ อยู่ดีๆก็ทำให้เจ็บป่วย
    มันเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ต่อไปก็จะหายเอง”

    หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    เส้นทางชีวิต-พยามัจจุราช
    ขณะทางเดินกลับนั้น ท่านได้บอกสามเณรว่า
    “อย่าเดินชิดกันเกินไป ให้ห่างกันประมาณ ๕ เมตร
    และขณะเดินให้กำหนดภาวนาไปเรื่อยๆ”

    พอมาถึงบริเวณป่าไผ่แห่งหนึ่ง ที่มีใบปกคลุม
    มืดเพราะกิ่งไผ่และต้นมะม่วงป่าได้บังแสงจันทร์ ทำให้เกิดเงามืด
    ขณะที่เดินผ่านนั้น ได้ยินเสียงดัง ซ่าๆๆๆ มาจากแนวไผ่ป่า ตรงมายังท่าน

    ท่านได้หยุดยืนฟังเสียงนั้น ในขณะที่ท่านหยุดอยู่
    เจ้าของเสียงซ่าๆๆ นั้นก็เลื้อยเข้ามาระหว่างเท้าทั้งสองข้างของท่าน
    และติดอยู่บริเวณตาตุ่ม ท่านบอกว่า รู้สึกคับและมันไม่ผ่านไปสักที รู้สึกตกใจกลัว

    แต่ก็ตั้งสติกำหนดจิตพิจารณาว่า นี้อะไรหนอ?
    ถ้าเป็นแมว ทำไมไม่เกาะแข้งพันขา ทำไมหยุดนิ่งทับหลังเท้าอยู่อย่างนี้
    ยืนพิจารณาอยู่ตั้งนานไม่ผ่านไปสักที ท่านก็เลยกระดิกนิ้วเท้าเขี่ยดู
    เจ้าสิ่งนั้นก็ทิ้งลำตัวลง ทำให้รู้สึกหนักขึ้น

    สามเณรที่เดินตามมาได้ร้องขึ้นว่า
    ท่านอาจารย์ๆ งูใหญ่ มันแผ่แม่เบี้ย จนพ้นหัวของท่านแล้ว
    เมื่อสามเณรร้องเตือนดังนั้น ก็ไม่มีวิธีแก้ไขแล้ว
    เพราะถ้ากระดุกกระดิกตัว งูนั้นก็คงจะฉกลงบริเวณ ศีรษะ ท่านพอดี

    สละชีวิต
    ท่านจึงยื่นนิ่งและตั้งสติกำหนดจิตแผ่เมตตาอธิษฐานในใจว่า
    “ ตัวเราไม่เบียดเบียนใคร ตั้งใจบวชอุทิศตนต่อพระพุทธศาสนา
    หากแม้หมดวาสนา และเคยมีเวรมีกรรมแก่กันและกันมาก่อน ก็ขอให้งูจงกัดตามชอบใจเถิด
    หากไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน ก็ขออย่าได้เบียดเบียนกันเลย ให้ต่างคนต่างไปเถิด ”

    หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ พ.ศ 2546
    พลังแห่งเมตตา
    เมื่อกำหนดจิตแผ่เมตตาชั่วอึดใจ งูนั้นก็ค่อยๆ ลดตัวลง
    เลื้อยผ่านเข้าไปในพงป่าไผ่ เมื่องูเลื้อยเข้าป่าไปแล้ว
    ท่านและสามเณรจึงเดินต่อไป ในระหว่างทางได้พบกับโยมลุงปานถือใต้(คบเพลิง)
    เดินสวนทางมา จึงบอกให้ระวังหนทางด้วย เพราะข้างหน้าที่จะผ่านไปนั้น
    มีงูใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ที่บริเวณป่าไผ่

    ลุงเกิดความกลัวไม่กล้าเดินผ่าน เพราะตัวเองแก่สายตาไม่ค่อยดี
    หลวงปู่ถือไต้(คบเพลิง)เดินย้อนกลับมา เพื่อส่งลุงอีกครั้ง

    เมื่อมาถึงบริเวณนั้น ใช้ไต้ส่องดูเห็นรอยงูเท่ากับฝ่ามือ
    ลุงได้ถามว่าเป็นงูอะไร ท่านบอกว่าเป็นงูจงอาง
    เพราะที่นั้นรกครึ้มด้วยกอไผ่และต้นมะม่วงป่า มีคนเคยเห็นเจ้างูนั้นบ่อยๆ
    คนที่พบส่วนมากจะเป็นคนที่มาเกี่ยวหญ้าคาที่นี้เพื่อนำไปมุงหลังคาบ้าน

    หลวงปู่บอกว่า....
    เมื่อคราวคับขัน การแผ่เมตตา ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ก็ช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยอันตรายได้

    ขอบคุณบทความจาก : วัดป่ามหาชัย
     
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    #เล่าสู่กันฟัง

    อำนาจจิตของหลวงปู่ศรี


    เมื่อกล่าวถึงอำนาจจิตของท่าน มีพระอดีตผู้ใหญ่บ้านที่สละบ้านเรือนออกบวชติดตามหลวงปู่ศรี ได้เล่าด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ในอำนาจจิตของท่านไว้ว่า.....

    ...ตอนที่ผมยังไม่ได้บวชและยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ผมเข้ามาวัดป่ากุงใหม่ๆ ท่านเทศนาว่า “เรามาประพฤติปฏิบัติ ให้ตั้งอกตั้งใจ”

    ผมก็พูดสวนท่านว่า “หมามันเห่าทางบ้าน ผมห่วงว่า จะมีโจรขโมยควาย”

    ท่านจึงบอกว่า “จะเอาของดีให้ ทำไมมาพูดแย้ง ไม่ใช่วิธีนะ”

    ผมก็ยังพูดแย้งขึ้นอีกว่า “ผู้ใหญ่บ้านเขาเปิดบ่อนการพนัน คนเล่นคนกินคนเที่ยวมันเยอะ ไม่รู้ว่าควายที่บ้านเป็นยังไง หมาตัวอยู่บ้านมันเห่า”

    ท่านเลยด่าเอาว่า “มาประพฤติปฏิบัติในศีลธรรมจะไปกลัวทำไมกับของแบบนั้น ถ้าหากเราประพฤติดีแล้ว ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้หรอก ปืนก็ยิงไม่ออก ไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่ตาย ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่ตรัสไว้หรอก สวากขาตธรรม คนไหนประพฤติธรรม คนนั้นไม่มีอันตราย ”

    ผมฟังท่านแล้วผมไม่เชื่อ ผมไม่เคยเห็นว่าธรรมจะรักษาวัวควายที่บ้านผมได้ ผมก็เลยขอลาท่านกลับไปบ้าน แยกไปคนเดียว สัญญากับเพื่อนไว้หากมีเรื่องจะฉายไฟเรียก กลับไปถึงบ้านเห็นคอกควายโดนขโมยเปิดไว้หมด แต่ควายไม่ออกจากคอก ปรากฏว่า พวกขโมย

    มันเอาสนตะพายควายตัวผู้ ดึงควายตัวผู้ออกหนีจากหมู่พวก แต่มันไม่ยอมไป ควาย ๗ ตัวไม่ออกจากคอกซักตัว พ่อก็แก่ แม่ก็เฒ่า นัยตาก็ฝ้าฟาง มีเพียงหลานกำพร้าลูกของน้องสาว ผมจึงถามพ่อว่า “พ่อนอนต่างไหม?” (หมายถึงนอนแล้วรู้สึกมีอะไรแปลก ๆ หรือผิดปกติ หรือเปล่า )

    พ่อบอกว่า “ลูกเอ้ย! ควายมันหลุดวิ่งไล่ขวิดกันอยู่ ไปผูกหน่อย”

    ผมก็โมโห บอกพ่อว่า “เขาจะขโมยควายเรา แต่ควายเราไม่ไป” ผมเลยฉายไฟเรียกเพื่อน เพื่อน ๑๒ คนจึงมาดูด้วยกัน ต่างคนก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน อัศจรรย์จริงอย่างท่านหลวงปู่ศรีฯ ว่า “ผู้ใดประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

    ผมหัวเข่าทรุดลงกับพื้นดินตรงปากคอกควายหันหน้าไปทางพ่อแม่ครูอาจารย์ (ศรี) กราบขอเป็นลูกศิษย์ท่าน นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นกับผมจริง ๆ หลังจากนั้นมาผมได้มากราบฟังธรรมท่านเสมอ และมีเรื่องอัศจรรย์ในคุณธรรมของท่านเสมอ จึงเกิดศรัทธาแก่กล้าสละบ้านเรือนออกมาบวชประพฤติศีลธรรม

    ภูมิเจ้าที่วัดป่ากุง

    หลวงปู่เล่าถึงภูมิเจ้าที่วัดป่ากุงตนหนึ่ง หลวงปู่เรียกว่า “อีสิ้นเหี่ยน” แปลงร่างได้ ๒ รูปแบบ ๑. เป็นงูใหญ่หางด้วน ตัวเท่าลำต้นตาล ๒. เป็นผู้หญิงแต่งชุดเปลือกไม้ปกปิดกาย อีกตนหนึ่ง เรียกว่า “บักดำใหญ่หรือบักคอลาย” ท่านทรมานสมัยอยู่ที่ วัดป่าหนองใต้ จนยอมตัว ขออยู่รับใช้ติดตามมาอยู่วัดป่ากุงกับหลวงปู่ มาเฝ้าวัดเฝ้าสระใหญ่ ใครไปจับต้อง ลักเล็กขโมยน้อยในวัด เอาของโดยไม่บอกกล่าวก่อน ต้องมีอันเจ็บไข้ได้ป่วยมีอันเป็นไปต่างๆ ถ้าอยากจะหายก็ต้องแต่งขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ มาขอขมาหลวงปู่ จึงหายจากอาการที่เป็น หลวงปู่บอกว่าด้วยอานิสงส์แห่งการรับใช้พระ ภูมิเจ้าที่ทั้งสองได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงแล้ว

    ต่อมาท่านก็เป็นผู้นำชาวบ้าน ปลูกป่าไม่ว่าจะเป็นส้ม มะนาว กล้วย กอไผ่ ฯลฯ ปลูกในบริเวณวัด ท่านปลูกกล้วยล้อมโบสถ์ ไม่ให้ใครแตะต้อง พอพวกโจรขโมยผ่านมาเห็นกล้วยสุกคาเครือน่ากิน ก็ชวนกันเข้าไปขโมย ไปกัน ๔ คน เอากระสอบข้าวสารไปใส่ ตัดใส่ถุงละเครือ หามกระสอบกล้วยเดินวกวนไปมาอยู่ในบริเวณวัด หาทางออกไม่ได้จนกระทั่งสว่าง นั่งเหนื่อยล้าอ่อนเพลียทอดอาลัยอยู่ที่ใต้ร่มไม้

    พอตอนเช้าท่านออกไปบิณฑบาต จึงบอกพระเณรว่า “ไปเรียกพวกขโมยบ้าหามกระสอบกล้วยเดินรอบวัดทั้งคืนมานี่ซิ” เมื่อถามพวกขโมยนั้นมาท่านก็ถามว่า “เป็นไงบ้างเหนื่อยไหม? ถ้าอยากกินทำไมไม่ขอ คราวหลังก็ขอสิ เอ้า เอาไปกินซะ”

    เมื่อท่านอนุญาตให้ เขาก็กราบท่าน แล้วกราบเรียนท่านด้วยความตื่นเต้นตื่นกลัวว่า “เข็ดแล้วครับท่านอาจารย์ เข็ดไปจนวันตาย วัดนี้ผีเยอะเหลือเกิน พวกผมจะเดินหนีไปทางไหนก็มีผีขัดขวาง ไม่เจอผีก็เจอป่าทึบ หาทางมุดออกไม่ได้ เดี๋ยวก็เจอเสือ เดี๋ยวก็เจองูใหญ่ วิ่งหนีตายกันแทบทั้งคืน แทบจะเอาชีวิตไม่รอด เสื้อผ้าขาดวิ่นหมด”

    “ทีหลังอย่าพากันไปหาลักขโมย มันเป็นบาป อยากได้อะไรก็ขอเอาตรงๆ” หลวงปู่ศรีท่านกล่าวสอน

    อีกอันหนึ่ง ก็เป็นเรึ่องแปลกประหลาดเช่นกัน คือมีคนหนึ่งมารับจ้างขุดสระน้ำที่บ้านโสร่งแดง ห่างจากวัดป่ากุงนี่ไปก็ประมาณ ๔-๕ กม. เลยบ้านก่อไป แกเอาแทรกเตอร์ขุดตรงนั้น แทรกเตอร์ดับไม่ติดเลย ทำยังไงก็ไม่ติด มีคนแนะนำแกว่า ให้แต่งเครื่องเซ่นสังเวยผีปู่ตาสิ เดี๋ยวรถก็จะสตาร์ทติด แกทำพิธีอย่างที่แนะนำ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มีอีกคนบอกว่า ลองไปขอน้ำมนต์จากหลวงปู่ศรี วัดป่ากุงสิ แกจึงมากราบหลวงปู่เล่าความเป็นไปให้ท่านฟัง ท่านจึงทำน้ำมนต์ให้ แกก็เอาไปรดพรมรถแทรกเตอร์ พรมน้ำมนต์เสร็จ รถสตาร์ทติดทันทีเลย แกก็ก้มลงกราบหลวงปู่ตรงนั้นเลย พอเสร็จงานก็เลยมาหาหลวงปู่ บอกหลวงปู่ว่า ผมอัศจรรย์ในบุญบารมีครูบาอาจารย์จริงๆ ตั้งแต่นั้นมาทางวัดป่ากุงมีกิจการงานอะไรเกี่ยวกับเรื่องขุดสระ แกมาทำถวายหมด นี้เป็นเพียงเกร็ดเล็กน้อยในอีกหลายเรื่องที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ให้รู้ถึงอำนาจจิตและบุญญาภินิหารของหลวงปู่ศรี มหาวีโร

    ขอบคุณบทความจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-sri/lp-sri-hist-08.htm
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    7851A282-6F27-46E1-BF4B-B5CB9633090F.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง
    "อาจารย์ช้างสอนกรรมฐานแม่ชี"


    หลวงปู่ (หลวงปู่ขาว อนาลโย) พูดถึงช้างของปู่หลุบภูพาน เชือกนั้นว่า มีอยู่คืนหนึ่งดึกสงัดประมาณตีสาม ช้างเชือกนั้นเข้ามาเยี่ยมทางกุฏิแม่ชี มันเอาสีข้างถูไปมาอยู่กับกุฏิแม่ชี จนกุฏิโยกคลอนตามแรงถูของมัน

    แม่ชีกำลังนั่งภาวนาอยู่ รู้ว่าเป็นช้างของปู่หลุบภูพาน ถึงกับตัวสั่น ปากสั่น คางสั่น มือไม้อ่อนแรง เหงื่อไหลท่วมตัวทั้งที่อากาศกำลังหนาวเย็นยะเยือก

    แม่ชีรีบบริกรรม “พุทโธๆๆ” อย่างถี่ยิบ ใจคิดว่า ถ้าจะตาย ขอให้ตายกับพุทโธนี้เถิด บริกรรมอยู่สักพักจิตแกลงสงบนิ่ง จนไม่ทราบว่าช้างเชือกนั้นไปตั้งแต่เมื่อไร เพราะจิตใจแกจดจ่ออยู่ที่พุทโธ เกิดสมาธิแน่วแน่จนถึงเช้าเลย

    หลังจากที่ช้างใหญ่มาเยี่ยม บรรดาแม่ชีทั้งหลายต่างพากันเร่งภาวนาชนิดฝากเป็นฝากตายกันทีเดียว ยิ่งคืนไหนที่เจ้าหูใหญ่เท้าใหญ่มันเดินเข้ามาในบริเวณนั้น ก็จะภาวนากันจนตลอดรุ่งชนิดไม่ยอมหลับนอนกัน

    หลวงปู่บอกว่า มันช่างต่างกันกับที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนเสียเหลือเกิน ถ้าครูบาอาจารย์เทศน์สอน เหมือนกับเป่าปี่ให้ฟัง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน สอนเท่าไรๆ ก็ไม่เป็นพุทโธ ผู้ตื่นผู้เบิกบานสักที

    ไม่เหมือนกับท่านอาจารย์ช้างมาช่วยสอน อาจารย์ช้างสอนไม่ต้องเทศน์ ไม่ต้องอบรม เพียงแค่หายใจให้ได้ยิน หรือเพียงแค่เหยียบกิ่งไม้เท่านั้น การสอนมันก็เข้าไปถึงขั้วหัวใจจริงๆ

    แม่ชีพากันเข็ดหลาบไปตามๆ กัน ยอมสารภาพด้วยความเคารพบูชา นั่งภาวนาพุทโธ ถี่ยิบไม่มีพลั้งมีเผลอเลย

    ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ หลวงปู่จึงได้พาลูกศิษย์ลูกหาไปวิเวกในบริเวณป่าเปลี่ยวๆ อันเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์อย่างกับถ้ำกลองเพลในอดีต อันเป็นสมรภูมิในการฝึกทรมานกิเลสอาสวะต่างๆ ให้มันหายพยศโหดร้าย กลายเป็นคนมีศีลมีธรรม มีจิตใจอันใสสะอาดบริสุทธิ์ ไร้ความขุ่นมัว เหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เหมือนแก้วมณีอันสดใสไร้ราคี ฉะนี้

    "พระอาจารย์ขาว อนาลโย"
    วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

    คัดจาก...โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๔ (หน้า ๓๕๐-๓๕๑)
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=54907


    >>>
     
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    F0AF13B1-B14F-4633-BE96-0C4D036CECBE.jpeg
    "ผู้ทรงค่า ควรแก่การเลื่อมใส"

    มีท่านผู้หนึ่ง ซึ่งถือว่าใกล้ชิดและรู้ต้นปลายของ #คุณยายชีนวล แสงทอง ในช่วงบั้นปลายชีวิตค่อนข้างดี ท่านผู้นี้ ชื่อว่าประสิทธิ์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวบ้านดงตาหวานรุ่นเก่า ได้กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมด ที่รู้เห็นและรับรองว่า เป็นความจริงทุกประการ

    ปี ๒๕๓๘ คุณประสิทธิ์ ได้รู้จักยายชีนวล เป็นครั้งแรกโดยไม่ตั้งใจ

    วันนั้น มีงานบุญทอดกฐินสามัคคี ที่วัดภูน้อย คุณประสิทธิ์ ผู้เคยบวช และ สนใจปฏิบัติธรรมมาก่อนจึงพอเข้าใจ และ รู้จักเรื่องพระเณรหรือเรื่องของนักปฏิบัติ ได้พิจารณาสังเกตุดู พระเณรหรือใครต่อใคร ที่มาร่วมงานบุญ

    จนเห็นยายชีแก่ๆองค์หนึ่ง นั่งสำรวมเรียบร้อย ดูสงบ ทรงพลังน่าเลื่อมใส เหตุที่สะดุดตาและใจ ก็ด้วยว่ายายชีองค์นี้ ไม่รับอาหารเพล จึงเข้าไปสอบถาม ได้ความว่าท่านกินมื้อเดียว

    หลังจากนั้น ได้สนทนากับท่าน จนเกิดความนิยมนับถือ ทำให้ได้ทราบว่า ยายชีนี่เอง ที่เป็นหัวใจในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดภูน้อย สิ่งใดขัดสนกันดาร ยายชี เป็นกำลังสำคัญ จัดหาสิ่งขาดแคลน จนมีครบสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำดื่ม น้ำใช้ กุฏิ ศาลา ห้องน้ำ ห้องสุขา ยายชีเป็นธุระจัดหาให้หมด เกิดความสะดวกสบายแก่ผู้อาศัยทุกคน

    โดยส่วนตัวของยายชี มีอารมณ์เป็นสมาธิตลอดเวลา ตกกลางคืนบำเพ็ญเพียรภาวนา พิจารณาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าเราเขา ล้วนร่วงโรยเสื่อมโทรม ไปตามกาลเวลา หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้

    วันหนึ่ง ยายชีเล่าให้คุณประสิทธิ์ฟังว่า เมื่อคืนเกิดนิมิต เห็นบุรุษผู้หนึ่ง สวมหมวกขี่ม้า หยุดตรงหน้า ยื่นกะลามะพร้าวใส่เกลือให้ กำชับว่า เก็บไว้ให้ดี

    นิมิตนี้ มีความหมายอย่างไร ยายชีได้อธิบายว่า นี่เป็นปริศนาธรรม ที่เทวดามาส่งให้ มะพร้าวหมายถึงให้ “ฟ้าวเฮ็ดฟ้าวทำ”(รีบปฏิบัติ รีบทำ)เกลือหมายถึง ความอดทนพากเพียรรักษา การประพฤติปฏิบัติ ให้มั่นคงดุจเกลือ รักษาความเค็ม

    ปกติยายชี เป็นผู้สม่ำเสมอ ในการบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่แล้ว พอนิมิตนี้ปรากฏ ท่านเร่งความเพียรเป็นทวี เกิดปิติสุข อิ่มเอิบอยู่กับผลของความเพียรอย่างบอกไม่ถูก

    ต่อมาบุรุษท่านเดิม มาปรากฏตัวในนิมิตอีก คราวนี้มอบใบตองแห้งห่อเกลือให้ ความหมายคือให้รักษาผลของการประพฤติปฏิบัติที่เกิดขึ้นแล้วไว้ต่อไป เหมือนใบตองรักษาเกลือเอาไว้ ไม่ให้หกหล่นเรี่ยราดเสียหาย

    ยายชีบอกว่า ท่านได้เก็บปริศนาธรรมนี้ ไว้สอนใจและเตือนใจท่านไว้ตลอด

    Cr : Ampol Janekoonthongkumbai
     
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    C7B4A55B-20F8-46BC-A5E3-664B31831104.jpeg

    #วิมานรุกขเทพ

    หลวงปู่เล่าว่า ในสมัยที่ท่านอาพาธพักย่างไฟอยู่กุฏิโรงไฟนั้น ขณะที่ท่านกำลังภาวนาอยู่ได้ปารกฏว่าบนต้นไทรใหญ่นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพวกรุกขเทพ เป็นวิมานที่อยู่ของเขา เมื่อหลวงปู่เข้าไปอยู่ในกุฏิซึ่งอยู่ภายใต้ต้นไทรใหญ่นั้น พวกรุกขเทพทั้งหลายต้องลงมาอยู่บนพื้นดิน ได้รับความลำบากมาก

    เมื่อเห็นความลำบากเกิดแก่เขาเช่นนั้น ท่านจึงบอกให้เขาย้ายที่อยู่เสียใหม่ โดยท่านบอกให้เขาย้ายที่อยู่เขาไปอยู่ข้างในป่าลึกเข้าไป ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามคำแนะนำโดยเคารพ

    ท่านเล่าว่าพวกเทพนั้น ไม่ว่าจะเป็นชั้นต่ำหรือชั้นสูง ความเคารพที่มีต่อพระนั้นมีอยู่เสมอกัน เขาจะไม่ยอมล่วงคารวธรรมเป็นอันขาดการเข้าการออกเวลาเขามาเขาไป ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเชื่อฟังหัวหน้าดูแล้วงามตาชื่นใจ

    ไม่เหมือนมนุษย์เรา ซึ่งแล้วแต่ความพอใจ อยากแสดงอย่างไรก็ทำไปไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร การแสดงออกของมนุษย์ไม่คำนึงถึงว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายอย่างไรหรือไม่ ขอให้แสดงออกตามความเห็น ตามความพอใจของตนนั่นแหละเป็นการดี ซึ่งบางครั้งการแสดงออกเช่นนั้นไม่ถูกกาล ถูกเวลา แต่ก็แสดงออกมาจนได้โดยไม่มีความละอายแก่ใจบ้างเลย

    จาก หนังสือ อรหันต์เหินฟ้า หลวงปู่แหวน
    เพจ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    793C90AA-2EE3-41FA-B087-24D6CCBE72B9.jpeg

    มูลเหตุที่ทำให้ “หลวงพ่อวิริยังค์” อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา

    • พบพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ •


    ครั้งเมื่อครอบครัวของ “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร” ได้ย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ้านใหม่สำโรง ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา วันหนึ่งขณะที่ท่านมีอายุประมาณ ๑๓ ปี ย่างเข้า ๑๔ ปี เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งชวนเป็นเพื่อนให้ไป “วัดสว่างอารมณ์” ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งมี พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เป็นเจ้าอาวาส ขณะที่รอเพื่อนผู้หญิงคนนั้นไปต่อมนต์ (ท่องบทสวดมนต์) กับพระอาจารย์กงมา ท่านก็รออยู่ด้วย ความเบื่อหน่ายเพราะไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มกลับเที่ยงคืน จะกลับบ้านเองก็ไม่ได้ เพราะเส้นทางเปลี่ยวและกลัวผี ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้วๆ ๆ” ไม่ช้าก็เกิดความสงบขึ้น ตัวหายไปเลย เบาไปหมด เห็นตัวเองมี ๒ ร่าง ร่างหนึ่งเดินลงศาลาไปยืนอยู่ที่ลานวัด มีลมชนิดหนึ่งพัดหวิวเข้าสู่ใจ รู้สึกเย็นสบายเป็นสุขอย่างยิ่ง ถึงกับอุทานออกมาเองว่า “คุณของพระพุทธศาสนามีถึงเพียงนี้เทียวหรือ” แล้วเดินกลับไปที่ร่าง กลับเข้าตัวพอดีเป็นเวลาเลิกต่อมนต์ จึงเล่าให้กับพระอาจารย์กงมาฟัง ท่านก็พูดว่า “เด็กนี่ เรายังไม่ได้สอนสมาธิให้เลยทำไมจึงเกิดเร็วนัก” ตั้งแต่นั้นมาก็จึงเรียนรู้เกี่ยวกับการทำสมาธิจนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งท่านทำงานหนักเกินตัวจึงล้มป่วยเป็นอัมพาต บิดาพยายามหาหมอมารักษาแต่ก็รักษาไม่ได้ แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าหมดหวังในการรักษา

    • พบชีปะขาวมารักษาให้หายจากอัมพาต •

    หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ได้แต่นอนอธิษฐานอยู่ในใจว่า “ถ้ามีผู้ใดมารักษาให้หายจากอัมพาตได้ จะอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น” ไม่นานนักก็ปรากฏว่ามีชีปะขาวหนวดรุงรังตนหนึ่ง มาถามโยมบิดาของท่านว่า “จะรักษาลูกให้เอาไหม” โยมบิดาก็บอกว่า “เอา” ชีปะขาวก็เดินมาหาท่านซึ่งนอนอยู่ พร้อมทั้งกระซิบถามว่า “อธิษฐานดังนั้นจริงไหม” ท่านก็ตอบว่า “จริง” ชีปะขาวตนนั้นจึงให้พูดให้ได้ยินดังๆ หน่อย ท่านก็พูดให้ฟัง ชีปะขาวก็เอาไพรมาเคี้ยวๆ แล้วก็พ่นใส่ตัวของท่านจนเหลืองไปหมด แล้วก็จากไป

    เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าท่านรู้สึกว่าจะกระดิกตัวได้ ทดลองลุกขึ้นเดินก็ทำได้ เป็นที่อัศจรรย์ใจ ๗ โมงเช้าปรากฏว่าชีปะขาวมายืนหลับตาบิณฑบาตอยู่ที่ประตูบ้าน ท่านจึงนำอาหารจะไปใส่บาตร ชีปะขาวกลับขอให้ท่านพูดถึงคำอธิษฐานของท่านให้ฟัง เมื่อพูดแล้ว จึงยอมรับบาตร แล้วบอกให้ท่านไปหาที่ใต้ต้นมะขาม วัดสว่างอารมณ์

    เมื่อไปถึงชีปะขาวก็ให้พูดคำอธิษฐานให้ฟังอีก แล้วก็พาเดินไปหลังวัด คว้าเอามีดอันหนึ่งออกไปตัดหางควาย มาชูให้ดู แล้วก็ต่อหางคืนไปใหม่ เหมือนไม่มีอะไรเกิขึ้น พร้อมกับถามว่า “ลุงเก่งไหม” ท่านก็ตอบว่า “เก่ง” ลุงจะสอนคาถาให้ แต่ต้องท่องทุกวัน เป็นเวลา ๑๐ ปีจึงใช้ได้ ท่านก็ได้เรียนคาถานั้น แล้วก็บอกว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมใส่บาตร วันรุ่งขึ้นปรากฏว่าไม่พบตาชีปะขาวแล้ว ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่เคยพบกับตาชีปะขาวอีกเลย

    ครั้นเมื่ออายุได้ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วได้อยู่ปฏิบัติสมาธิและเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์กงมาไปในที่ต่างๆ เป็นเวลา ๘ ปีเต็ม จึงมีความรู้เรื่องสมาธิสามารถสอนผู้อื่นได้

    เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขณะนั้นมีอายุ ๒๒ ปี วันหนึ่งพระอาจารย์กงมาก็พาท่านเดินธุดงค์จากจังหวัดจันทบุรีไปจังหวัดสกลนคร เพื่อไปพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์กงมาได้บอกหลวงพ่อวิริยังค์ว่า “วิริยังค์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นปรมาจารย์และเป็นอาจารย์ของเรา สมาธิทุกๆ ขั้นตอนเราได้สอนเธอไปหมดแล้ว ต่อไปนี้เธอจะได้เรียนสมาธิกับท่านปรมาจารย์ เธอจงอย่าประมาท จงปฏิบัติหลวงปู่มั่นแบบถวายชีวิต เธอจะได้ความรู้อย่างกว้างขวาง ยิ่งกว่าที่เราสอนอีกมากนัก”

    หลวงพ่อวิริยังค์รับคำตักเตือนจากพระอาจารย์กงมาด้วยความตื้นตันใจ

    ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ จึงเป็นปีเริ่มศักราชใหม่ของท่าน โดยที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นพระผู้อุปัฎฐากของพระอาจารย์มั่น แบบใกล้ชิดที่เรียกว่า ท.ส. อยู่เป็นเวลา ๔ ปี และอยู่นอกพรรษาหมายถึงเดือนตุลาคมไปถึงเดือนมิถุนายน เป็นเวลาอีก ๕ ปี รวมทั้งหมด ๙ ปี จึงเป็นอันว่าปัญหาของสมาธิได้ถูกชี้แจงอย่างหมดเปลือกจริงๆ ซึ่งบางครั้งปัญหาเข้าขั้นสำคัญ พระอาจารย์มั่นก็ให้หลวงพ่อวิริยังค์อยู่ด้วยกับท่านสองต่อสองตลอดเวลา และแก้ไขปัญหานั้นให้

    มีครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาอยู่กับท่านสองต่อสองนานถึง ๓ เดือน ตลอดจนได้เดินธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์มั่น พร้อมทั้งเรียนธรรมะอันลึกซึ้ง ผลงานชิ้นแรกที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้ทำขึ้นมา คือ เมื่ออยู่กับพระอาจารย์มั่นในปีที่ ๒ โดยได้บันทึกพระธรรมเทศนาของท่านตลอดพรรษา (ปกติท่านห้ามผู้ใดจดเด็ดขาด) เมื่อได้บันทึกไว้แล้ว ก็ได้อ่านถวายให้ท่านฟังและให้ท่านตรวจดู ท่านพอใจ รับรองว่าใช้ได้ และให้ความไว้ใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากการบันทึกในครั้งนั้นได้มีการนำมาพิมพ์เผยแผ่คำสอนนี้แก่สาธารณชน ในหนังสือที่ชื่อว่า “มุตโตทัย” ที่โด่งดังอยู่ในเวลานี้ เพราะได้ถูกพิมพ์เผยแผ่จำนวนกว่าล้านเล่มแล้ว

    หลังจากอุปสมบท ท่านก็ดำรงตนอยู่ในสมณเพศใต้ร่มกาสาวพัสตร์ และอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนามาโดยตลอดทั้งสิ้น สมดังคำอธิษฐานที่ได้ให้ไว้กับชีปะขาวจนถึงทุกวันนี้

    ที่มา : ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร”

    ภาพมงคล หลวงพ่อวิริยงค์ สิรินฺธโร กับ สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ; หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ; หลวงตาบุญหนา ธมฺมทินโน ; หลวงปู่อว้าน เขมโก

    #เพจเนื้อนาบุญ
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    566C9778-D75F-49E3-A09C-4E6AF70B0ED9.jpeg #เล่าสู่กันฟัง

    หลวงปู่บุญมา
    มีอุปนิสัยรักสงบและมีจิตใจใคร่ต่อเนกขัมมะบารมีมาโดยตลอด ท่านมักหาโอกาสรักษาศีลอุโบสถอยู่เสมอๆ และพระธรรมเอื้ออำนวยแก่ท่าน โดยการที่ทำให้ท่านได้พิจารณาความตายถึง ๓ วาระ หลังจากท่านแต่งงานมีเหย้าเรือน นั้นคือปีแรกน้องสาวท่านถึงแก่กรรม ปีถัดมามารดาท่านถึงแก่กรรม และต่อมาไม่นานภรรยาท่านก็ถึงแก่กรรม นับเป็นมรณานุสติ เป็นเทวทูต ที่ชักนำให้ท่านเห็นความตาย จนชักนำไปสู่การบวช ท่านคิดได้อย่างนี้จึงยกลูกให้แก่พ่อตาแม่ยายเป็นผู้เลี้ยงดู และตัดสินใจออกบวช ท่านอุปสมบทขณะอายุได้ ๒๔ ปี ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "..#คัมภีรธัมโม.." ซึ่งแปลว่าผู้มีธรรมอันลึกซึ้ง
    เมื่ออุปสมบทแล้วเสร็จ ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาศึกษาข้อวัตรปฏิปทากับหลวงปู่สิงห์ สหธัมโม วัดพระธาตุฝุ่น อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่บุญมา ตั้งใจบำเพ็ญภาวนาอธิษฐานเนสัชชิกไม่นอนตลอดไตรมาสสามเดือนในพรรษาแรก หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไปหาหลวงปู่ขาว อนาลโย และท่านยังได้จาริกธุดงค์เข้ากราบรับข้ออรรถข้อธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่ อีกหลายรูป เช่น หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี เป็นต้น และได้จาริกธุดงค์ออกวิเวกตามสถานที่ต่างๆ ไปยังป่าช้างป่าเสือ ฝึกจิตตามป่าตามเขาจาริกไปตามหลักของพระธุดงค์กรรมฐาน เพื่อมุ่งหวังบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มกำลังร่วม ๓๐ ปี ท่านจึงมาจำพรรษาและสร้างวัดป่าคำหมู ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวัดป่าสีห์พนมประชาราม
    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม ท่านมีปฏิภานโวหารการเทศน์อันเป็นเอกลักษณ์ขององค์ท่าน ที่กระแทกเจ้าไปถึงก้นลึกของจิตใจผู้ฟังได้อย่างลึกซึ่ง ท่านจะมีอุบายให้ญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหา ได้พิจารณาในเรื่องความทุกข์เป็นสำคัญ เพราะท่านกล่าวโดยสรุปว่า "..ธรรมคือทุกข์ ทุกข์คือธรรม ถ้ากลัวทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม.."
    ➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖
    ธรรมประวัติหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
     
  20. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    5DB5FC71-FC3C-44A0-A113-8CA6778E59E4.jpeg

    #หลวงปู่โง่นเล่าเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร


    หลวงปู่โง่น (ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว) เป็นพระที่มีอายุยืนยาว หลวงปู่ฤๅษีลิงดำยืนยันว่า หลวงปู่โง่นเป็นพระปฏิสัมพิทาญาณ ศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร

    ในวันที่ 20 มีนาคม 2528 ผู้เขียน(คุณชินกร ฉลาดธัญกิจ) กับเพื่อนอีก 4 คน มีโอกาสไปนมัสการหลวงปู่โง่นที่ วัดพระพุทธบาทเขารวก ต.จับหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เวลาประมาณ 1 ทุ่ม เห็นสานุศิษย์ประมาณ 20 คน เป็นนายแพทย์ทั้งชายหญิง นายอำเภอ อัยการ กำลังนั่งสนทนาธรรมอยู่กับท่าน

    ตอนหนึ่งหลวงปู่โง่นเล่าให้ฟังว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้หลวงปู่เทพโลกอุดรมาหาอาตมา ท่านนั่งบนก้อนหินหลังกุฎิ หลวงปู่เทพโลกอุดรพูดว่า "หมาเท่านั้นกินของที่สำรอกออกมาได้" หมายถึงเดรัจฉานหรือคนโง่เท่านั้นชอบเก็บความคิดที่ผ่านไปแล้วมาคิดอีก

    ผู้เขียนสังเกตเห็นสานุศิษย์ทุกคนนั่งพนมมือฟังตลอดเวลาเหมือนนั่งฟังธรรมด้วยอาการคารวะและสงบ เมื่อคณะนั้นกลับแล้ว คณะผู้เขียนจึงเข้าไปนมัสการท่าน แต่ยังมีคณะหนึ่งรอคิวอยู่อีก ผู้เขียนสงสัยเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรมานานแล้วจึงตั้งคำถามท่านทันที
    "หลวงพ่อครับ หลวงปู่เทพโลกอุดรมีชีวิตอยู่จริงหรือครับ ทราบว่าหลวงพ่อเป็นศิษย์ คงจะทราบดี"
    "พูดยากคุณ ใครเขาจะไปเชื่อ หาว่าบ้าซิ"
    ผู้เขียนใจเต้นตุบ ๆ กลัวจะไม่ได้คำตอบ
    "มีจริงคุณ แต่อยู่อีกมิติหนึ่ง" หลวงพ่อพูดชัดเจน เมตตาตอบไม่บ่ายเบี่ยง
    "ท่านมาหาหลวงพ่อในสภาพไหนครับ"
    "พระแก่" หลวงพ่อตอบไม่ต้องคิด แล้วเล่าต่อ
    "ท่านบอกว่า พระไตรปิฎกยังมีอยู่ที่ประเทศ.... ท่านบอกชื่อประเทศเหมือนกันแต่ลืมเสียแล้ว แถมบอกชื่อป้าย เลขที่ ให้เสร็จ อาตมาไปตามนั้น ไปถึง ก็พบตรงกับท่านพูดเปี๊ยบเลย ทั้งชื่อถนน ป้าย เลขที่เท่าไหร่ ไม่ผิดแม้นิดเดียว แถมยังยืนคอยอาตมาที่นั่น มือข้างหนึ่งสะพายย่าม ในโลกนี้อาตมาไปได้ทั้งนั้นแหละ ไปรอบโลกมาแล้ว ท่านว่า
    "ขอเรียนถามอีกนิดครับ หลวงพ่ออายุเท่าไหร่แล้ว"
    "เฮ้ย! อย่านับเลข 1 2 3 4 5 6 7 8. นับ 0 ดีกว่า นับ 0"
    ท่านบ่ายเบี่ยง
    "ทำใจให้เป็น 0 จิตจะได้ว่าง แต่ศูนย์นี่มันไม่สิ้นสุดเหมือนกันนะ ดูแต่โลกเราสิ โลกกลม ยังเรียนไม่จบเลย"
    -------------
    ถ่ายถอดความโดยคณะทำงานถวายหลวงปู่ใหญ่ เพจ #หลวงปู่เทพโลกอุดร ; จากข้อมูลในหนังสือ "อภินิหารหลวงปู่เทพโลกอุดร" โดย ป.ปรางทิพย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...