.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    DD1B3359-4BB3-49A0-875B-5B63D860133E.jpeg

    #หลวงปู่ตื้อพบเทพยดาผู้บำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า


    ในครั้งที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้ธุดงค์วิเวกไปทางอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ท่านได้พักบำเพ็ญเพียรอยู่ในสถานที่สัปปายะแห่งหนึ่ง

    มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่หลวงปู่ กำลังเดินจงกรมอันเป็นกิจวัตรปกติในการบำเพ็ญของท่าน ปรากฏร่างของเทพยดาตนหนึ่ง
    มาในรูปของชีปะขาวเหาะลอยมาใกล้ทางเดินจงกรมของหลวงปู่

    เทพยดาตนนั้นได้สำแดงตนลอยสูงขึ้นไปแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่บนยอดไม้ เหนือทางเดินจงกรมขึ้นไป ลอยขึ้นไปยืนนิ่งอยู่เฉยๆโดยไม่ได้ทำ อะไร หลวงปู่ยังคงเดินจงกรมอยู่ตามปกติ เทพยดาก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น

    หลวงปู่จึงได้กำหนดจิตถามขึ้นว่า “ท่านเทพยดาผู้มีศีลธรรมอันดีงามทำไมท่านจึงไปยืนอยู่บนที่สูง คืออยู่สูงมากกว่าอาตมาผู้เป็นศิษย์ของพระตถาคตเจ้าผู้กำลังปฏิบัติธรรมอยู่เล่า ทำไม่ท่านไม่ลงมากราบไหว้แสดงความเคารพเล่า?”

    เทพยดาตนนั้นยังยืนนิ่งเฉยไม่แสดงกิริยาอาการอย่างใด หลวงปู่จึงกำหนดถามอีกว่า “ท่านเทพยดาผู้มีศีลาจารวัตรอันงามท่านเป็นฤๅษีหรือ หรือว่าเป็นอรหันต์”

    เทพยดาตนนั้นแสดงอาการกางแขนออกทำอาการบุ้ยใบ้มาทางท่าน หลวงปู่กำหนดจิตดูจึงรู้ว่าเทพยดาตนนี้คงจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงได้กล่าวถามต่อไปว่า

    “ท่านเทพยดาผู้เจริญท่านเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรืออย่างไรข้าพเจ้าขออาราธนาท่านมาสนทนาด้วย” เทพยดาตนนั้นไม่ตอบแต่ได้แสดงออกทางใจให้หลวงปู่รู้ได้แล้วเทพยดาก็แบมือออกให้หลวงปู่ได้เห็นรูปดอกบัวปรากฏอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองข้างเทพยดาแสดงอาการเขินอายเล็กน้อย แล้วก็เหาะหนีไป

    เมื่อมีโอกาสหลวงปู่ตื้อ ได้กราบเรียนถามเรื่องนี้กับพระอาจารย์ใหญ่ - หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่มั่นได้ให้คำอธิบายว่า เทพยดาที่เห็นนั้น เป็นวิญญาณของผู้กำลังสร้างสมบารมีเพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่

    นอกจากนี้หลวงปู่มั่น ยังกล่าวถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับผีสางเทวดา นางไม้ที่หลวงปู่ตื้อได้พบเห็นในที่ต่างๆ อีก โดยหลวงปู่มั่นได้รับรองว่าเป็นเรื่องจริงและมีจริง

    สำหรับเทพยดาตนที่มีรูปดอกบัวบนฝ่ามือนั้นเป็นผู้ที่กำลังสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    และอีกไม่นานก็จะได้สำเร็จ

    หลวงปู่มั่นบอกต่อไปว่า เรื่องเช่นนี้ นานๆ จึงจะได้พบสักครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เทพยดาบางตนก็มีศีลธรรมอันดีงามเพราะเคยประพฤติปฏิบัติธรรมมาก่อนหลายชาติแล้วเมื่อละจากร่างอันเน่าเหม็นของมนุษย์แล้วก็ยังประพฤติธรรมอยู่เพราะมีสันดานที่เป็นศีลเป็นธรรมแล้ว เทพยดาตนที่มีดอกบัวบนฝ่ามือนี้อีกไม่กี่ชาติก็จะได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ที่มา:พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    8EE61C6F-060E-49A0-A24B-0B3BDED820D6.jpeg
    #เทวดาประเทศเยอรมันมาขอฟังเทศน์หลวงปู่มั่น

    จัดเป็นเรื่องที่แปลกที่ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น อีกองค์หนึ่งได้บันทึกไว้โดยสรุปมีดังนี้..

    ช่วงนั้นหลวงปู่มั่น พักอยู่ที่บ้านอีก้อ ทางภาคเหนือ ได้มีเทวดาจากประเทศเยอรมัน มาขอฟังเทศนาจากหลวงปู่มั่น โดยแสดงความประสงค์ว่าอยากฟัง
    ...เทศนา "#ชัยชนะคาถา"

    หลวงปู่ได้กำหนดจิตหาบทธรรม
    ที่ตรงกับความต้องการของเทวดา
    ธรรมก็ผุดขึ้นมาภายในว่า " อกฺโกเธน
    ชิเน โกธํ " ได้บอกความหมายและได้แสดงให้
    เหล่าเทวดาฟังว่า

    "#ธรรมนี้แล #เป็นยอดแห่งธรรมที่ผู้หวังความชนะจะ
    #พึงเจริญให้มาก #โลกที่มีความร่มเย็นเป็นสุขต่อกันตลอด
    มาก็เพราะพระธรรมนี้ เป็นเครื่องปราบปรามความชั่วทั้งหลาย มีความโกรธเป็นต้น ให้เสื่อมสิ้นอำนาจในการทำลายสังคมมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ทำให้โลกมีความเจริญและสงบสุขโดยทั่วกัน เทวดาควรมีธรรมนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวประสานกัน โลกถ้าขาดชัยชนะนี้แล้วอย่างน้อย
    ก็เกิดความไม่สงบสุข มากกว่านั้นก็สังหารทำลายกัน
    ให้ฉิบหายย่อยยับโดยถ่ายเดียว..ฯลฯ"

    พอจบพระธรรมเทศนา เทวดาก็อนุโมทนาสาธุ 3 ครั้ง เสียงการอนุโมทนาบุญสะเทือน
    ไปทั่วโลกธาตุ...

    หลวงปู่มั่นได้ถามเทวดาว่า
    "ทำไมอยู่ถึงประเทศเยอรมันจึงทราบ
    ว่าท่านพักอยู่ที่นี่"

    เทวดาได้ตอบหลวงปู่มั่นว่า "สำหรับองค์หลวงปู่มั่นแล้ว จะอยู่ที่ไหนเทวดาก็ทราบกันทั้งนั้น นอกจากนี้เทวดาในประเทศไทยก็ไปมาหาสู่เทวดาในประเทศเยอรมันอยู่เสมอๆ การไปมาของเทวดาเหาะลอยไปมา
    ด้วยฤทธิ์ เหมือนกระแสจิตที่ส่งไปถึงที่หมาย
    เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น..."

    หลวงปู่มั่นบอกว่า
    "เทวดาประเทศเยอรมันได้มาขอ
    ฟังเทศน์ท่านเสมอ เช่นเดียวกับเทวดาที่สถิตอยู่ในที่ต่างๆ ในประเทศไทยก็ได้มาฟังเทศน์บ่อย ความเคารพของเทวดาทุกเหล่านี้
    มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือในขณะเวลาที่เข้ามาเยี่ยมท่านจะไม่เข้ามาในด้านที่มีพระอยู่ จะมายามดึกสงัด มาถึงแล้วก็พากันมาทำประทักษิณา 3 รอบ มีความสงบเสงี่ยมโดยทั่วกันเวลาจะ
    จากไปก็พร้อมใจกันทำประทักษิณา 3 รอบก่อน แล้วค่อยๆ เดินถอยห่างออกไปพอพ้นเขตที่พักท่านแล้ว ต่างก็ค่อยๆ เหาะขึ้นลอยบนนภาอากาศ
    ดุจปุยสำลีฉะนั้น..."

    ที่มา :: หนังสือชีวประวัติ
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    โดย หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    บุญพิเศษ สร้างมหาเจดีย์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายสราม พลังพุทธคุณ พระของขวัญสำหรับผู้ร่วมมหาบุญใหญ่กองทุนภัตตาหาร ที่ตรวจด้วยวิชาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่วัดสะแก สุดยอดกายสิทธิ์ด้านมหาลาภ. และการฝึกวิชาจักรพรรดิโดยใช้กายสิทธิ์ที่ตั้งจากธาตุน้ำสายวิชาธรรมกาย กับกายสิทธิ์ที่ตั้งด้วยกสินไฟของหลวงปู่หมุน ช่วยเพิ่มกำลังในการปฏิบัติ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2019
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    #เล่าสู่กันฟัง

    ขรัวตา...วาสนาน้อย


    ท่านกล่าวกับพระเณรเมื่อกลางปี พ.ศ. 2522 ว่า

    "...มีเจ้าศรัทธาท่านหนึ่ง จะถวายเงินเพื่อสร้างโบสถ์ทั้งหลัง เรายังไม่อาจรับได้ เคยมีบ้างไหมในประเทศไทย และองค์ไหนที่มีผู้ถวายเงินสร้างโบสถ์ทั้งหลังแล้วไม่รับ นอกจากขรัวตาวาสนาน้อยนี้เท่านั้น จึงไม่อาจรับได้

    ที่ไม่อาจรับได้นั้นก็มีเหตุผลเหมือนกัน...ความจริงหลักธรรมที่เราเล็งอยู่ยึดถืออยู่ กราบไหว้บูชาเป็นขวัญใจและเทิดทูนสุดจิตสุดใจอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกธาตุ สิ่งเหล่านั้นเราไม่ได้เทิดทูนเหมือนธรรม เพราะเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยไปเป็นวันๆ เท่านั้น ส่วนธรรมเป็นเรื่องใหญ่โตมากที่ต้องรักสงวน

    เรื่องการสร้างโบสถ์สำหรับวัดนี้ยังไม่มีความจำเป็น สิ่งใดที่จำเป็นก็ทำสิ่งนั้นเช่น จิตตภาวนาเป็นงานจำเป็นอย่างยิ่ง การทำอุโบสถสังฆกรรมทำที่ไหนก็ได้ ตามร่มไม้ชายเขาที่ไหนก็ได้ ไม่ขัดข้องอะไร ตามหลักพระวินัยจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรขัดข้อง การสร้างโบสถ์สร้างวิหารควรให้เป็นที่เป็นฐานที่เหมาะที่ควร ไม่ใช่จะสร้างดะไปหมด

    ...การสร้างโบสถ์หลังหนึ่งเป็นยังไง นับตั้งแต่เริ่มแรกตกลงกับช่างในการสร้างโบสถ์เป็นยังไง ถนนหนทางเข้าไปในวัด จนถึงบริเวณที่จะสร้างโบสถ์จะต้องเปิดโล่งตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งถึงวันสร้างโบสถ์สำเร็จ ต้องบุกเบิกไปหมดยิ่งกว่าโรงงาน คนงานก็ต้องมีทั้งหญิงทั้งชายจำนวนมากมายที่จะเข้ามานอนกองกันอยู่นี้ ทั้งช่างทั้งคนงานไม่ทราบมาจากแห่งหนตำบลใด

    บางรายหรือส่วนมากก็ไม่เคยรู้เลยว่าศาสนาเป็นอย่างไร พระเณรในวัดท่านปฏิบัติอย่างไร แล้วเขาจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยพอเป็นความสงบงามตาแก่พระเณรในวัดได้ยังไง มันต้องเหมือนกับเอายักษ์เอาเปรตเอาผีเข้ามาทำลายวัดนั่นเอง

    ในขณะที่เปิดโอกาสตกลงกันเรียบร้อยแล้วนั้นน่ะ ไม่ว่าผู้คนหญิงชาย รถราต่างๆ ต้องเข้าต้องออกกันตลอดเวลา ประตูวัดปิดไม่ได้เลย และสถานที่ที่จะสร้างโบสถ์ขึ้นมาให้เป็นของสง่างามแก่วัดแก่พระสงฆ์ในวัด แต่พระเณรกลับตายกันหมดจากจิตตภาวนา จากมรรคผลนิพพาน ที่ควรจะได้จะถึงจากสมณธรรม...คือจิตตภาวนาแล้ว จะเอาอะไรมาเป็นความสง่างามอร่ามตา

    "ลองพิจารณาดูซิ นี่เราคิดอย่างนั้น และพูดอย่างนี้นะ จะเป็นความคิดผิดพูดผิดหรือถูกประการใดบ้าง ?..."

    คติธรรม องค์หลวงตามหาบัว......
    ลานธรรมจักร:dhammajak.net
     
  5. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    204C49C2-2C0F-4AE0-A71F-6C1949B3473A.jpeg
    #เล่าสู่กันฟัง

    "องค์เชยนี่...บินได้นะ"


    หลวงปู่เชย อมโร...อาศรมเขาเจ้าหลาว จ.จันทบุรี

    เป็นพระที่...หลวงปู่พิศดู...กล่าวยกย่อง ในคุณธรรมอันสูง ว่า

    " ท่านเป็น...พระอนาคามี "

    " องค์เชย...เขามีวิชาสูง...รู้ไหม...องค์เชยนี่...บินได้นะ "

    คุณอาของผม เคยถาม ท่านพ่อเชย อาศรมเขาเจ้าหลาว ว่า

    ถ้าหากท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อจะไปชั้นไหน แล้วจะลงมาเกิดอีกไหม ?

    ท่านพ่อเชย ตอบว่า

    " เรา จะไปชั้นพรหม ไม่ลงมาเกิดแล้ว เราจะไปปฏิบัติต่อข้างบน แล้วไป(นิพพาน)เลย"

    เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่คุ้นเคย และศรัทธาด้วยใจจริงแล้ว ท่านคงจะไม่พูดให้ฟังกัน เพราะเป็นเรื่องอจิณไตย

    ***ภาพ...สุดท้าย***

    หลวงปู่เชย อมโร...ถ่ายภาพนี้...ก่อนละสังขาร...ประมาณ 5 ชั่วโมง
    หลวงปู่ฯ...ละสังขาร ในอิริยาบถ นั่งสมาธิ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 เวลา 17.00 น. รวมสิริอายุได้ 77 ปี 57 พรรษา
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    2DC60438-B80B-4B54-888B-D82B43C708D2.jpeg
    ความลี้ลับของจิต หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
    วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม


    ******************************************

    ในคราวที่พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ได้อยู่ปรนนิบัติ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดธรรมสามัคคีนั้น หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโปได้รับการสั่งสอนแนะนำถึงความลี้ลับของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนั่งภาวนา เมื่อเกิดเห็นนิมิตบางอย่างขึ้น แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว ขณะเมื่อเดินบิณฑบาต ก็ยังมองเห็น “สิ่งประหลาดๆ” อยู่เนืองๆ

    หลวงปู่ตื้อ ท่านสอนสั่งในเรื่องนิมิตที่เกิดขึ้น ว่านิมิตนั้นจำแนกไปหลายประการ จิตของนักปฏิบัติมีหลายขั้นตอนตามนิสัยบารมีของแต่ละคน

    พูดถึงผู้มีสมาธิดี จิตใจบริสุทธิ์สะอาด ก็จะปรากฏนิมิตที่แจ่มใส เป็นไปด้วยอำนาจฌาน และอำนาจแห่งญาณ
    ตอนที่หลวงพ่อเปลี่ยน ออกเดินบิณฑบาตตามหลังหลวงปู่ตื้อ และพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ ท่านมองเห็นผู้คนในลักษณะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกับที่ตาเราเห็น ตอนแรกๆ ก็คิดว่าเราไปสร้างนิมิตเอาเอง พอนานๆ ไปก็เห็นว่าเราพบเรื่องจริงเข้าแล้ว จึงได้นำมากราบเรียนปรึกษากับหลวงปู่ตื้อ แล้วท่านให้ข้อคิด ดังนี้

    ๑. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มผ้าสีเหลืองเดินเข้ามาหา แสดงว่าจิตของบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล ๕ อยู่เป็นปกติ มีสมาธิ มีการปฏิบัติศีลอย่างสม่ำเสมอ ละเว้นจากการทำชั่ว มีใจเป็นพระ เป็นธรรม

    ๒. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มด้วยผ้าขาว แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นมีศีล ๕ เป็นปกติ และมีใจเป็นเทพเทวดา

    ๓. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มเสื้อผ้าขาด ผิวคล้ำไม่มี สง่าราศี แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นตกต่ำลงไปกว่าความเป็นคน คือ มีความคิดแต่จะทำความชั่ว

    ๔. ถ้านิมิตเห็นบุคคลที่ใส่เสื้อผ้าดำสนิท จิตของเขามีศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ใจหยาบ

    ที่ต่ำไปกว่านั้น คือ จะเห็นเป็นลักษณะของเดรัจฉาน เช่น ควาย ต่ำลงไปก็เป็นสุนัข ต่ำลงไปก็เป็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลาน เช่น งู เป็นต้น

    หลวงพ่อเปลี่ยนได้รับการบอกเล่าเช่นนี้จากหลวงปู่ตื้อ นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก

    ๑.
    หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย, จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว

    อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

    “หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

    “อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”

    “อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”

    หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

    “อีตอแหล!”

    สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน

    เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

    นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ

    ๒.
    วันนั้นเป็นวันโกน หลวงปู่ตื้อ ท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่ กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่งอยากได้เส้นผมของ หลวงปู่ จึงบอกกับศิษย์ของหลวงปู่ว่า

    “ตุ๊เจ้าๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยน่ะ”

    หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า

    “อย่าเลยนะคุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ”

    คุณนายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึง ไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน

    พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้ำราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้ว จึงออกมา สนทนากับญาติโยม

    คณะชาวเชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “อะไรดีๆ” จาก หลวงปู่

    “หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะเจ้าคะ”

    หลวงปู่ตื้อ ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ”

    แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศทุกรูป จะต้องถือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ

    ถ้าพระรูปไหนไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้น เป็นพระปลอม ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิเลย”

    นี่แหละ อะไรดีๆ ที่หลวงปู่ตื้อ ท่านมอบให้คุณนายท่านนั้น

    ๓.
    มีบางคนคิดพิเรนเล่นแปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ถึงกับเอาเส้นเกศา ของหลวงปู่ตื้อ ที่ท่านโกนทิ้งแล้ว เอาไปลองยิงดู

    ปรากฏว่า ยิงไม่ออก!

    พอลงมือยิง ปืนไม่ลั่น ก็รีบมาบอกหลวงปู่ตื้อ อีกเช่นกัน เพื่อหวังว่า จะให้หลวงปู่ชม ที่ตนเองค้นพบความมหัศจรรย์ ถือว่าเป็นคุณความดี เกิดขึ้นกับตัว

    “หลวงปู่...หลวงปู่ครับ ผมลองเอาปืนยิงเส้นเกศาของหลวงปู่ดู มันยิงไม่ออกนะครับหลวงปู่”

    หลวงปู่ตื้อ ย้อนถามเสียงดังว่า

    “ผมกูไปลักควายพ่อมึงหรือ ผมของกูไปนอนกับแม่มึงหรือ มึงเอาผมกูไปยิงทำไม ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อกันนะสิ”

    แม้หลวงปู่ท่านจนจะกล่าวด้วยคำพูดที่ดุดัน แต่สีหน้าอาการสงบเงียบ แสดงชัดว่า การดุด่าของท่านมิได้เป็นไปด้วยอารมณ์ปุถุชน แต่เป็น การเตือนสติ ให้พิจารณาถึงสิ่งอันควรไม่ควร

    ๔.
    เส้นทางเชียงใหม่-แม่แตง ในสมัยนั้นยังไม่เจริญเอามากๆ แต่ก็มี รถยนต์โดยสารวิ่งรับส่งผู้คนบนเส้นทางสายนี้แล้ว

    ในปีที่หลวงปู่ตื้อ กำลังบุกเบิกสร้างวัดป่า ท่านจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างอำเภอแม่แตงกับตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำธุระในการก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางไปมาอยู่บ่อยๆ

    พวกรถโดยสารจะชินตากับ “หลวงตา พระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขา ผู้เฒ่าที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่าม เดินตามต้อยๆ“

    พวกรถโดยสารคงรำคาญ และหมั่นไส้หลวงตา พระป่ารูปนั้น เอาการอยู่ เพราะว่า “พอขึ้นไปนั่งบนรถปุ๊บ พระหลวงตาก็เอาเท้า ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะปั๊บ แล้วก็นั่งหลับตาปี๋ หลับเฉยโดยไม่สนใจใคร”

    ช่างน่าเบื่อหน่าย และน่ารำคาญจริง ผู้โดยสางคนอื่นๆ นั่งห้อยขา เบาะเดียวนั่งได้ ๓-๔ คน แต่หลวงตาแก่รูปนั้นนั่งเอ้เต้อยู่คนเดียว

    เด็กหนุ่มกระเป๋ารถจึงพูดกึ่งขอร้อง กึ่งไม่พอใจ

    “ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น...ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ”

    “ลงบ่ได้” หลวงปู่ตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

    กระเป๋ารถเริ่มโมโห เลือดขึ้นหน้า ขณะนั้นรถกำลังตระเวนรับส่ง ผู้โดยสารตามรายทาง

    กระเป๋าหนุ่มกล่าวสบถเสียงดัง

    “มันเป็นอะหยังหือ...จึงเอาตีนลงบ่ได้”

    พร้อมกันนั้นก็เอามือกระชากขาของหลวงปู่ เพื่อเอาลงจากเบาะ

    ทันใด ครืด...ครืด...ครืด...ฉึก!

    เครื่องยนต์ดับสนิท รถโดยสารหยุดกึกอย่างฉับพลัน ผู้โดยสารทั้งคัน หัวคะมำไปตามๆ กัน

    หลวงปู่พูดขึ้น “หลวงตาบอกแล้ว...ลงบ่ได้...ลงบ่ได้!”

    คนขับพยายามติดเครื่องรถอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ไม่ติด ผู้โดยสารก็ส่งใจไปลุ้น แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที

    หลวงปู่พูดขึ้นว่า

    “ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ”

    กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ ก็ติด รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่

    เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน จากการเล่าขาน ปากต่อปาก นับจากนั้นมา หลวงตาพระป่าแก่ๆ อยู่ในอำเภอแม่แตง จึงดังระเบิด!

    รถโดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ และต่างก็อยากให้หลวงปู่ นั่งรถของตน แม้นั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี

    บทความจาก ลายธรรมจักร
     
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    81109641-08CC-431A-B6F8-5F27F6ED9FD3.jpeg 5764D9EC-668D-454C-92D5-6BE40E7DB0EE.jpeg


    #เล่าสู่กันฟัง

    หลายเหตุการณ์ที่ผมได้เห็นกับตาเหมือนคุณยายชีท่านมีตาทิพย์มองเห็นไปทั้งโลกมีคนไปทำบุญเพื่ออุทิศให้ญาติด้วยคิดว่าเสียชีวิตไปแล้วซึ่งเขาจะทำอุทิศอย่างนี้เรื่อยมาเป็นเวลา 10 กว่าปี แต่ปีนั้นเมื่อคณะญาติมาทำบุญซึ่งมีคุณยายชีอยู่ในงานด้วย เมื่อถึงวาระเอ่ยชื่อผู้ที่จะอุทิศบุญไปให้คุณยายได้ยินดังนั้นท่านลุกเดินไปบอกคณะญาติทุกคนว่าเขานั้นยังไม่เสียชีวิตและกำลังเดินทางกลับมาจากอเมริกาแล้วไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็ได้เจอกันแล้ว
     
  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    522ABF1C-0A6E-4AB5-B58A-FD8D645AA671.jpeg

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโมกับพระธาตุพนม

    โยม: หลวงปู่เจ้าค่ะ พวกเราเคารพเลื่อมใส ศรัทธาหลวงปู่กันมาก อยากบำเพ็ญบุญ ทำกุศลถวายหลวงปู่เท่าใดก็ไม่อิ่ม หลวงปู่บำเพ็ญบารมีทำบุญอะไรในชาติก่อนเจ้าคะ จึงได้บวชเป็นหลวงปู่ให้พวกเราได้กราบไหว้บูชาอย่างนี้

    หลวงปู่ : ไปธาตุพนม สร้างธาตุพนม ไปกับพ่อเชียงหมุน ชาติก่อนซึ่งเป็นสหายกัน ช่วยกันสร้างธาตุพนม "เอาเงิน ๕๐ สตางค์ กับผ้าขาววาหนึ่ง" เอาไปทานกับเพิ่น

    โยม : หลวงปู่ทำบุญแล้วอธิษฐานหรือเปล่าเจ้าคะ อธิษฐานว่าอย่างไร ตอนให้ทานเงิน ๕๐ สตางค์

    หลวงปู่ : อธิษฐานว่า ให้ได้บวช ให้พ้นทุกข์ ว่าอย่างนี้แหละ

    โยม : เงิน ๕๐ สตางค์ สมัยโน้นคงจะมากนะหลวงปู่

    หลวงปู่ : มากอยู่

    โยม : สร้างตั้งแต่แรกเลยหรือคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : อือ

    โยม : แต่ก่อนพระธาตุพนมสูงอย่างนี้หรือเปล่าเจ้าคะ หลวงปู่ไปสร้างอายุเท่าไรแล้ว

    หลวงปู่: สูง ตอนไปเฒ่าแล้ว อายุ ๗๐ ปี เป็นคนลาว ข้ามมาจากฝั่งโน้น

    ที่มา : ธรรมประวัติหลวงปู่ชอบ ฐานสโม (จากหนังสือฐานสโมบูชา หน้า ๒๖๕)
     
  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    EF7F4526-E06D-4B04-B25D-75730F7A2FE6.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง. หลวงปู่อ่อนสา

    พระผงรูปเหมือนรุ่นสุดท้าย เนื้อดำบรรจุเกศาเดิมๆ ห
    ายากประสบการณ์กระสุนด้าน
    ........................................................................

    พระของหลวงปู่ทุกรุ่น
    ท่านว่ามีวัตถุประสงค์เป็นที่ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การทำความดี และเตือนสติ

    ทำแจกอย่างเดียว

    ผมเคยพูดหยอกกับท่านว่า จะทำสักแสนเหรียญแล้วบูชาเหรียญละ 10 บาท ผมก็รวยแล้วครับ

    ท่านว่า อย่าทำนะ เราไม่ให้ทำ ท่านเน้นให้ทำแจกอย่างเดียว ท่านเป็นคนพูดว่า "พระเฮาทำแจกอย่างเดียว"

    ******************************************************

    นั่งคิดทบทวนอยู่นานแล้ว เลยตัดสินใจพิมพ์ข้อความต่อไปนี้

    ให้สมาชิกได้อ่าน และ โปรดอ่านด้วยวิจารณาณาณและเหตุผล

    ผมทราบเรื่องที่จะเล่านี้มาตั้งแต่วันที่ 5 กันยน 52 และ ทราบ

    จากท่านหมูตู้ในเวลาไล่เลี่ยกัน จนเมื่อเดือนก่อน ครูบาป้างโทรฯ

    มาตามผมไปพบ เรื่องทำหนังสือของหลวงปู่

    ได้พูดคุยสัพเพเหระไปหลายเรื่อง และ ท้ายสุดก็วกกลับมาเรื่อง

    ของแจกให้กับโรงทานฯ ในงานพระราชทานเพลิงของหลวงปู่

    ผมบอกว่า โรงทานอุดร 108 ได้รับบัตรไป ให้รับของขวัญ 1 ใบ

    ไปรับแล้ว ได้ภาพหลวงปู่ย้อนยุค มา 4 ใบ หนังสือ

    สวดมนต์ 2 เล่ม และ พระเนื้อผงสีขาวๆ รูปไข่ 1 องค์

    ไม่ทราบจะแจกให้กับสมาชิกอย่างไร ก็เอามาวางที่โต๊ะ ใครอยากได้ก็หยิบเอาไป

    ผมถามครูบาป้างว่า ทำไมแจกพระเนื้อผงสีขาว ปี 2551 เพียงซองละหนึ่งองค์

    เห็นในกล่องมีล้อเลื่อนเกือบครึ่งกล่อง คำนวนด้วยตาเปล่า ต้องมีไม่น้อยกว่า

    ห้าพันองค์ โรงทานแต่ละแห่ง เขามีสมาชิกรวมตัวกันเป็นสิบๆ คน แค่พระองค์เดียวจะไปพอแจกบ่?

    ครูบาป้างตอบว่า

    " ตอนแรก ก็จัดใส่ซองละ 10 องค์ แต่พอมีทหารอากาศ เอาพระผงขาวนี้

    ไปลองยิงเลยประตูหน้าวัดออกไปทางทุ่งนา เพราะสงสัยในพุทธคุณ เนื่องจาก

    เห็นว่า หลวงปู่อาพาธมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และ ยิ่งบั้นปลายชีวิตของหลวงปู่

    หลวงปู่แทบจะเรียกว่า หลับตลอดเวลา ท่านจะปลุกเศกได้อย่างไร ปลุกเศกหรือไม่?

    เมื่อความข้องใจเกิดขึ้น บวกกับความคะนอง ที่มีเห่าไฟข้างกาย จึงหยิบเอาพระ

    วางใกล้ๆ ต้นไม้ใหญ่ และ บรรจงเล็งไปที่องค์พระสีขาวๆ ที่เปี่ยมด้วยผงปูน

    และเหนี่ยวไก ปรากฏว่า ปืนไม่ลั่น กระชากลำกล้องขึ้นลูกใหม่ และ ทำเหมือนเดิม

    ผล ก็ออกมาเหมือนเดิม คือ ปืนไม่ลั่น "

    แค่สองนัดเท่านั้น ไอ้เณร มันบอกว่า ก้มลงกราบ และ หยิบเอาพระผงสีขาวๆ ขึ้นจรดศีรษะ

    พร้อมคณะเดินจ้ำอ้าวมาที่กุฏิเราแมะ มาขอเราอีก และ รายงานผลให้เราทราบ

    เราก็เลยเปลี่ยนใจ เอาพระผงรูปไข่สีขาวๆ ออกซองละ 9 องค์ ให้แจกไปโรงทานละหนึ่งองค์พอ "

    อ่านแล้วตอบโจทย์ด้วยว่า

    ท่านมีพระผงสีขาวๆ รูปไข่นี้แล้วหรือยัง

    นี่พระที่ปลุกเศกด้วยจิตล้วนๆ ของหลวงปู่ แม้กายท่านจะหลับ หรือ นิ่งแทบไม่ไหวติง

    แต่พุทธคุณ ...............เหนือคำบรรยาย

    แล้วพระเครื่องที่หลวงปู่ท่านเมตตาตั้งใจทำให้

    ในขณะที่องค์หลวงปู่ยังแข็งแรง พร้อมทั้งกาย และ ใจ สมาธิเต็มเปี่ยม

    จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้.....................สาธุ

    ขอบคุณบทความจาก อุดร ๑๐๘
    เกร็ดประสบการณ์หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร

    บารมีหลวงปู่เมตตาทุกท่าน สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    5A50FAFD-43A6-45B7-A1CD-6695D1DB3F68.jpeg


    เลือดกำเดาไหลเพราะช่วยลูกศิษย์”

    ลุงแกละ เด็กวัดสะแกตัวจริงเสียงจริงที่หลวงปู่ชุบเลี้ยงและสอนหนังสือให้ด้วยองค์ท่านเอง

    ลุงแกละอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังอีกฟากฝั่งคลอง พายเรือมาวัดสะแก ทำกับข้าวใส่ปิ่นโตมาถวายหลวงปู่และอยู่ดูแลอุปัฏฐากหลวงปู่ทุกวัน

    วันหนึ่งขณะลุงแกละอยู่ที่บ้าน จังหวะที่มือจับปลั๊กไฟฟ้า พอดีไม่ระวัง มือเปียกน้ำ จึงถูกไฟดูดอย่างแรง แต่อยู่ๆ ก็เหมือนมีใครมาผลักให้หลุดออกมา

    ลุงแกละมาทราบภายหลังว่า จังหวะเวลาเดียวกันนั้น ที่วัดสะแกก็มีเหตุเกิดขึ้น นั่นคืออยู่หลวงปู่ดู่มีเลือดกำเดาไหลออกมา คนที่นั่งอยู่ที่นั่นถามท่านว่าเป็นอะไร หลวงปู่ท่านจึงเฉลยว่าท่านส่งจิตไปช่วยตาแกละ ถ้าไม่ช่วย ตาแกละมีหวังเสียชีวิต

    ลุงแกละทราบเรื่องแล้วก็ยิ่งเคารพรักหลวงปู่เป็นที่สุด รวมทั้งได้มากราบขอขมาหลวงปู่ที่เป็นเหตุให้ท่านอาพาธ

    มาบัดนี้ ทั้งหลวงปู่และลุงแกละได้จากไปแล้ว แต่ก็ได้ฝากภาพและเรื่องราว ดังที่ได้นำมาเล่าให้พวกเราได้รับรู้ด้วยความซาบซึ้งใจในความเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อศิษย์รักของท่าน
     
  11. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่พิศดู

    #อภินิหารผ้าจีวรหลวงปู่

    คุณเจษฎา...ได้เล่า
    ประสบการณ์นี้ให้ฟังว่า เมื่อปี 2547 สมัยยังเป็นทหาร ทางการได้ส่งกำลังทหารจากค่ายกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 11 จ.ระยอง ไปผลัดประจำการหน่วยลาดตระเวณที่ จ.ปัตตานี จำนวน 30 นาย

    แต่คุณเจษฎา ไม่ได้ถูกเรียกตัวด้วย แต่ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อนๆ จึงได้อธิษฐาน ขออนุญาตนำผ้าจีวรของหลวงปู่พิศดู มาตัดเป็นชิ้นเล็กๆแจกให้กับเพื่อนๆทหารในหน่วยทุกคนที่ลงพื้นที่นราธิวาส เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ

    หลังจากลงไปอยู่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่หน่วยลาดตระเวนชุดนี้ลงพื้นที่ ได้มีคนร้ายลอบวางระเบิด แรงระเบิดเสียงดังสนั่น..!!! กินพื้นที่เป็นวงกว้าง

    เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ได้หันกลับไปดู ก็ปรากฏว่าจุดที่คนร้ายวางระเบิด ก็เป็นจุดที่ทหารกลุ่มนี้ เพิ่งเดินผ่านมายังไม่ถึง 1 นาที ก่อนระเบิดจะทำงานนี่เอง

    เข้าใจว่า...ช่วงที่เดินผ่านจุดวางระเบิด คนร้ายพยายามกดชนวนระเบิด แต่ระบบกลับทำงานขัดข้อง

    เมื่อทหารกลุ่มนี้ พ้นวิถีอันตรายแล้วระเบิดจึงได้ทำงาน ทุกคนจึงปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายจากแรงระเบิดครั้งนี้เลย

    เชื่อว่า ด้วยอำนาจพระพุทธคุณของผ้าจีวรของหลวงปู่พิศดูชิ้นเล็กๆนี้ ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย

    นอกจากเหตุการณ์นี้ ทหารบางนาย ก็ยังเจอกับเหตุการณ์อื่นๆอีก แต่ก็แคล้วคลาดมาตลอด จนการทั่งหมดวาระ จึงกลับมาอย่างปลอดภัยทุกนาย

    Cr : Sira Pop
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2019
  12. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    B9B2CED9-1479-4774-999B-6D45BAB6B2AF.jpeg คาถาหลวงปู่หมุน
    ว่านะโม 3 จบ
    "ตัวกูลูกพระพุทธองค์ ครูสิทธิ์ ครูธงค์ องอาจไม่ประมาทครู พบรอยก้มดู เจอครูกราบไหว้" อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา (ลูกขอกราบหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ด้วยใจเคารพเทิดทูนครูอาจารย์)

    พระคาถานี้ เป็นคาถาสวดบูชา ระลึกถึงหลวงปู่หมุน และหลวงปู่ท่านมักจะใช้ประสิทธิ วัตถุมงคลให้แก่ลูกศิษย์ เสมอๆ

    -----------------------

    คาถาอื่นๆ

    ท่านที่บูชารูปหล่อเบ้าทุบ หรือ รูปหล่อบูชาของหลวงปู่หมุน ผมขอแนะนำถึงคาถาบูชา และวิธีบูชา ดังนี้ครับ
    ในการบูชาครั้งแรกให้จัดหาหมากพลู พร้อมทั้งพวงมาลัยมะลิสดมาบูชา เพื่อขอความสวัสดิมงคล มีความสมบูรณ์พูลสุข คุ้มครองลูกหลานให้ประสบแต่สิ่งที่ดีงาม มีโชคมีลาภ เป็นมหานิยม ขจัดปัดเป่าอุปสรรคต่าง ๆ ต่อไป
    ก่อนจุดธูปบูชาหลวงปู่หมุน ให้นำธูป 9 ดอก มากำไว้ในมือเพื่อเสกธูป ด้วยมนต์จินดามณีเรียกทรัยพ์

    มะอะอุ สิวังพรหมา จิตตัง มานิมา จิตตังวา ปุบผังวา เทวี วา ราชาวาเศรษฐีวา สะมะโณวา
    พรหมาโณวา อิตถีวา ปุริโสวา พานิชโชวา พานิชชาวา เอหิ เอหิ ปูชิตา อะหังวันทามิ สัพพะทาฯ

    ว่า 7 จบ และอธิฐานตามความปรารถนา จากนั้งพึงสวดมนต์ด้วยบทจินดามณีมนต์เพื่อเรียกโชคลาภ การค้าขายดี เจริญรุ่งเรือง มีเมตตามหานิยมในตัวเองด้วยบทคาถานี้ พระคาถาจินดามณีเรียกหัวใจคน

    อิติปิโส ภควา ฯลฯ พุทโธ ภควาติ พุทธัง ปูเชมิฯ
    สวากขาโต ฯลฯ วิญญูหีติ สังฆังปูเชมิ ฯ
    พุทโธ นะเมตตา โมกรุณา พุทปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู นะโมพุทธายะ มะอะอุ เมตตา จะมหาราชะปุตตี
    ราชะปุตตาสมณา สมณี พราหมณี พราหมณา ทาสี ทาสา สัพพะสิเนหา จะปูชิโต สัพพะสุขัง จะมหาลาภัง
    ภวันตุเม สัพพะโกรธัง วินาสสันติฯ

    ต่อไปก็ขึ้นด้วย ธัมโม นะเมตตา ...... และสุดท้ายก็ สังโฆ นะเมตตา...........
    พระคาถาขอนิมิตโชคลาภจากหลวงปู่

    นะมะพะทะ อิติอะระหัง อุทะปาทิยานัง พุทธะนิมิตตัง อุปปันนัง โหติฯ

    พระคาถานี้ใช้ภาวนาให้เห็นเป็นตัวเลข หรือนิมิตมาบังเกิดให้ปรากฏในจักขุทวาร มโนทวาร ถ้าหากไม่มาปรากฏให้เห็นก็จะฝันเห็น หรือจะอธิฐานภาวนาขอนิมิตก็ได้ตามความปรารถนา

    สัพพะสุขัง จะมหาลาภัง ภวันตุเม สัพพะโกรธัง วินาสสันติฯ
    สังโฆ นะเมตตา โมกรุณา พุทปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู นะโมพุทธายะ
    มะอะอุ เมตตา จะมหาราชะปุตตี ราชะปุตตา สมณา

    จากนั้นก่อนนอนให้ระลึกถึงหลวงปู่หมุนและบูรพาจารย์ของท่าน แล้วภาวนาไปจนกว่าจะหลับ ดังนี้

    พุทโธ พระอะระหัง พุทธะนิมิตตัง อิติฯ

    พระคาถานี้ ภาวนาก่อนเข้านอน ถึงแม้จะมีเหตุโภยภัยอันตราย ก็บันดาลให้รู้สึกทั้งเกิดสวัสดิมงคล ทั้งเทพเจ้าคุ้มครองรักษา และเกิดลาภสักการะมาก ด้วยต้องการประสงค์สิ่งใดให้ภาวนาพระคาถาดังนี้ เพื่อขอนิมิตฝัน จะมาปรากฏให้เห็น ด้วยเดชบุญฤทธิ์ของหลวงปู่หมุน

    ถ้าใครมี เครื่องรางของหลวงปู่ ก็ มีพระคาถา

    นะละเห เจจัตตัง 3 จบ

    ศิษย์มีครู!!!
     
  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    5CBAAC4B-32FE-416F-B2D7-A558E7794B5F.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง. หลวงปู่บุดดา

    #สวัสดีธรรมะ วันพระ แรม 15 ค่ำ
    “...#เอ็งเห็นดอกไม้ที่ร่วงไหม ?


    มีทั้งดอกอ่อน ที่ยังไม่ตูม
    ดอกที่ตูมแล้ว ยังไม่บาน
    ดอกที่บานแล้ว ยังไม่โรย
    ดอกที่โรยแล้ว ยังไม่เหี่ยว
    ดอกที่เหี่ยวแล้ว ยังไม่แห้ง
    ดอกที่แห้งแล้วเป็นที่สุดก็มี

    นี่ มันร่วงลงมาจากต้นไม้เหมือนกัน ทั้งๆที่สภาวะของมันไม่เท่ากัน ชีวิตร่างกายของคนก็เหมือนกัน

    บางรายตาย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
    บางรายคลอดออกมาแล้วตาย
    บางรายตาย ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
    บางรายตาย ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว
    บางรายตาย ตอนวัยกลางคน
    บางรายตายเมื่อแก่

    อย่างข้านี่ตายเมื่อแก่ ก็ไม่ต่างกับดอกไม้ที่แห้งคาต้น แล้วร่วงหล่นลงมา สภาวะความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกมีอนัตตาเป็นที่สุด อย่างร่างกายก็คือตายไปในที่สุด

    แล้วเอ็งเห็นดอกไม้ร่วงหล่นอยู่นี่ เอ็งมีความเศร้าโศกบ้างหรือไม่ (ก็ตอบว่า ไม่)

    นั่นซิ ! มันร่วงมันหล่นมากมายเกลื่อนกลาดอย่างนี้ มันก็เป็นปกติของมัน ร่างกายก็เหมือนกัน มันร่วงมันหล่นก็เป็นปกติของมัน จะมัวเศร้าโศกเสียใจอยู่ทำไม ภาวะปกติมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นธรรมดา ก็จงอย่าไปฝืนมัน ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ตาย...”

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
     
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    5321217D-9A72-49D3-A701-2CEDB557A025.jpeg

    หมั่นสวดทุกวัน สวดในใจหรือออกเสียงก็ได้ เวลาสวดให้นึกถึงหลวงปู่ดู่ไปด้วย ทุกอย่างที่เราเจอสืบเนื่องจากกรรมเก่าในอดีตเป็นเหตุ ให้ทำใจอโหสิกรรมกับทุกคน อย่าสนใจในความทุกข์ ตั้งใจทำความดีเพียงอย่างเดียว หมั่นสวดตลอดเวลาที่นึกได้ จิตจะมีความสุขในบุญกุศล เป็นการปิดอันตรายทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม
    .
    #ศิษย์มีครูหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    B91064FD-12D1-45A6-92AC-68AA9BAD3A19.jpeg #เล่าสู่กันฟัง

    "หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน"


    "ป่วยปางตาย หายได้เพราะบารมีหลวงปู่สรวง! สมฉายาเทวดาเดินดิน หยิบจับอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ ช่วยชีวิตคนป่วยด้วยน้ำเปล่าเพียงขวดเดียว"

    ชาวโลกกำลังจดจำรอยยิ้มของหลวงปู่สรวง ผู้ได้รับการขนานนามว่า เทวดาเดินดิน เพราะเหตุใดหลวงปู่สรวงเป็นที่ศรัทธาของคนจำนวนมาก และคนเหล่านั้นกำลังมุ่งเข้ามาศึกษาเรื่องราวประวัติของท่าน จนบัดนี้ได้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันไม่จบสิ้น

    แม้ว่าหลวงปู่สรวงจักได้ละสังขารไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2543 ก็ตาม
    รวมระยะเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว อาตมาคิดว่าคงไม่ใช่เพียงแค่รอยยิ้มหลวงปู่สรวงที่ปรากฏในภาพ ที่ทำให้คนทั้งหลายจำจดท่านได้ แต่คงเป็นเพราะปฏิปทา จริยวัตร ของท่าน ที่ทำให้คนจดจำท่าน ที่สำคัญท่านเป็นผู้ที่มีความเมตตาต่อเหล่าสรรพสัตว์เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือสัตว์เดรัจฉาน
    ท่านเคยฉุดช่วยเหลือเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้ได้พ้นจากทุกข์ยากลำบากทั้งทางกายทางใจมามากต่อมาก และที่สำคัญท่านก็เป็นที่พึ่งให้คนป่วยและคนเหล่านั้นก็หายป่วยประหนึ่งว่าได้ชีวิตใหม่ ได้รอยยิ้มแห่งสันติสุข รอยยิ้มแห่งผาสุขขึ้นมาใหม่ เช่น เรื่องชีวิตใหม่ของลำดวน ที่ปรากฏในหนังสือตามรอยหลวงปู่สรวงเล่ม 5

    "มีเรื่องเล่าดังนี้ว่า"
    ณ กระท่อมกลางท้องนาข้างต้นมะขาม ระหว่างบ้านละลมกับบ้านจะบก เห็นมีผู้คนนั่งอยู่ในบริเวณนั้นหลายคน หลวงปู่นั่งอยู่บนกระท่อม พอจอดรถไว้แล้วก็ช่วยกันพยุงคนป่วยไปนั่งบนพื้นดินต่อหน้าหลวงปู่ กราบท่านเสร็จแล้ว นายแปลงก็ได้พูดกับหลวงปู่ว่า
    “ลูกเอ็อวจูยโกนเจาละ เวียมันสรูลจะนับนึงเงื๊อบเฮย” (หลวงปู่ช่วยลูกหลานด้วย มันป่วยหนักจะตายแล้ว) พูดแล้วแกก็ยกขวดน้ำฝนที่นำมาจากบ้าน ประเคนต่อหน้าหลวงปู่
    หลวงปู่จ้องดูเธอแล้วนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ท่านคว้าเอาขวดน้ำยกมาเทราดที่เท้าของท่านเอง น้ำไหลจากเท้าท่านผ่านร่องกระดานลงไปข้างล่างกระท่อม น้าชายรีบซุกดันเธอให้เข้าไปอยู่ใต้กระท่อมตรงที่หลวงปู่นั่งและราดน้ำลงมา น้ำไหลราดใส่หัวลำดวน เธอประนมฝ่ามือรองเอาน้ำมาล้างหน้าและดื่ม จนน้ำหมดขวดที่หลวงปู่เทราดลงมา จึงถอยออกมานั่งผิงแดดข้างกระท่อม ด้วยอาการหนาวสั่นจากพิษไข้บวกกับความหนาวเย็นของน้ำทำให้ลำดวนถึงกับสลบไป

    สร้างความตกอกตกใจให้กับพ่อแม่น้าชายและคณะที่ไปด้วยอย่างมาก คิดว่าอย่างไรลำดวนคงต้องตายแน่นอน รีบหามร่างเธอให้นอนบนรถพากันกลับบ้าน โดยมีญาติที่มาด้วยช่วยกันพัดวีไปตลอดทาง ไปถึงบ้านอาการของเธอยิ่งหนักขึ้น ถ่ายออกมาเป็นเลือดเป็นหนองตลอดคืน
    ญาติพี่น้องพ่อแม่ไม่ได้หลับได้นอนตลอดคืน คอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าพยาบาลดูแลทำความสะอาดขุดหลุมกลบเลือดหนองที่เธอถ่ายอาเจียนออกมาต่างก็รอดูลมหายใจสุดท้ายของเธอ เพราะคิดว่าคืนนี้คงเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตลำดวนแน่นอน
    ผิดคาดรุ่งเช้าอาการของลำดวนกลับดีขึ้น หิวน้ำหิวอาหารเรียกขอข้าวกินจากพ่อแม่หน้าตาดูสดใสมีเรียวแรงยกขันน้ำดื่มกินเองได้ สร้างความประหลาดใจให้กับพี่น้องเป็นอย่างมาก 2-3 วันต่อมา จากที่นอนแซ่วอยู่บนเสื่อ ก็สามารถยันตัวเองลุกขึ้นเดินเองได้ แต่ก็ยังไม่แข็งแรงเท่าไรนัก
    จากอาการที่ดีขึ้นของเธอสร้างความดีอกดีใจให้กับพ่อแม่และญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง ต่างคิดว่าเทวดาคงโปรดให้รอดชีวิต หลวงปู่ได้ช่วยให้รอดตายแล้วในคราวนี้

    อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาน้าชายของลำดวนพร้อมกับพ่อแม่ พร้อมญาติพี่น้องเพื่อนบ้านเต็มคันรถ ได้พากันจัดจังหันไปกราบหลวงปู่ที่ทุ่งนาเดิมอีก และก็ไม่ลืมเอาขวดใส่น้ำฝนไปให้หลวงปู่ท่านได้ทำน้ำมนต์ให้อีก
    หลวงปู่เทน้ำจากขวดล้างมือท่านลงไปในขัน และก็แคะขี้เล็บ แกะขี้มูก ขี้หู ขี้ตาลงไปด้วย แล้วก็ดันซุกขันไปข้างหน้า เป็นเชิงบอกว่าให้เอาไปดื่มกินที่บ้าน พ่อรีบกรอกน้ำใส่ขวดเอาไปใส่รถไว้ตอนถวายจังหันให้ท่านฉัน หลวงปู่ได้จับอาหารที่ถวายเทไปข้างกระท่อม ขว้างขนมผลไม้ออกไปข้างนอก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีว่าหลวงปู่ได้โปรดสัตว์เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ให้ได้มารับอาหารจากคนทั้งหลายเอาไปถวาย แต่ปุถุชนอย่างพวกเราไม่สามารถที่จะมองเห็นได้เหมือนอย่างท่าน
    หลังจากที่อยู่พูดคุยสนทนากับผู้ที่มากราบไหว้กับหลวงปู่ ที่ซักถามอาการของเธอจนเกือบค่ำจึงได้ลาหลวงปู่กลับ กลับไปถึงบ้านพ่อแม่ได้เอาน้ำมนต์ผสมใส่น้ำอาบ ดื่มกินทีละนิดๆ ทุกวัน อาการป่วยดีวันดีคืน และร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เป็นปกติเหมือนคนที่ไม่เคยมีโรคร้ายแรงมาก่อนเลย
    สามารถทำงานช่วยพ่อแม่ได้ทุกอย่าง เธอรู้สึกดีใจและสำนึกบุญคุณของหลวงปู่สรวงที่ให้ชีวิตใหม่กับเธอ ผู้ที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นพ่อแม่ และน้าชายของเธอที่พาเธอไปรักษาหาหลวงปู่สรวงนั่นเอง

    จากเรื่องราวที่เล่ามานั้น ทำให้เราได้เห็นว่า หลวงปู่สรวงได้เมตตากรุณาลูกหลานเป็นอย่างมาก ทำให้ต่างคนต่างก็พลอยยิ้มได้อย่างมีความสุข แม้หลวงปู่จะได้ละสังขารไปแล้วแต่ภาพของท่านที่ยิ้มอย่างมีความสุขถือเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ลูกหลานมีความสุขไปด้วยเมื่อได้เห็นภาพหลวงปู่สรวง ดังนั้น รอยยิ้มแห่งความสุข คือรอยยิ้มที่หลวงปู่ยิ้มให้ลูกหลานทุกคน แม้ที่ตกทุกข์ได้ยากก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ถือว่าเป็นรอยยิ้มแห่งกำลังใจ เป็นรอยยิ้มอวยพร เป็นรอยยิ้มแห่งความสมหวัง โชคดี ร่ำรวย

    ฉะนั้น ลูกหลานหลวงปู่สรวงอย่าได้ท้อแท้ อ่อนแอหมดหวัง รอยยิ้มหลวงปู่จะช่วยสร้างกำลังใจให้เราได้ เพราะ รอยยิ้มของท่านคือ รอยยิ้มแห่งความเมตตา ความเมตตานั้นเป็นธรรมที่ค้ำจุนโลก สมกับพุทธภาษิตที่ว่า โลโก ปตฺถมฺ ภิกา เมตฺตา : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

    ที่มา : พระอาจารย์อดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ http://watkhayung.com
     
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    740A532A-09B1-4F1C-8478-4D3BF2791D82.jpeg

    เก่งไม่แพ้อาจารย์!! "หลวงปู่พวง ฐานวโร"ศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อทบ บิณฑบาตกลางฝน ไม่เปียกแม้หยดเดียว เสกก้อนหิน ก้านธูป กันมีด กันปืนได้!!!

    พระอธิการ พวง ฐานวโร วัดน้ำพุสามัคคี ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์

    หลวงปู่พวงอริยสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทือกเขารัง ศิษย์ หลวงพ่อทบ วัดชนแดน

    หลวงปู่พวง ไม่เปียกฝน

    หลวงปู่พวง และ พระสงฆ์ในวัดออกบิณฑบาตยามเช้าที่หมู่บ้านน้ำพุ ปรากฏว่าขากลับมีฝนตกปรอยๆจนหนักขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงวัดพระทุกองค์สบงจีวรต่างเปียกน้ำฝนทุกองค์ มีพระรูปหนึ่งรีบไปนำผ้ามาให้หลวงปู่พวงเปลี่ยนเพราะเกรงว่าหลวงปู่พวงจะไม่สบาย พอมาถึงได้ยื่นผ้าให้หลวงปู่พวง

    แต่กลับตะลึงเพราะจีวรหลวงปู่พวง ไม่เปียกฝนเลย ได้สอบถามหลวงปู่พวงว่า ไม่เปียกฝนหรือขอรับ หลวงปู่พวงท่านยิ้มให้พร้อมกับบอกว่า ฝนตกด้วยหรือ แล้วท่านก็เดินเข้ากุฏิไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เกิดความประหลาดใจมาก จนเป็นที่กล่าวขาน

    “ พระอธิการพวง ฐานวโร ” หรือ หลวงปู่พวง มีนามเดิมว่า พวง เพ็ชรมูล เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ที่เมืองดอกบัวจังหวัดปทุมธานี เชื้อสายมอญ โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายยวง และ นางเพิ่ม เพ็ชรมูล ครอบครัวประกอบอาชีพในด้านเกษตรกรรม

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลวงปู่พวงบวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่วัยเยาว์ สามเณรพวงได้ปรนนิบัติหลวงพ่อทบมิได้ขาด ไม่ว่าจะล้างบาตร เทกระโถนน้ำหมาก บีบนวด หลวงพ่อทบสม่ำเสมอ ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อทบ ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติเรื่อยมา ด้วยความเมตตาที่หลวงพ่อทบเห็นในความเพียรตั้งใจจริงจึงได้ถ่ายทอดสรรพต่างๆและวิปัสสนากัมมัฏฐานการกำหนดจิต การฝึกกสิณแต่ละกอง จนถึงการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในวัย ๒๑ ปีได้ฉายา “ ฐานวโร ” แปลว่า ผู้มีฐานะอันประเสริฐ

    ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับหลวงพ่อทบ หลวงพ่อพวงได้ช่วยงานหลวงพ่อทบหลายอย่าง หลวงพ่อทบให้ช่วยจารตะกรุดมั่ง ม้วนมั่ง ถักมั่ง หลวงพ่อทบรักมากสอนให้จนหมด หลวงพ่อทบไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเขียน สำนักขุนเณรบ่อยๆ ไปทุกครั้งก็จะพาพระพวงไปด้วย หลวงพ่อทบจึงได้ฝากฝังศิษย์รักให้หลวงพ่อเขียนให้ช่วยประสาทวิชาเพิ่มเติมให้ หลวงพ่อพวง ได้จำพรรษาวัดขุนเณรได้เล่าเรียนฝึกปฏิบัติกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน พุทธาคมโดยฝึกวิชากสิณจนชำนาญในกสิณ ๑o รวมทั้งวิชาทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ หลวงพ่อเขียนท่านวาจาสิทธิ์มากหากพูดอะไรจะเป็นไปตามปากของท่านจนชาวบ้านขนานนามหลวงพ่อเขียนปากพระร่วง ตลอดการช่วยงานหลวงพ่อเขียนนั้น หลวงพ่อเขียนท่านสอนให้หมดจนเป็นที่ไว้ใจมอบหมายให้หลวงพ่อพวงทำน้ำมนต์อาบน้ำมนต์ให้ชาวบ้านแทนท่าน

    เรื่องเด่นอีกเรื่องของหลวงพ่อเขียน การให้หวยของหลวงพ่อเขียน ถูกกันทุกงวดจนเจ้ามือเจ้งกันไปหลายราย เมื่อสำเร็จธรรมจากหลวงพ่อเขียนแล้วจึงได้กราบลาหลวงพ่อเขียนเดินทางกลับมาเพชรบูรณ์อีกครั้งได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่ออ้วน ที่วัดดงขุย หลวงพ่ออ้วน ท่านรับศิษย์ยากท่านต้องทดสอบกำลังใจเสียก่อน หลังจากทดสอบผ่านแล้วท่านจึงรับเข้าสำนักถ่ายทอดวิทยาคมให้หมดสิ้น ช่วงที่อยู่ที่วัดดงขุย ได้เห็นหลวงพ่อทบ กับ หลวงพ่ออ้วนได้ลองอาคมกันกลางอากาศ ใครตาดีมีบุญจึงได้เห็น ช่วงที่จำพรรษาได้ช่วยงานวัดมิได้ขาด หลังจากที่ได้ร่ำเรียนจนสำเร็จแล้วจึงได้กราบลาหลวงพ่ออ้วนเพื่อออกธุดงค์ปลีกวิเวกตามป่าเขา ตามถ้ำต่างๆ หมั่นฝึกปฏิบัติวิชาอาคมต่างๆตามที่ได้ร่ำเรียนและได้รับการถ่ายทอดมาจนมีความชำนาญในวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีพลังสมาธิญาณอย่างน่าอัศจรรย์

    เมื่อการปฏิบัติธรรมแก่กล้าแล้วจึงได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงพ่อทบ ที่วัดชนแดน หลวงพ่อทบ วาจาสิทธิ์ ท่านบอกจะต้องห่มจีวรตลอดชีวิตเพื่อสงเคราะห์ผู้คน อยู่ปรนนิบัติหลวงพ่อทบอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จึงได้ออกแสวงหาธรรมอีกครั้ง ได้ธุดงค์เข้าป่ารกชัฏขึ้นเขา ลงเขา จนมาถึงเทือกเขารัง ณ บ้านน้ำพุ จ. เพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้ปักกลดจำวัด ณ ที่แห่งนี้ ตอนที่มาอยู่ใหม่ๆชาวบ้านมาถวายข้าวปลาอาหารหลวงปู่พวง พร้อมกับบอกว่า ให้ระวังผีดุ โดนหลอกทั้งกลางคืนกลางวัน หลวงปู่พวง ท่านได้แต่ยิ้มๆให้ชาวบ้าน หลังจากชาวบ้านเห็นพระองค์นี้อยู่ได้ถึง ๗ วันไม่หนีไปไหน จึงได้มาสอบถามว่าไม่เจอดีบ้างหรือ หลวงพ่อได้ตอบไปว่า เขามาดีเราให้บุญเขาก็ไปหมดไม่อยู่ที่นี่แล้ว ชาวบ้านจึงได้ศรัทธานิมนต์ให้สร้างวัด ที่นี่

    ปฏิปทาศีลวัตร

    หลวงปู่พวง เป็นพระที่มีอัธยาศัยไมตรีเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมเป็นที่ตั้ง เรียนรู้ธรรมตั้งแต่เล็ก เรียนรู้แล้วนำมาปฏิบัติให้เข้าถึงรู้แจ้งจริง ช่วยคนได้จริง ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่พวง ต่างรู้กันดีว่าท่านไม่ใช่พระธรรมดา ญาณบารมีสมาบัติสูง มีสมาธิจิตแก่กล้า หยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วแต่ว่าท่านจะพูดหรือไม่เท่านั้นเอง

    สมัยมาอยู่ใหม่ๆ ใครมากราบต่างก็อยากได้ของดีจากหลวงปู่พวง ท่านไม่มีอะไรจะให้ เสกก้อนหินบ้าง ก้านธูปบ้างให้ศิษย์เอาไปใช้ กันปืนได้ ขวานฟันไม่เข้า รถชนไม่เป็นไรวัตถุต่างๆที่ได้ออกจากมือหลวงปู่พวงไปแล้ว มีอานุภาพพุทธคุณอย่างน่าอัศจรรย์

    หลวงปู่พวง ได้รับการยอมรับและศรัทธาของศิษย์ทุกระดับชั้น เชื่อถือกันว่าท่านมีคาถาอาคมทรงพุทธคุณครอบจักรวาล โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยม ความเจริญรุ่งเรือง และด้านมหาอำนาจ แคล้วคลาด เพชรกลับ คงกระพันชาตรี ศิษยานุศิษย์ต่างประจักษ์ สามารถให้คำตอบได้เป็นอย่างดี

    ด้านการพัฒนา

    หลวงปู่พวง ฐานวโร ท่านเป็นพระปฏิบัติและพระนักพัฒนาที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อชุมชน ได้ก่อสร้าง ศาลาสามัคคีธรรม กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ ศาลาเอนกประสงค์ ห้องน้ำ เมรุ โรงเรียนวัดน้ำพุ ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเกิดจากบารมีของหลวงปู่พวงอย่างแท้จริง ท่านสร้างสิ่งสาธารณูประโยชน์ไว้มากมาย ลาภยศต่างๆหลวงปู่พวงท่านไม่ยินดี ต้องการเพียงพัฒนาและช่วยเหลือญาติโยม

    วัตถุมงคล

    ถ้าไม่ดีไม่สร้าง จากคำปรารภของหลวงปู่พวง เพื่อให้สิ่งที่สร้างออกมานั้นคุ้มครองลูกศิษย์ลูกหาได้ อย่างแท้จริง ทำให้วัตถุมงคลหลวงปู่พวงได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก เพราะการสร้างแต่ละครั้ง สร้างไม่บ่อย สร้างน้อย ไม่เน้นปริมาณ ท่านเน้นคุณภาพ พุทธคุณโดดเด่นทางเมตตามหานิยม กลับร้ายกลายเป็นดี คงกระพันมหาอุด และความเจริญรุ่งเรือง ประสบการณ์ที่เจออาทิ เหรียญรุ่นแรก สีผึ้ง พระปิดตานะชาลีติ แหวนเพชรกลับ ตะกรุดโทน รูปหล่อ ล้วนต่างเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์อย่างมาก หลวงปู่พวง เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ วัตถุมงคลของท่านมีค่าดั่งทองคำต่อไปภายหน้าจะหายาก ”
     
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    EDD2A635-98A9-4E71-95CE-69A8D07BD5DF.jpeg

    ผ้าขาวม้าไทย!! ไม่น้อยหน้าใคร นุ่งได้ ยังกันกระสุนได้อีก!! "หลวงพ่อพรหม"เสกให้ศิษย์ไปรบ เจอ ๓๐ กว่านัด !!

    หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์

    ส่วนใหญ่หลวงพ่อพรหมจะปลุกเสกหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว โดยเอาวัตถุมงคลต่าง ๆ ใส่ลงในบาตร ถ้ามีเทียนชัย หลวงพ่อจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในขันน้ำมนต์ แล้วนำเทียนชัยวนโดยรอบวัตถุมงคล๙ รอบ แล้วจึงเอาแป้งดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบ ๆ โดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิต อัดพลังต่อมาก็เอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลาย แล้วจับภาชนะใส่วัตถุมงคลเพ่งกระแสจิตอีกครั้ง จนกระทั่งเห็นวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลอีกครั้ง จึงเสร็จพิธี

    เราจะสังเกตได้ว่าพระเครื่องเนื้อผงของหลวงพ่อหลายรุ่น จะมีรอยบิ่น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนนั่นเอง

    วัดช่องแค ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑ ตำบลช่องแค เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๔๕๘ โดยหลวงพ่อพรหม ถาวโร พระเกจิชาวพระนครศรีอยุธยา หลังจากที่ท่านได้แวะธุดงค์ที่บ้านช่องแค ขณะที่นั่งสมาธิในถ้ำท่านได้เกิดปัญญาขึ้นโดยฉับพลัน ท่านจึงได้สร้างวัดขึ้นและถวายเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ปัจจุบันศิษยานุศิษย์ได้นำร่างที่ละสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อพรหม ถาวโร มาให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้ที่วัด

    บุญญาภินิหารปรากฎ

    มีศิษย์ของหลวงพ่อพรหมคนหนึ่ง ถูกเกณฑ์ทหาร และได้รับเลือกเป็นทหาร ได้มากราบ หลวงพ่อพรหม ท่านได้มอบสิ่งหนึ่งให้คือ ผ้าขาวม้า โดยได้จารยันต์โสฬส ด้วยมือท่านเอง หลังจากนั้นศิษย์ผู้นี้ได้ถูกฝึกและส่งไปเป็นทหารปราบปรามผู้ก่อการร้าย สมัยก่อนผู้ก่อนการร้ายชุมกว่ายุงเสียอีก และศิษย์ผู้นี้ทุกครั้งที่ลาดตระเวน จะนำผ้าขาวม้าผืนนี้ผูกเอวไว้

    และวันหนึ่งก็เกิดเรื่องเข้าจนได้ กองลาดตระเวนที่ชายผู้นี้อยู่ ปะทะกับผู้ก่อการร้ายเข้า โดนยิงด้วยปืนเอ็ม ๑๖ พรุนทั้งร่างเจ้าตัวสลบเข้าใจว่าตาย เพื่อน ๆ ทหารเข้าใจว่าตายเช่นกัน พอจะนำร่างศิษย์ของท่านกลับ แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เสื้อพรุนไปทั้งร่าง แต่กระสุนไม่ระคายผิว

    แถมยังมีลมหายใจอยู่ เพียงแค่สลบด้วยความเจ็บที่กระสุนกระทบร่าง๓๐ กว่านัด แต่ไม่สามารถที่จะกระชากวิญญาณจากร่างได้ ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ผู้คนทั้งสิบทิศที่ทราบข่าว มุ่งสู่วัดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

    วาจาสิทธิ์ปรากฎ

    ผ้าขาวม้าหลวงพ่อพรหมนี้ทุกคนต้องการมาก ๆ มีเท่าใดก็หมดจากวัดในเวลาอันรวดเร็วใน สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ มีพระลูกวัดอยู่รูปหนึ่ง จัดหาผ้าขาวม้ามา และเขียนยันต์เอง และนำมาจำหน่าย ภายในวัด โดยที่ท่านไม่ทราบเรื่อง ภายหลังท่านทราบเรื่องดังกล่าว เรียกไปตำหนิ พลั้งเผลอพูดว่าท่านจะบ้าหรือ ทำอย่างนี้ได้อย่างไร เท่ากับหลอกเงินชาวบ้าน หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระรูปนั้น วิกลจริตตามที่ท่านได้พลั้งเผลอพูดไป
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    8FC81346-1503-43BD-A312-1FFE8C2F8F99.jpeg

    #กระทู้ที่3
    มีสมาชิกหลายท่านถามผมเข้ามาว่า ปกติทั่วไปเราถวายของพระสงฆ์พระสงฆ์ท่านก็จะรับถวายและก็ให้พร เป็นอันเสร็จ. แต่ทำไมเวลาถวายของแด่องค์หลวงปู่สุธัมม์ ธมมฺปาโล หลวงปู่จะให้วางของลงแล้วหลวงปู่จะวางฝ้ายลงบนสิ่งของที่จะถวาย จากนั้นหลวงปู่จะซักอนิจจาพร้อมม้วนฝ้ายเข้ามา
    #วันนี้ผมเลยถือขอโอกาสขอความเมตตาจากองค์หลวงปู่. โดยมีใจความว่า การซักอนิจจาจะได้เป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วญาติพี่น้องของผู้นำของมาถวาย บางทีผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นยังมีติดขัดหรือไม่มีคนทำบุญไปให้เขาเลย เขาจะได้ถือโอกาสนี้มารับส่วนบุญและจะได้ไปเกิดสักที... สาธุสาธุสาธุ

    Cr; บัวไข่ ธาตุพนม /ศิษย์หลวงปู่สุธีมม์
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    3E76518A-FA41-48AA-8155-F1EE8FA29488.jpeg
    "เป็นการซับ พลังธรรมชาติ เข้ามา"

    สมัยที่ องค์หลวงปู่ยังไม่ค่อยมีใครมาหาท่านมากนัก ท่านมักจะชอบเดินสำรวจบริเวณวัด และให้อาหารพวกปลา ไก่ป่า กระรอก และสัตว์ป่าอื่นๆที่อยู่บริเวณนั้น โดยเฉพาะไก่ป่าที่วัดของท่านนั้น มีไก่ป่ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

    เวลาช่วงเช้าๆ ท่านชอบลงมาเดินจงกรม(ทำกัมมัฏฐาน ในอิริยาบทเดิน)โดยการถอดรองเท้า(เดินเท้าเปล่า)ประโยชน์ของการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน เหมือนเป็นการนวดฝ่าเท้า ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี และ เป็นการออกกำลังกายด้วย

    นอกจากจะเดินแล้วนั้น สิ่งที่องค์หลวงปู่ท่านมักทำบ่อยๆเป็นประจำก็คือ ใช้มือจับต้นไม้ ใบไม้ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ท่านบอกว่า "เป็นการซับพลังธรรมชาติเข้ามา" ซึ่งก็คงช่วยในการบำบัดรักษา และ ปรับสภาพร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง

    องค์หลวงปู่ท่าน มีความรู้และเข้าใจเรื่องของพลังงานต่างๆอย่างมาก เวลาร่างกายท่านไม่ค่อยแข็งแรง เนื่องจากท่านเป็นโรคปอด ท่านมักจะทำแบบนี้บ่อยๆ

    Cr : Sira Pop
     
  20. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,867
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่พิศดู ธฺมมจารี

    #กำหนดจิตเข้าฌานสมาบัติโดยฉับพลัน


    หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านยังอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง ในช่วงบวชพรรษาแรกๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้รับกิจนิมนต์ ไปสวดมนต์บ้านโยม ที่ ต.หนองบัว อ.เมืองจันทบุรี

    ซึ่งระหว่างทาง ท่านต้องนั่งเรือไปตามแม่น้ำจันทบุรี โดยมีหลวงปู่เฟื่อง โชติโก และ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท เป็นฝีพาย ส่วนหลวงปู่พิศดู รับหน้าที่สะพายบาตรให้ทั้ง 3 ลูก ซึ่งเป็นบาตรของหลวงปู่เฟื่องลูกหนึ่ง และของหลวงปู่เจี๊ยะอีกลูกหนึ่ง

    ก่อนลงเรือ หลวงปู่ท่านได้กำหนดจิต ระลึกถึงพระพุทธคุณ ตั้งนะโมฯก่อน แล้วจึงค่อยๆลงไปนั่งอยู่กลางลำเรือ แต่ว่าพอพายไปได้สักระยะหนึ่ง

    เรือลำเล็ก รับน้ำหนักไม่ไหว เรือจึงล่มอยู่กลางแม่น้ำ หลวงปู่ท่านกำหนดจิต เข้าสู่ฌานสมาบัติอย่างฉับพลันเป็นอัตโนมัติ อย่างผู้คล่องแคล่วเป็นวสี

    ทำให้ท่าน เหาะตีลังกา กระโดดขึ้นฝั่งมาได้ทันที พร้อมกับบาตรทั้งสาม ที่สะพายเฉียงบ่า ยังอยู่ครบ

    ท่านเล่าว่า ตอนนั้นก็ยังงงกับตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าอยู่ดีๆตีลังกาขึ้นมาได้อย่างไร...หันกลับไปดูหลวงปู่เฟื่อง และ หลวงปู่เจี๊ยะ ยังว่ายน้ำสาละวน เกาะประคองเรือกันอยู่

    เมื่อพากันขึ้นมาบนฝั่งได้แล้ว จีวรของทุกท่าน ต่างก็เปียกชุ่มไปหมด ก็พากันเดินเท้า มุ่งหน้าไปยังบ้านโยมที่หนองบัวต่อทันที พอไปถึงบ้านงาน จีวรก็แห้งพอดี จึงขึ้นสวดได้เลย

    หมายเหตุ...เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อหลวงปู่ เพิ่งบวชได้เพียงไม่กี่พรรษาเท่านั้น แต่ท่านก็คล่องในการเข้าออกฌาน แบบสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว

    ท่านเคยเล่าว่า ท่านได้อัปปนาสมาธิถึงฌาน 4 มาตั้งแต่พรรษาแรก

    Cr : Sira Pop
     

แชร์หน้านี้

Loading...